ตอนที่ 224 มอบสมบัติต่อหน้า

เมื่อได้ยินถ้อยคำของจิตวิญญาณกระบี่จางเทียน, จี้เทียนซิงขมวดคิ้วไว้แน่น

เขาแอบปฏิเสธอยู่ในใจ

“ผู้อาวุโสจางเทียน

ท่านกล่าวแก่ข้าเพียงว่าปีศาจไร้พ่ายและเทพกระบี่มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ?”

จางเทียนเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า

“เจ้ากล่าวถ้อยคำที่ไร้ซึ่งความหมายออกมาอย่างมากมาย

กล่าวถ้อยคำที่เลื่อนลอยและไม่เป็นความจริง  ความจริงแล้วย่อมแสดงว่าเจ้าไม่ได้กล่าวพูดออกมาแม้แต่น้อย

!”

“…….

?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

แน่นอนเขารู้ว่าคำพูดของจางเทียนนั้นแฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้

ซึ่งเขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่ามันหมายถึงอะไร

เขาต้องการเพียงไขข้อสงสัยและต้องการคำตอบที่ชัดเจน

แต่จางเทียนกลับพูดประโยคที่ไม่เกี่ยวกับคำถามของเขาออกมา

จากนั้นอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหลับไปอีกครั้งและไม่สนใจเขาอีกต่อไป

จี้เทียนซิงถอนหายใจ

เขาออกจากสุสานเทพกระบี่และลอบไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้นอย่างลับๆ

เขาพยายามคิดอยู่เป็นเวลานานและในใจก็มีคำตอบแล้วเพียงแต่ยังไม่แน่ใจเต็มร้อย

ยิ่งไปกว่านั้น

บนพื้นฐานของคำตอบนี้ มันยิ่งเพิ่มพูนข้อสงสัยและการคาดเดาในใจให้มากขึ้น

ทุกข้อสงสัยและทุกการคาดคะเนมาประดังกันอยู่ในใจของเขา

ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานเขาก็ยังไม่อาจสงบใจลงได้

ท้ายที่สุดแล้วเขาทำได้เพียงเก็บความคิดสงสัยนี้ไว้ในใจและพยายามไม่สนใจมัน

“ในเมื่อผู้อาวุโสจางเทียนไม่อยากพูดก็ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ”

“อย่างที่เขาว่าไป

เมื่อเวลามาถึงข้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”

เมื่อสลัดเรื่องชวนหัวออกไปได้

ใจของเขาก็สงบลงและเริ่มบ่มเพาะอย่างหนักต่อไป

..............

ห้าวันต่อมา

นิกายกระบี่ฟ้า

ยามเช้าตรู่หน้าประตูนิกายกระบี่ฟ้ามีชายชราชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น

ชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว

ร่างสูงโปร่ง ผมเผ้าสีขาวยาวเหยียดและมีหนวดเคราดกหนาที่ขาวโพลน

คนผู้นี้ดูราวกับฤาษีผู้มีตบะแก่กล้าที่ขาวโพลนไปทั่วทั้งตัว

มีเพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นที่แดงก่ำ

ดวงตาเป็นประกายคมกริบและรัศมีพลังที่เด่นชัด

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่สามัญธรรมดา

เขายืนอยู่หน้าประตูทางเข้านิกายในขณะที่ถือแส้หางม้าสีเงินที่มีด้ามจับเป็นสีทองชี้ไปยังทิศทางที่ตั้งของตำหนักประมุขนิกายกระบี่ฟ้า

ยามหลายคนที่เฝ้าประตูแม้จะไม่ทราบว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร

แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันสูงส่งของอีกฝ่าย

พวกมันก็ไม่กล้าที่จะปล่อยปละละเลยและรีบไปคารวะพลางถามอย่างนอบน้อมว่า

“ผู้อาวุโสท่านนี้สมควรมาเยี่ยมเยียนท่านประมุขสินะขอรับ ? ผู้เยาว์ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่

? มิฉะนั้นผู้เยาว์ก็มิอาจรายการต่อท่านประมุขได้ขอรับ”

หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนโค้งคำนับด้วยความเคารพและไต่ถามอย่างระมัดระวัง

