ยอดเขาซิงเฉิน
เมื่อถึงวันที่สาม
จี้เทียนซิงออกจากตำหนักเทียนซิงหลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องออกเดินทางไปยังยอดเขาซิงเฉินพร้อมกับหยุนเหยา
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาภายในนิกายเต็มไปด้วยความคึกครื้น
ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องการประลองของเขากับไป๋หวู่เชิน
มันทำให้เขากลายเป็นจุดรวมความสนใจ
แต่เขาก็ยังสงบเยือกเย็นและปิดด่านบ่มเพาะเพื่อพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น, เขาก็เดินลงจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสที่เชิงเขา
โดยมีเงาร่างบอบบางของหยุนเหยามายืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับกระเรียนวิญญาณของนาง
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายนางก็พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ขึ้นมา”
จี้เทียนซิงอึ้งไปวูบหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดที่จะขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยเพื่อเดินทาง
แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางเขาจึงได้เพียงกระโดดขึ้นหลังกระเรียนวิญญาณแทน
จากนั้นกระเรียนวิญญาณก็ส่งเสียงกรีดร้องและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
จี้เทียนซิงและหยุนเหยายืนเคียงข้างกันอยู่บนหลังของกระเรียนวิญญาณ
สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างสงบ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยุนเหยาก็ถามขึ้นว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง เหตุใดเจ้าถึงได้เขียนประกาศท้าประลองกับศิษย์น้องไป๋อย่างกระทันหันเช่นนี้
?"
จี้เทียนซิงเบือนหน้ามองพวงแก้มขาวพ่องของนางและเผยให้เห็นรอยยิ้มมุมปาก เขาไม่ตอบคำถามนาง แต่กลับย้อนถามอย่างถือดีว่า
“แล้วศิษย์พี่ใหญ่คิดอย่างไรเล่า ?”
หยุนเหยามองยังคงมองตรงไปข้างหน้าและลดเสียงลงพูดว่า “หลังจากข่าวแพร่ออกไป
ทั่วทั้งนิกายก็ตกอยู่ในความอลหม่านเพราะเรื่องราวในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนิกายชั้นใน
แทบทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เจ้านั้นอวดดีและประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักเจ้าดี
เจ้ามิใช่คนเลือดร้อนและหุนหันพลันแล่น ดังนั้นเจ้าย่อมมีเหตุผลในการกระทำครั้งนี้”
หลังจากพูดจบประโยคนางก็ผินดวงหน้างามหมดจดมามองจี้เทียนซิง ดวงตากลมโตที่กระจ่างใสของนางเผยให้เห็นถึงความคาดหวัง
เมื่อทั้งสองสบตากัน
จี้เทียนซิงก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง
สุดท้ายก็มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ที่เข้าใจข้าดีที่สุด
ข้าใช้เวลาเพียงสามเดือนในการทะยานเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข
นี่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาศิษย์สาวกทุกคน ข้าตกเป็นเป้าที่ถูกผู้คนก้นด่าวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนั่นก็ยังไม่เท่าไหร่
แต่ข้ากระทั่งถูกผู้คนวางแผนชั่วใส่ร้ายป้ายสี
พวกมันเกลียดขี้หน้าข้าและอยากเห็นข้าร่วงหล่นจากเวหาสู่ขุมนรกอเวจี”
“ตอนนี้ข้าอยู่หัวแถว ด้านหน้าคือภูเขาคมกระบี่ส่วนด้านหลังคือหุบเหวของขุมนรก
หากจะเดินหน้าก็ต้องฝ่าอันตราย ถอยหลังก็จมสู่ความตาย !”
