เมื่อได้ยินถ้อยคำของจิตวิญญาณกระบี่จางเทียน, จี้เทียนซิงขมวดคิ้วไว้แน่น
เขาแอบปฏิเสธอยู่ในใจ
“ผู้อาวุโสจางเทียน
ท่านกล่าวแก่ข้าเพียงว่าปีศาจไร้พ่ายและเทพกระบี่มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ?”
จางเทียนเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า
“เจ้ากล่าวถ้อยคำที่ไร้ซึ่งความหมายออกมาอย่างมากมาย
กล่าวถ้อยคำที่เลื่อนลอยและไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วย่อมแสดงว่าเจ้าไม่ได้กล่าวพูดออกมาแม้แต่น้อย
!”
“…….
?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว
แน่นอนเขารู้ว่าคำพูดของจางเทียนนั้นแฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้
ซึ่งเขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่ามันหมายถึงอะไร
เขาต้องการเพียงไขข้อสงสัยและต้องการคำตอบที่ชัดเจน
แต่จางเทียนกลับพูดประโยคที่ไม่เกี่ยวกับคำถามของเขาออกมา
จากนั้นอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหลับไปอีกครั้งและไม่สนใจเขาอีกต่อไป
จี้เทียนซิงถอนหายใจ
เขาออกจากสุสานเทพกระบี่และลอบไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้นอย่างลับๆ
เขาพยายามคิดอยู่เป็นเวลานานและในใจก็มีคำตอบแล้วเพียงแต่ยังไม่แน่ใจเต็มร้อย
ยิ่งไปกว่านั้น
บนพื้นฐานของคำตอบนี้ มันยิ่งเพิ่มพูนข้อสงสัยและการคาดเดาในใจให้มากขึ้น
ทุกข้อสงสัยและทุกการคาดคะเนมาประดังกันอยู่ในใจของเขา
ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานเขาก็ยังไม่อาจสงบใจลงได้
ท้ายที่สุดแล้วเขาทำได้เพียงเก็บความคิดสงสัยนี้ไว้ในใจและพยายามไม่สนใจมัน
“ในเมื่อผู้อาวุโสจางเทียนไม่อยากพูดก็ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ”
“อย่างที่เขาว่าไป
เมื่อเวลามาถึงข้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
เมื่อสลัดเรื่องชวนหัวออกไปได้
ใจของเขาก็สงบลงและเริ่มบ่มเพาะอย่างหนักต่อไป
..............
ห้าวันต่อมา
ณ
นิกายกระบี่ฟ้า
ยามเช้าตรู่หน้าประตูนิกายกระบี่ฟ้ามีชายชราชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว
ร่างสูงโปร่ง ผมเผ้าสีขาวยาวเหยียดและมีหนวดเคราดกหนาที่ขาวโพลน
คนผู้นี้ดูราวกับฤาษีผู้มีตบะแก่กล้าที่ขาวโพลนไปทั่วทั้งตัว
มีเพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นที่แดงก่ำ
ดวงตาเป็นประกายคมกริบและรัศมีพลังที่เด่นชัด
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่สามัญธรรมดา
เขายืนอยู่หน้าประตูทางเข้านิกายในขณะที่ถือแส้หางม้าสีเงินที่มีด้ามจับเป็นสีทองชี้ไปยังทิศทางที่ตั้งของตำหนักประมุขนิกายกระบี่ฟ้า
ยามหลายคนที่เฝ้าประตูแม้จะไม่ทราบว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันสูงส่งของอีกฝ่าย
พวกมันก็ไม่กล้าที่จะปล่อยปละละเลยและรีบไปคารวะพลางถามอย่างนอบน้อมว่า
“ผู้อาวุโสท่านนี้สมควรมาเยี่ยมเยียนท่านประมุขสินะขอรับ ? ผู้เยาว์ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่
? มิฉะนั้นผู้เยาว์ก็มิอาจรายการต่อท่านประมุขได้ขอรับ”
หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนโค้งคำนับด้วยความเคารพและไต่ถามอย่างระมัดระวัง
ชายชราผมขาวแสดงท่วงท่าที่ดูโอ่อ่าน่าภาคภูมิพลางจ้องมองหัวหน้าหน่วยด้วยสายตารังเกียจ
จากนั้นก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกต่างเรียกขานนามเราผู้เฒ่าด้วยความเคารพว่า
เทียนจี้เจิ้นเหริน”
(เจิ้นเหริน
真人 แปลว่าปรมาจารย์
เช่นเดียวกับเซี่ยงหวู่จี้ที่มีฉายาว่าหวู่จี้เจิ้นเหริน)
ฉายา
‘เจิ้นเหริน(ปรมาจารย์)’ นั้นยอดฝีมือทั่วไปย่อมมิกล้าหยิบยกมาโอ้อวด เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนก็ยิ่งให้เกียรติอีกฝ่ายมากขึ้นและโค้งคำนับจนเอวแทบจะติดดิน
“ที่แท้ก็เป็นท่านปรมาจารย์เทียนจี้นี่เอง ผู้เยาว์ขอขมาที่มีตาหามีแววไม่ เพียงมิทราบว่าท่านปรมาจารย์ให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนท่านประมุขเราด้วยจุดประสงค์อันใดหรือขอรับ
?”
ปรมาจารย์เทียนจี้มุ่นหัวคิ้วจนเกิดรอยหยักที่ใครๆก็มองออกว่าบุคลผู้นี้กำลังขุ่นเคือง
“เจ้าเพียงแค่ไปแจ้งว่า
[แผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกร] ต่อประมุขของเจ้า เดี๋ยวมันก็โผล่หัวมาพบข้าเอง
!”
หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนย่อมไม่เข้าใจว่าแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรคืออะไร อย่างไรก็ตาม
เมื่อมันเห็นรัศมีพลังอันแข็งแกร่งและสีหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่าย
มันก็ไม่กล้าซักถามให้มากความพลางกำหมัดคารวะและกล่าวว่า
“ผู้เยาว์ทราบแล้ว
ขอท่านปรมาจารย์โปรดรอสักครู่”
หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนกล่าวจบก็รีบหันหลังพุ่งเข้าไปในรายงานในนิกายอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์เทียนจี้ยืนสองมือไพล่หลังหันหลังให้ประตูนิกายด้วยสองตาที่ปิดสนิท
เขารอให้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ามาต้อนรับเป็นการส่วนตัว
ความจริงก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเส้นรุ้งสีน้ำเงินก็พุ่งออกมาจากภายในนิกาย
นั่นก็คือประมุขนิกายกระบี่ฟ้าที่ควบแน่นพลังปราณเป็นปีกสีน้ำเงินคู่หนึ่งและดิ่งทะยานมาลงหยุดที่ด้านหลังของปรมาจารย์เทียนจี้
ใบหน้าของเขาไม่มีการแสดงออกที่ผันผวน
แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
หลังจากเดินเข้ามาใกล้
เขาก็จ้องมองเงาหลังของปรมาจารย์เทียนจี้อย่างเงียบงัน
ซึ่งปรมาจารย์เทียนจี้ย่อมรู้สึกได้นานแล้วว่าประมุขนิกายกระบี่ฟ้ามาต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว
แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สองตายังคงปิดสนิทราวกับกำลังซึมซับความลึกลับของฟ้าดิน
เมื่อเห็นภาพนี้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็รู้สึกว่าเทียนจี้เจิ้นเหรินผู้นี้มีลักษณะที่ไม่สามัญธรรมดา
เขาก้าวยาวๆเดินไปโค้งตัวคารวะพลางกล่าวว่า
“ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า คารวะเทียนจี้เจิ้นเหริน !”
ปรมาจารย์เทียนจี้ผินกายกลับมาและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า
“ท่านผู้นำถ่อมตัวแล้ว”
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าผุดลุกขึ้นและผายมือเชื้อเชิญ
“เชิญๆท่านปรมาจารย์เทียนจี้
เข้าไปในตำหนักของข้าก่อนค่อยคุยกัน”
“ย่อมสมควรเป็นเช่นนั้น”
ปรมาจารย์เทียนจี้ผุดยิ้มบางก่อนจะข้ามธรณีประตูเข้าไปในนิกายกระบี่ฟ้า
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็เข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของนิกายกระบี่ฟ้า
มันเป็นห้องโถงหลักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหรา
มีเพียงหวงฟู่เท่านั้นที่เข้าร่วมสนทนาด้วย
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน
พวกเขาก็ทักทายตามมารยาทและเชิญนั่งดื่มชา
ถึงแม้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและหวงฟู่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของปรมาจารย์เทียนจี้มาก่อน
แต่เมื่อพวกเขาเห็นรัศมีพลังที่ไม่สามัญธรรมดาของอีกฝ่าย ประกับกับคำพูดเกี่ยวกับ
‘แผนผังชีพจรวิญญาณเก้ามังกร’ พวกเขาก็ยิ่งเคารพนอบน้อมต่อบุคลผู้นี้มากขึ้นไปอีก
หลังจากที่ทั้งสามคนได้พูดคุยทักทายกันสองสามคำพอเป็นพิธี
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามหัวข้อหลักขึ้น
“ท่านปรมาจารย์เทียนจี้
ท่านให้หน่วยลาดตะเวนที่หน้าประตูเข้ามารายงานต่อข้าเรื่องผังชีพจรวิญญาณเก้ามังกร
ข้าไม่ทราบว่าท่านหมายถึงอะไรหรือ ?”
ปรมาจารย์เทียนจี้จิบชาอึกหนึ่งแล้วค่อยๆวางจอกลง
เขาจ้องมองไปที่หวงฟู่และเผยรอยยิ้มจางๆขึ้นพลางกล่าวว่า
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของเราผู้เฒ่า
ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยที่นี่”
ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและหวงฟู่ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์เทียนจี้หมายถึงอะไร ?
หวงฟู่ยืนขึ้นด้วยความสนอกสนใจและกำหมัดคารวะกล่าวว่า
“ในเมื่อท่านประมุขมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับท่านปรมาจารย์ คงไม่สะดวกนักหากมีข้าอยู่ด้วย
เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
หลังจากนั้นหวงฟู่ก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องโถงใหญ่อันกว้างขวางจึงเหลือกันอยู่สองคน
ปรมาจารย์เทียนจี้เอ่ยปากเล่าเรื่องขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า
“ตลอด100
ปีที่ผ่านมา
เราผู้เฒ่าท่องไปทั่วทวีปลมปราณฟ้าเพื่อรู้แจ้งและรับรู้ความเป็นไปของโลก”
(ทวีปลมปราณฟ้าคือแผ่นดินใหญ่ที่เซี่ยงหวู่จี้เคยพูดถึง มีหลายอาณาจักรรวมกัน
อาณาจักรเทียนเฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น)
“ไม่กี่ปีก่อน, เราผู้เฒ่าได้เดินทางมายังอาณาจักรเทียนเฉินและพบว่ามีหัวใจและจิตวิญญาณอยู่ในสถานที่นี้
มันเป็นช่วงเวลาที่เกล็ดสีทองกำลังจะถือกำเนิดขึ้น”
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งและพยายามคาดเดาสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง
“ท่านปรมาจารย์เทียนจี้
สิ่งที่ท่านพูดนั้นหมายถึง....อาณาจักรเทียนเฉินอยู่ในช่วงเวลาที่มังกรเกล็ดทองจะปรากฏกายงั้นหรือ
?” (การที่มังกรปรากฏหมายถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ)
ปรมาจารย์เทียนจี้พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยสีหน้าชอบธรรม
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยนับพันปี
นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทวยเทพพอใจนัก”
“แต่ทว่าจากหัวใจและจิตวิญญาณที่ข้าสัมผัสได้
ลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินได้เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ !”
ดวงตาของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าทอประกายเจิดจ้าในทันที
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจคำพูดที่คลุมเครือนี้
เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า
“เจิ้นเหรินกล่าวถูกต้อง
สถานการณ์ในอาณาจักรเทียนเฉินถึงเวลาสมควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว !”
“เพียงแต่ข้าไม่ทราบสิ่งที่เจิ้นเหรินเพิ่งกล่าวมา ผู้ใดกันที่กำลังจะถือกำเนิด ? คนผู้นั้นเป็นใคร ?”
ปรมาจารย์เทียนจี้หันไปมองอีกฝ่ายด้วยมุมปากยกยิ้มขึ้นพลางกล่าวว่า
“เราผู้เฒ่าลดตัวมาเยี่ยมเจ้าถึงหน้าประตู
สูญเสียเวลาในการบำเพ็ญตบะเพื่อบอกเจ้าถึงเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าเราผู้เฒ่าหมายถึงผู้ใดเล่า ?
ผู้ใดที่มีความสามารถมากพอจะเปลี่ยนแปลงลักขณาของทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินได้
?”
ประโยคนี้ยิ่งยืนยันการคาดเดาของประมุขนิกายกระบี่ฟ้า
มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมหันต์
เขาถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าก็ไม่ทราบ รบกวนเจิ้นเหรินชี้แนะทางสว่างให้ข้าได้หรือไม่ ?
ข้าจะเปลี่ยนเป็นมังกรที่เปลี่ยนแปลงลักขณาของอาณาจักรเทียนเฉินได้อย่างไร
?”
ปรมาจารย์เทียนจี้เผยรอยยิ้มลี้ลับที่ไม่อาจคาดเดาได้ออกมาและหยิบม้วนคัมภีร์คู่หนึ่งออกจากแขนเสื้อวางไว้ตรงหน้าพลางกล่าวว่า
“ด้วยแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรคู่นี้
มันจะเปลี่ยนทิศทางลมให้พัดมาหาเจ้า
จงใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อกลายเป็นมังกร !”
ในใจของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความอึ้งและตกตะลึง
เขาจ้องมองไปที่ม้วนคัมภีร์คู่นั้นอย่างไม่อยากเชื่อและไม่กล้าหยิบมันขึ้นมา
เขารู้ดีว่าม้วนคัมภีร์คู่นี้บันทึกอะไรไว้
มันคือแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่เขาอยากได้มานานแสนนาน
!
ด้วยม้วนคัมภีร์คู่นี้เขาจะสามารถทำลายเส้นชีพจรวิญญาณที่เป็นรากฐานของทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์จนมันล่มสลายได้
!
แผนผังนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่ง
หลายครั้งหลายหนที่เขาปรารถนาจะครอบครองแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป
เทียนจี้เจิ้นเหริน
ยอดฝีมือลึกลับที่ไม่ทราบว่ามาจากแห่งหนใด จู่ๆก็เจาะจงมาหาเขาถึงหน้าประตูนิกายและมอบสมบัติล้ำค่านี้ไว้ตรงหน้า
หากจะบอกว่าคนผู้นี้ไร้จุดประสงค์แอบแฝง ให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ !
****
*ต้นตอนที่ผมดอกจันไว้
ต้นฉบับคือ “你说了一大堆不着边际,虚无缥缈的话,其实等于什么都没说啊!”
ความหมายก็ตามที่ผมแปลเลยคือจู่ๆจางเทียนก็พูดขึ้นมาคนละเรื่องกับพระเอกว่า
“เจ้ากล่าวถ้อยคำที่ไร้ซึ่งความหมายออกมาอย่างมากมาย
กล่าวถ้อยคำที่เลื่อนลอยและไม่เป็นความจริง
ความจริงแล้วย่อมแสดงว่าเจ้าไม่ได้กล่าวพูดออกมาแม้แต่น้อย !”
ตอนแรกผมก็แอบงงว่าทำไมประโยคมันเหมือนจะไม่เชื่อมกันเลยหว่า สุดท้ายไปอ่านตอนหลังๆถึงเข้าใจ
จางเทียนพูดลอยๆเหมือนบอกใบ้ให้พระเอกแล้ว แต่ไม่ยอมเฉลยออกมาตรงๆ
สรุปคือมันเป็นประโยคบอกใบ้ให้พระเอกครับ
อารมณ์ประมาณตอบแล้วแต่เอ็งไม่รู้เอง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved