ตอนที่ 199

หนึ่งกระบี่ถล่มฟ้าทลายปฐพี

!

เพลงกระบี่ดาราเหินของจี้เทียนซิงนั้นเป็นวิชาของเซี่ยงหวู่จี้ผู้เป็นอาจารย์อาของประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์

ถึงแม้มันจะรุนแรงและทรงอานุภาพแต่ก็ยังไม่ใช่ไพ่ตายที่แท้จริงในแผนการครั้งนี้ของเขา

ถึงตอนนี้ฮั่งเชินถูกเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและระดับพลังรบโดยรวมตกฮวบจนถึงขีดสุด

ปราณคุ้มกายแทบไม่เหลือหลอ

ทุกคนที่มีสายตาหลักแหลมย่อมมองออกว่าฮั่งเชินจบสิ้นแล้ว

มันไม่เหลือเค้าลางใดๆที่จะพลิกกลับมาชนะจี้เทียนซิงได้อีก

และการต่อสู้ครั้งนี้นิกายกระบี่ฟ้าแพ้แล้ว

อย่างไรก็ตาม

ฮั่งเชินกัดฟันแน่นข่มอาการบาดเจ็บทั้งปวงและใช้พลังขุมสุดท้ายของสายเลือดกระบี่ยุทธ์เพื่อสวนกลับ

เมื่อเป็นเช่นนี้

จี้เทียนซิงก็จำเป็นต้องใช้ไพ่ตายเพื่อปิดฉากฮั่งเชินและทำให้มันหมดความเชื่อมั่นทั้งปวง

!

ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและค่อยๆยกสองมือขึ้นเหนือหน้าอก

ฟุ่บ

!

ฝ่ามือซ้ายพลิกคว่ำลงราวกับการกดทับพสุธา

ฟุ่บ

!

ฝ่ามือขวาสะบัดหงายขึ้นฟ้าเฉกเช่นการพุ่งทะยานขึ้นสู่เวหา

แปะ  !

จากนั้นสองฝ่ามือประสานเข้าหากันราวกับพนมมือ

“ครืน....   !!”

จี้เทียนซิงเร่งเร้าพลังจากกายตัวอ่อนกระบี่จนจุดประกายแสงสีทองอันตระการตาขึ้น  และในไม่ช้า กระบี่ทองคำเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

มันไม่ใช่ปราณกระบี่ ไม่ใช่คลื่นกระบี่ แต่มันคือกระบี่ที่อยู่ในรูปสสารจริงๆ !

เพียงแต่ว่ากระบี่ทองคำเล่มนี้ยังมีขนาดเล็ก

มันมีขนาดเท่ากับนิ้วโป้งใหญ่ๆเท่านั้น แต่ทว่ามันกลับเปล่งประกายเจิดจ้าและส่องแสงสีทองอันพร่างพราวบาดลูกตาออกมา

นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยเจตน์แห่งกระบี่ที่พุ่งทะยานทะลุเวหา

ราวกับว่าไอกระบี่ที่แผ่ซ่านออกมานั้นสามารถฉีกกระชากท้องฟ้าให้ขาดจากกันได้

ไม่ต้องสงสัยเลย   สิ่งนี้ก็คือตัวอ่อนกระบี่ของจี้เทียนซิง !

นับตั้งแต่ที่เขาทะลวงด่านมาถึงขอบเขตปราณจิต

ตัวอ่อนกระบี่ก็เปลี่ยนสภาพจากลำแสงและร่างเงาจนกลายมาเป็นสสารที่จับต้องได้ !

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้เองที่ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานขึ้นตามธรรมชาติ

นอกจากนี้ตัวอ่อนกระบี่เล่มนี้ได้รวมเอาพลังชีวิตของเขาไว้ด้วย

และแน่นอน มันเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า

การใช้พลังของตัวอ่อนกระบี่ในการโจมตีนั้น ถึงแม้มันจะมีพลังทำลายล้างที่สูงส่ง

แต่ทันทีที่ใช้ออกไป พลังปราณของเขาจะอ่อนล้าจนถึงขั้นต้องพักฟื้นร่วมครึ่งเดือนกว่าจะกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

ดังนั้น

หากไม่ใช่เพราะถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องตัดสินแพ้ชนะ เขาก็ไม่คิดจะเรียกกายตัวอ่อนกระบี่ออกมา

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังเร่งเร้าพลังอย่างหนักหน่วง

กายตัวอ่อนกระบี่ก็ล่องลอยอยู่บนฝ่ามือของเขาและหมุนด้วยความเร็วที่มากขึ้นเรื่อยๆ

“ครืน ...  ครืน !”

กายตัวอ่อนกระบี่หมุนด้วยความเร็วสูง

เจตน์กระบี่ของมันพุ่งทะลุท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่นเป็นระยะ

หลังจากไม่กี่ลมหายใจผ่านไป

จี้เทียนซิงก็ค่อยๆแยกฝ่ามือที่พนมมืออยู่ออกจากกัน ฝ่ามือซ้ายและฝ่ามือขวาของเขากางออกห่างกันมากกว่าหนึ่งเมตร

ในเวลานี้เองกายตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศระหว่างฝ่ามือทั้งสองก็ได้กลายเป็นกระบี่แสงสีทองยาวกว่าหนึ่งเมตร

ในระยะ

30 เมตรรอบตัวของเขาเต็มไปด้วยไอกระบี่ที่เป็นเอกเทศ

พื้นหินอ่อนที่แข็งแกร่งก็เริ่มปริแตกด้วยไอกระบี่อีกด้วย

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เผยสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง

พวกมันจ้องไปที่กายตัวอ่อนกระบี่ของจี้เทียนซิงจนตาแทบถลน

เหล่าศิษย์บางคนที่ฝีมืออ่อนด้อยคิดว่านี่คือกระบี่อีกเล่มหนึ่งของจี้เทียนซิง

มีเพียงยอดฝีมือชั้นสูงและอาวุโสของทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่ทราบว่ามันไม่ใช่กระบี่เรืองแสงธรรมดา

แต่มันคือกระบี่จิตวิญญาณที่มีพลังล้างปฐพี !

ฮั่งเชินรูม่านตาหดวูบเหลือเท่าเข็ม

มันจ้องมองกายตัวอ่อนกระบี่ของจี้เทียนซิงอย่างตกตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ดวงตาของมันสั่นระริกด้วยความกลัวและความสยดสยอง

ถึงตอนนี้มันจะสูญเสียสติสัมปชัญญะและความเยือกเย็น

แต่มันก็ยังเป็นมือกระบี่อัจฉริยะผู้หนึ่ง

แน่นอนว่ามันย่อมสัมผัสได้ถึงพลังของกระบี่เล่มนั้น

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็เร่งเร้าพลังของกายตัวอ่อนกระบี่ไปจนถึงขีดจำกัด

ดวงตาของเขาจ้องไปที่ฮั่งเชินและตะโกนออกมาอย่างเยือกเย็น

“ฮั่งเชิน

มันจบแล้ว !"

ถล่มฟ้า....

ทลายปฐพี !!

เมื่อสิ้นเสียงชายหนุ่มก็ผลักตัวอ่อนกระบี่ในฝ่ามือทั้งสองให้พุ่งเข้าหาฮั่งเชินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร

กายกระบี่ที่ส่องแสงบาดลูกตาได้เปลี่ยนสภาพเป็นกระบี่หนักสีทองยาวสามเมตรทันที

นอกจากนี้มันยังปะทุเปลวเพลิงสีทองออกมากลางอากาศอีกด้วย

เปลวเพลิงสีทองแวววาวที่ปรากฏขึ้นนี้ราวกับเป็นปีกของตัวอ่อนกระบี่

มันผลักดันให้ความเร็วในการเคลื่อนที่และพลังทำลายล้างพุ่งสู่ขีดจำกัดของมัน

เวทีมังกรจันทร์ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีทองอันตระการตา

เจตน์กระบี่ของกายตัวอ่อนกระบี่พุ่งออกไปรอบทิศทางจนทำให้พื้นหินอ่อนบนเวทีถูกกวาดเป็นรอยร้าวราวกับลำธาร

ฮั่งเชินถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเจตน์กระบี่อันน่าสะพรึง

มันทั้งตื่นตระหนกและหวาดผวาด

เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่ยักษ์ที่พุ่งเข้ามานี้

มันทำได้ดีที่สุดก็คือการยกกระบี่หนักพิฆาตสุริยันเข้าต้านรับและระเบิดพลังขุมสุดท้ายออกมา

ปง  !!!!!

กระบี่ยักษ์สีทองพร้อมกับปีกคู่หนึ่งกระทบร่างฮั่งเชินและทุบร่างของมันจนจมธรณีด้วยเสียงดังปัง

ขณะนั้นเองในระยะ

30 เมตรรอบๆถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งแสงสีทองที่แยงตาทุกคนจนไม่อาจลืมตาได้

แม้แต่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่แผดแสงเจิดจ้าก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองเหล่านี้จนกลายเป็นมืดมัว

เวทีมังกรจันทร์สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว

ผืนดินปริแตกกลายเป็นลำธารยาวขนาดใหญ่

ศิษย์หลายคนตื่นตะลึง

พวกมันจะยืนให้มั่นคงยังทำไม่ได้และมีบางส่วนล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น

มวลอากาศโดยรอบกลายเป็นรุนแรงเกรี้ยวกราดก่อเกิดเป็นพายุเฮอริเคนสีทอง

มันระเบิดไปทั่วทุกหนทุกแห่งและพัดก้อนหินดินทรายที่อยู่รอบๆเวทีม้วนไปรวมกัน

กระบี่อันวิจิตรงดงามผสมผสานกับความน่าตื่นตะลึงดังกล่าวทำให้ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ไม่มีวันลืมเลือน

!

หลังจากเวลาผ่านไปแสงสีทองและฝุ่นคลุ้งกระจายที่ปกคลุมท้องฟ้าก็ค่อยๆหายไป

เวทีมังกรจันทร์เงียบสงบลง

จากนั้นเงาร่างของจี้เทียนซิงและฮั่งเชินก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน

จุดสายตาของทุกคนไปรวมกันที่เวทีและต่างก็ได้เห็นว่าจี้เทียนซิงยืนหยัดอย่างโอ่อ่าผ่าเผย

สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด

กระบี่ยักษ์สีทองยาวสามเมตรพร้อมกับปีกเพลิงทองคำคู่หนึ่งก็กลับเป็นกายตัวอ่อนกระบี่เข้าร่างของเขาในที่สุด

กระบี่ที่งดงามและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายล้างนี้สูบกลืนพลังปราณไปถึงแปดส่วนจนทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงมาก

อีกทั้งพลังวิญญาณก็อ่อนโทรมลงไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม

ผลลัพธ์ของหนึ่งกระบี่นี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก

บนพื้นเวทีมังกรจันทร์ระเบิดออกเป็นหลุมยาวสามเมตร

รอบๆปรากฏเป็นรอยปริแตกขนาดใหญ่หลายร้อยเส้นสายราวกับใยแมงมุม

ฮั่งเชินยังไม่ตายแต่ปราณคุ้มกายถูกทำลายหมดสิ้น

มันได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป มันนอนจมบ่อเลือดที่ใต้ก้นหลุมขนาดใหญ่บนเวที

ครึ่งร่างถูกฝังไว้ด้วยก้อนกรวดนับไม่ถ้วน

สมบัติป้องกันที่มันสวมใส่อยู่นั้นถูกทำลายอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นเศษเหล็กบิดเบี้ยวผิดรูป

ร่างสูงใหญ่ของมันเต็มไปด้วยรอยแผลกากบาทของข่ายปราณกระบี่คลุมฟ้าก่อนหน้านี้

อีกทั้งยังมีรูเลือดขนาดใหญ่ที่เอว

ด้วยสภาพเละเทะเช่นนี้

อย่างน้อยๆฮั่งเชินก็ต้องพักฟื้นร่วมสองสามปีกว่าจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม !

เวทีมังกรจันทร์เงียบกริบ

ทุกคนต่างตกตะลึง

ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนและอ้าปากค้างจนลืมหายใจ

แม้กระทั่งอาวุโสของทั้งสองฝ่ายในฐานะยอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นสูงสุดก็ยังตกใจและประหลาดใจ

หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เริ่มได้สติ

พวกมันร่ำร้องอุทานและตะโกนออกมาอย่างเหลือเชื่อ

"สวรรค์  !  เจ้าหมอนั่นยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ

? การโจมตีของมันแทบจะลบเวทีมังกรจันทร์ให้หายไปจากโลกอยู่รอมร่อ

!”

“ด้วยพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรกกลับปะทุพลังทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้   มันฝึกฝนวิชากระบี่ผีสางอันใดกันแน่ !?”

“เหลือเชื่อนัก ! วันนี้นับเป็นบุญตาของข้าแล้วที่ได้เห็นวิชากระบี่และการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้

!”

"ทำไม ? เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร...

?  ฮั่งเชินแพ้

?  นิกายกระบี่ฟ้าของเราแพ้

?”

“วะ ฮ่าๆๆ… ชนะโว้ย  พวกเราชนะแล้ว !  จี้เทียนซิงสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ  มันล้มยอดอัจฉริยะฮั่งเชินได้แล้ว !!”

“ในที่สุดภูเขามังกรก็กลับมาเป็นของพวกเราชาวนิกายพันธมิตรสวรรค์

!”

“จี้เทียนซิง เจ้าทำได้ยอดมาก ! เจ้าคือวีรบุรุษของนิกายนี้ พวกเราภูมิใจในตัวเจ้ามาก !"

เสียงอุทานและเสียงตะโกนของทั้งสองฝั่งดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันจากทิศเหนือและทิศใต้ของเวทีมังกรจันทร์

เหล่าสมาชิกนิกายพันธมิตรสวรรค์รู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมาก

หลายคนโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ บ้างก็เต้นแร้งเต้นกากันอย่างเอิกเกริก  แม้แต่ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็ยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ส่วนเหล่านิกายกระบี่ฟ้าต่างมีสีหน้าเศร้าสลด

ใบหน้าของพวกมันกลายเป็นน่าเกลียดพลางตะโกนโต้เถียงและสบถออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

โดยเฉพาะผู้อาวุโสถังและอาวุโสคุมกฎ

ทั้งสองมีสีหน้ามืดมนราวกับญาติเสีย

การประลองหลงซานครั้งนี้พวกมันไม่เพียงสูญเสียสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรไปสามปี

แต่ยังสูญเสียยอดอัจฉริยะฮั่งเชินที่เพิ่งกะเกณฑ์มาเข้านิกายอีกด้วย

มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนมีสารรูปน่าสังเวชแถมยังต้องพักฟื้นอีกหลายปีกว่าจะกลับมาเป็นกำลังให้นิกายได้ดั่งเดิม