ชายชราผมขาวแสดงท่วงท่าที่ดูโอ่อ่าน่าภาคภูมิพลางจ้องมองหัวหน้าหน่วยด้วยสายตารังเกียจ

จากนั้นก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกต่างเรียกขานนามเราผู้เฒ่าด้วยความเคารพว่า

เทียนจี้เจิ้นเหริน”

(เจิ้นเหริน

真人 แปลว่าปรมาจารย์

เช่นเดียวกับเซี่ยงหวู่จี้ที่มีฉายาว่าหวู่จี้เจิ้นเหริน)

ฉายา

‘เจิ้นเหริน(ปรมาจารย์)’ นั้นยอดฝีมือทั่วไปย่อมมิกล้าหยิบยกมาโอ้อวด เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนก็ยิ่งให้เกียรติอีกฝ่ายมากขึ้นและโค้งคำนับจนเอวแทบจะติดดิน

“ที่แท้ก็เป็นท่านปรมาจารย์เทียนจี้นี่เอง ผู้เยาว์ขอขมาที่มีตาหามีแววไม่   เพียงมิทราบว่าท่านปรมาจารย์ให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนท่านประมุขเราด้วยจุดประสงค์อันใดหรือขอรับ

?”

ปรมาจารย์เทียนจี้มุ่นหัวคิ้วจนเกิดรอยหยักที่ใครๆก็มองออกว่าบุคลผู้นี้กำลังขุ่นเคือง

“เจ้าเพียงแค่ไปแจ้งว่า

[แผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกร] ต่อประมุขของเจ้า เดี๋ยวมันก็โผล่หัวมาพบข้าเอง

!”

หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนย่อมไม่เข้าใจว่าแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรคืออะไร  อย่างไรก็ตาม

เมื่อมันเห็นรัศมีพลังอันแข็งแกร่งและสีหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่าย

มันก็ไม่กล้าซักถามให้มากความพลางกำหมัดคารวะและกล่าวว่า

“ผู้เยาว์ทราบแล้ว

ขอท่านปรมาจารย์โปรดรอสักครู่”

หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนกล่าวจบก็รีบหันหลังพุ่งเข้าไปในรายงานในนิกายอย่างรวดเร็ว

ปรมาจารย์เทียนจี้ยืนสองมือไพล่หลังหันหลังให้ประตูนิกายด้วยสองตาที่ปิดสนิท

เขารอให้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ามาต้อนรับเป็นการส่วนตัว

ความจริงก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้  หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเส้นรุ้งสีน้ำเงินก็พุ่งออกมาจากภายในนิกาย

นั่นก็คือประมุขนิกายกระบี่ฟ้าที่ควบแน่นพลังปราณเป็นปีกสีน้ำเงินคู่หนึ่งและดิ่งทะยานมาลงหยุดที่ด้านหลังของปรมาจารย์เทียนจี้

ใบหน้าของเขาไม่มีการแสดงออกที่ผันผวน

แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง

หลังจากเดินเข้ามาใกล้

เขาก็จ้องมองเงาหลังของปรมาจารย์เทียนจี้อย่างเงียบงัน

ซึ่งปรมาจารย์เทียนจี้ย่อมรู้สึกได้นานแล้วว่าประมุขนิกายกระบี่ฟ้ามาต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว

แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สองตายังคงปิดสนิทราวกับกำลังซึมซับความลึกลับของฟ้าดิน

เมื่อเห็นภาพนี้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็รู้สึกว่าเทียนจี้เจิ้นเหรินผู้นี้มีลักษณะที่ไม่สามัญธรรมดา

เขาก้าวยาวๆเดินไปโค้งตัวคารวะพลางกล่าวว่า

“ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า คารวะเทียนจี้เจิ้นเหริน !”

ปรมาจารย์เทียนจี้ผินกายกลับมาและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“ท่านผู้นำถ่อมตัวแล้ว”

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าผุดลุกขึ้นและผายมือเชื้อเชิญ

“เชิญๆท่านปรมาจารย์เทียนจี้

เข้าไปในตำหนักของข้าก่อนค่อยคุยกัน”

“ย่อมสมควรเป็นเช่นนั้น”

ปรมาจารย์เทียนจี้ผุดยิ้มบางก่อนจะข้ามธรณีประตูเข้าไปในนิกายกระบี่ฟ้า

ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็เข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของนิกายกระบี่ฟ้า

มันเป็นห้องโถงหลักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหรา

มีเพียงหวงฟู่เท่านั้นที่เข้าร่วมสนทนาด้วย

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน

พวกเขาก็ทักทายตามมารยาทและเชิญนั่งดื่มชา

ถึงแม้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและหวงฟู่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของปรมาจารย์เทียนจี้มาก่อน

แต่เมื่อพวกเขาเห็นรัศมีพลังที่ไม่สามัญธรรมดาของอีกฝ่าย ประกับกับคำพูดเกี่ยวกับ

‘แผนผังชีพจรวิญญาณเก้ามังกร’ พวกเขาก็ยิ่งเคารพนอบน้อมต่อบุคลผู้นี้มากขึ้นไปอีก

หลังจากที่ทั้งสามคนได้พูดคุยทักทายกันสองสามคำพอเป็นพิธี

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามหัวข้อหลักขึ้น

“ท่านปรมาจารย์เทียนจี้

ท่านให้หน่วยลาดตะเวนที่หน้าประตูเข้ามารายงานต่อข้าเรื่องผังชีพจรวิญญาณเก้ามังกร

ข้าไม่ทราบว่าท่านหมายถึงอะไรหรือ ?”

ปรมาจารย์เทียนจี้จิบชาอึกหนึ่งแล้วค่อยๆวางจอกลง

เขาจ้องมองไปที่หวงฟู่และเผยรอยยิ้มจางๆขึ้นพลางกล่าวว่า

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของเราผู้เฒ่า

ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยที่นี่”

ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและหวงฟู่ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์เทียนจี้หมายถึงอะไร ?

หวงฟู่ยืนขึ้นด้วยความสนอกสนใจและกำหมัดคารวะกล่าวว่า

“ในเมื่อท่านประมุขมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับท่านปรมาจารย์  คงไม่สะดวกนักหากมีข้าอยู่ด้วย

เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”

หลังจากนั้นหวงฟู่ก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องโถงใหญ่อันกว้างขวางจึงเหลือกันอยู่สองคน

ปรมาจารย์เทียนจี้เอ่ยปากเล่าเรื่องขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า

“ตลอด100

ปีที่ผ่านมา

เราผู้เฒ่าท่องไปทั่วทวีปลมปราณฟ้าเพื่อรู้แจ้งและรับรู้ความเป็นไปของโลก”

(ทวีปลมปราณฟ้าคือแผ่นดินใหญ่ที่เซี่ยงหวู่จี้เคยพูดถึง มีหลายอาณาจักรรวมกัน

อาณาจักรเทียนเฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น)

“ไม่กี่ปีก่อน, เราผู้เฒ่าได้เดินทางมายังอาณาจักรเทียนเฉินและพบว่ามีหัวใจและจิตวิญญาณอยู่ในสถานที่นี้

มันเป็นช่วงเวลาที่เกล็ดสีทองกำลังจะถือกำเนิดขึ้น”

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งและพยายามคาดเดาสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง

“ท่านปรมาจารย์เทียนจี้

สิ่งที่ท่านพูดนั้นหมายถึง....อาณาจักรเทียนเฉินอยู่ในช่วงเวลาที่มังกรเกล็ดทองจะปรากฏกายงั้นหรือ

?” (การที่มังกรปรากฏหมายถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ)

ปรมาจารย์เทียนจี้พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยสีหน้าชอบธรรม

“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยนับพันปี

นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทวยเทพพอใจนัก”

“แต่ทว่าจากหัวใจและจิตวิญญาณที่ข้าสัมผัสได้

ลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินได้เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ !”

ดวงตาของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าทอประกายเจิดจ้าในทันที

ดูเหมือนเขาจะเข้าใจคำพูดที่คลุมเครือนี้

เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า

“เจิ้นเหรินกล่าวถูกต้อง

สถานการณ์ในอาณาจักรเทียนเฉินถึงเวลาสมควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว !”

“เพียงแต่ข้าไม่ทราบสิ่งที่เจิ้นเหรินเพิ่งกล่าวมา  ผู้ใดกันที่กำลังจะถือกำเนิด ? คนผู้นั้นเป็นใคร ?”

ปรมาจารย์เทียนจี้หันไปมองอีกฝ่ายด้วยมุมปากยกยิ้มขึ้นพลางกล่าวว่า

“เราผู้เฒ่าลดตัวมาเยี่ยมเจ้าถึงหน้าประตู

สูญเสียเวลาในการบำเพ็ญตบะเพื่อบอกเจ้าถึงเรื่องนี้  เจ้าคิดว่าเราผู้เฒ่าหมายถึงผู้ใดเล่า ?

ผู้ใดที่มีความสามารถมากพอจะเปลี่ยนแปลงลักขณาของทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินได้

?”

ประโยคนี้ยิ่งยืนยันการคาดเดาของประมุขนิกายกระบี่ฟ้า

มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมหันต์

เขาถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ข้าก็ไม่ทราบ รบกวนเจิ้นเหรินชี้แนะทางสว่างให้ข้าได้หรือไม่ ?

ข้าจะเปลี่ยนเป็นมังกรที่เปลี่ยนแปลงลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินได้อย่างไร

?”

ปรมาจารย์เทียนจี้เผยรอยยิ้มลี้ลับที่ไม่อาจคาดเดาได้ออกมาและหยิบม้วนคัมภีร์คู่หนึ่งออกจากแขนเสื้อวางไว้ตรงหน้าพลางกล่าวว่า

“ด้วยแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรคู่นี้

มันจะเปลี่ยนทิศทางลมให้พัดมาหาเจ้า

จงใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อกลายเป็นมังกร !”

ในใจของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความอึ้งและตกตะลึง

เขาจ้องมองไปที่ม้วนคัมภีร์คู่นั้นอย่างไม่อยากเชื่อและไม่กล้าหยิบมันขึ้นมา

เขารู้ดีว่าม้วนคัมภีร์คู่นี้บันทึกอะไรไว้

มันคือแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่เขาอยากได้มานานแสนนาน

!

ด้วยม้วนคัมภีร์คู่นี้เขาจะสามารถทำลายเส้นชีพจรวิญญาณที่เป็นรากฐานของทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์จนมันล่มสลายได้

!

แผนผังนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่ง

หลายครั้งหลายหนที่เขาปรารถนาจะครอบครองแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป

เทียนจี้เจิ้นเหริน

ยอดฝีมือลึกลับที่ไม่ทราบว่ามาจากแห่งหนใด จู่ๆก็เจาะจงมาหาเขาถึงหน้าประตูนิกายและมอบสมบัติล้ำค่านี้ไว้ตรงหน้า

หากจะบอกว่าคนผู้นี้ไร้จุดประสงค์แอบแฝง  ให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ !

****

*ต้นตอนที่ผมดอกจันไว้

ต้นฉบับคือ “你说了一大堆不着边际,虚无缥缈的话,其实等于什么都没说啊!”

ความหมายก็ตามที่ผมแปลเลยคือจู่ๆจางเทียนก็พูดขึ้นมาคนละเรื่องกับพระเอกว่า

“เจ้ากล่าวถ้อยคำที่ไร้ซึ่งความหมายออกมาอย่างมากมาย

กล่าวถ้อยคำที่เลื่อนลอยและไม่เป็นความจริง

ความจริงแล้วย่อมแสดงว่าเจ้าไม่ได้กล่าวพูดออกมาแม้แต่น้อย !”

ตอนแรกผมก็แอบงงว่าทำไมประโยคมันเหมือนจะไม่เชื่อมกันเลยหว่า   สุดท้ายไปอ่านตอนหลังๆถึงเข้าใจ

จางเทียนพูดลอยๆเหมือนบอกใบ้ให้พระเอกแล้ว แต่ไม่ยอมเฉลยออกมาตรงๆ

สรุปคือมันเป็นประโยคบอกใบ้ให้พระเอกครับ

อารมณ์ประมาณตอบแล้วแต่เอ็งไม่รู้เอง