เมื่อพูดถึงช่วงนี้สีหน้าของเขาก็กลายเป็นหนักแน่นจริงจัง
เขาลดเสียงลงและกล่าวต่อไปอย่างเคร่งขรึม “จากที่ศิษย์พี่ใหญ่เคยพูดกับข้า จงเผชิญหน้ากับการถูกวิจารณ์และใส่ร้ายป้ายสี
ในยุทธภพที่ความแข็งแกร่งเป็นใหญ่
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องความเห็นใจและความยุติธรรม
มีเพียงความแข็งแกร่งแท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้ผู้อื่นหุบปาก ! เปลี่ยนการดูหมิ่นเหยียดหยามให้กลายเป็นความหวาดกลัว
ทำให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญในพลังอำนาจของเรา !”
“ในเมื่อไป๋หวู่เชินเป็นฝ่ายหาเรื่องและใส่ความข้าก่อน
เช่นนั้นข้าจะใช้มันเป็นหินรองเท้าและเหยียบย่ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้าของข้า
สร้างความหวาดกลัวให้แก่ศิษย์ทุกคน !”
เมื่อจี้เทียนซิงพูดประโยคออกมา
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่
หยุนเหยาใช้ดวงตากลมโตคู่งามของนางจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม
มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องเทียนซิง
เพียงเวลาไม่กี่เดือน เจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อยทีเดียว”
ต่อให้นางไม่พูด
ทุกคนก็ทราบดีว่าเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจริงๆในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงเข้าใจดีว่านางหมายถึงอะไร ทั้งสองมองหน้ากันและเกิดความเข้าใจด้วยกันโดยปริยาย
หยุนเหยากล่าวต่อไปว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง ความคิดของเจ้าถูกต้องแล้ว
ทว่า เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นก่อนที่การประลองจัดอันดับขั้นสวรรค์จะเริ่มขึ้น
เจ้าต้องพยายามให้มาก”
จี้เทียนซิงพยักหน้า, ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความมั่นใจ “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อได้ป่าวประกาศไปแล้วข้าทำได้เพียงต้องชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าแพ้ไม่ได้”
หยุนเหยาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งและไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่แน่นอนว่าทัศนคติของนางก็คือสนับสนุนการกระทำของจี้เทียนซิงและคาดหวังว่าเขาจะทำได้สำเร็จ
...............
ผ่านไปหกชั่วยามโดยไม่รู้ตัว
กระเรียนวิญญาณที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งโดยสารมาได้บินมาร่วมสองพันไมล์และในที่สุดก็มาถึงยอดเขาซิงเฉิน
ยอดเขาแห่งนี้ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของดินแดนดาราบรรพกาลและสูงถึงห้ากิโลเมตรนับจากพื้นดิน
ทอดสายตามองไปทั่วดินแดน
ยอดเขาซิงเฉินเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและมีลักษณะที่น่าประทับใจที่สุด
หากยืนอยู่บนนั้นในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เราจะรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับท้องฟ้าและเอื้อมมือออกไปคว้าดวงดาวได้เลยทีเดียว
ยอดเขาซิงเฉินก็มีที่มาจากลักษณะเช่นนี้นั่นเอง
แปดนิกายกระจายกันตั้งรกรากอยู่ทั่วดินแดนดาราบรรพกาลและไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้อง
แต่ในทุกๆ1-2ปี
นิกายเหล่านี้จะร่วมมือกันจัดประชุมสภาแปดนิกายเพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายในดินแดน
แน่นอนว่าที่ตั้งของการประชุมนั้นย่อมเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดและโบราณที่สุดก็คือยอดเขาแห่งนี้
เชิงเขาของยอดเขาซิงเฉินถูกปูพื้นขึ้นด้วยหินอ่อนขนาดใหญ่และมีลักษณะที่สง่างามโอ่อ่า
ดูกว้างใหญ่ มันคือเวทีแห่งดวงดารา
ในทุกๆสามปีศิษย์หัวกะทิของทั้งแปดนิกายจะมาประชันกันบนเวทีแห่งนี้เพื่อจัดอันดับรายชื่อแห่งดวงดารา
ซึ่งรายชื่อแห่งดวงดารานั้นเป็นทั้งการจัดอันดับแปดสุดยอดอัจฉริยะจากทั้งแปดนิกายและยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
!
เมื่อสองปีที่แล้วหยุนเหยาก็เคยยืนอยู่บนเวทีดวงดาราแห่งนี้
นางล้มยอดฝีมือทุกคนจนได้รับอันดับหนึ่งในรายชื่อแห่งดวงดาราและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนออกเดินทาง
จี้เทียนซิงได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีความเข้าใจในยอดเขาซิงเฉินตลอดจนสถานการณ์ของทั้งแปดนิกายมาบ้างแล้ว
บัดนี้เป็นเวลาสายัณห์
แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินได้ส่องสว่างระหว่างฟ้าดินและสะท้อนครึ่งหนึ่งของยอดเขาอย่างงดงามตระการตา
จี้เทียนซิงยืนอยู่บนหลังของกระเรียนวิญญาณ
สายตาจับจ้องไปที่ยอดเขาซิงเฉินในตำแหน่งที่เหมาะเจาะแก่การเสพรับทัศนียภาพอันงดงาม
ยอดเขาสูงห้ากิโลเมตรลูกนี้ตั้งตะหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพีราวกับเป็นเจดีย์สีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
รอบๆภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวหลายชั้นซึ่งทำให้ผู้คนมองเห็นราวกับภาพมายา
จุดสูงสุดของยอดเขาลูกนี้ไม่ได้ถูกล้อมรอบหรือเชื่อมต่อกับภูเขาลูกอื่นๆ
มันเป็นยอดเขาที่โดดเดี่ยวจนทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนนั้นรู้สึกราวกับว่าตนเองยืนอยู่เหนือสรรพสิ่ง
กำแพงภูเขาของยอดเขาลูกนี้สูงชันมากจนแทบจะเรียกได้ว่าตั้งฉากกับพื้นดินและเป็นการยากที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะไต่ขึ้นไปได้ง่ายๆ
บางทีอาจมีเพียงผู้เชี่ยวชาญและยอดฝีมือที่ขี่สัตว์วิญญาณบินได้เท่านั้นจึงจะมาถึงยอดเขาได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่งกระเรียนวิญญาณก็บินไปที่จุดสูงสุดของยอดเขาซิงเฉิน
มันโฉบไปมาและค่อยๆร่อนลงบนเชิงเขา
เมื่อมันบินทะลุผ่านชั้นเมฆสีขาวและกำลังจะมาถึงที่เชิงเขาจี้เทียนซิงก็ได้เห็นภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน
ภูมิประเทศของภูเขาลูกนั้นราบเรียบและมีพื้นที่โล่งถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร
พื้นที่เปิดโล่งนั้นก็คือเวทีแห่งดวงดารา
บนพื้นเวทีถูกปูไว้ด้วยหินสีฟ้าที่แกะสลักไว้ด้วยภาพหมู่ดาว
ภาพแกะสลักหมู่ดาวนั้นสามารถมองเห็นได้จากบนท้องฟ้า
มันดูราวกับว่ามีดวงดาวนับพันๆดวงกำลังส่องแสงในยามพระอาทิตย์ตกดิน
รอบๆเวทีแห่งดวงดารามีรั้วหินสีดำสูงสองเมตร
นอกรั้วคือเหวลึกไร้ก้นที่ปกคลุมไว้ด้วยชั้นเมฆสีขาว
“ฟุ่บ !”
ในที่สุดกระเรียนวิญญาณก็มาถึงบนเวทีแห่งดวงดารา
จากนั้นหยุนเหยาและจี้เทียนซิงก็กระโดดจากบนหลังของมัน
จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปมองรอบๆและได้สตรีสองนางยืนรออยู่ตรงหัวมุมอย่างเงียบงัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่มาถึง
หญิงชราและสตรีทั้งสองคนนี้มาถึงยอดเขาซิงเฉินก่อนพวกเขา
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved