ตอนที่ 248

ยอดเขาซิงเฉิน

เมื่อถึงวันที่สาม

จี้เทียนซิงออกจากตำหนักเทียนซิงหลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ

วันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องออกเดินทางไปยังยอดเขาซิงเฉินพร้อมกับหยุนเหยา

ในช่วงสองวันที่ผ่านมาภายในนิกายเต็มไปด้วยความคึกครื้น

ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องการประลองของเขากับไป๋หวู่เชิน

มันทำให้เขากลายเป็นจุดรวมความสนใจ

แต่เขาก็ยังสงบเยือกเย็นและปิดด่านบ่มเพาะเพื่อพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น, เขาก็เดินลงจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสที่เชิงเขา

โดยมีเงาร่างบอบบางของหยุนเหยามายืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับกระเรียนวิญญาณของนาง

ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายนางก็พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ขึ้นมา”

จี้เทียนซิงอึ้งไปวูบหนึ่ง

เดิมทีเขาคิดที่จะขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยเพื่อเดินทาง

แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางเขาจึงได้เพียงกระโดดขึ้นหลังกระเรียนวิญญาณแทน

จากนั้นกระเรียนวิญญาณก็ส่งเสียงกรีดร้องและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

จี้เทียนซิงและหยุนเหยายืนเคียงข้างกันอยู่บนหลังของกระเรียนวิญญาณ

สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างสงบ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยุนเหยาก็ถามขึ้นว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง เหตุใดเจ้าถึงได้เขียนประกาศท้าประลองกับศิษย์น้องไป๋อย่างกระทันหันเช่นนี้

?"

จี้เทียนซิงเบือนหน้ามองพวงแก้มขาวพ่องของนางและเผยให้เห็นรอยยิ้มมุมปาก  เขาไม่ตอบคำถามนาง แต่กลับย้อนถามอย่างถือดีว่า

“แล้วศิษย์พี่ใหญ่คิดอย่างไรเล่า ?”

หยุนเหยามองยังคงมองตรงไปข้างหน้าและลดเสียงลงพูดว่า “หลังจากข่าวแพร่ออกไป

ทั่วทั้งนิกายก็ตกอยู่ในความอลหม่านเพราะเรื่องราวในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนิกายชั้นใน

แทบทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

เจ้านั้นอวดดีและประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป  อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักเจ้าดี

เจ้ามิใช่คนเลือดร้อนและหุนหันพลันแล่น ดังนั้นเจ้าย่อมมีเหตุผลในการกระทำครั้งนี้”

หลังจากพูดจบประโยคนางก็ผินดวงหน้างามหมดจดมามองจี้เทียนซิง  ดวงตากลมโตที่กระจ่างใสของนางเผยให้เห็นถึงความคาดหวัง

เมื่อทั้งสองสบตากัน

จี้เทียนซิงก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง

สุดท้ายก็มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ที่เข้าใจข้าดีที่สุด

ข้าใช้เวลาเพียงสามเดือนในการทะยานเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

นี่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาศิษย์สาวกทุกคน ข้าตกเป็นเป้าที่ถูกผู้คนก้นด่าวิพากษ์วิจารณ์  ซึ่งนั่นก็ยังไม่เท่าไหร่

แต่ข้ากระทั่งถูกผู้คนวางแผนชั่วใส่ร้ายป้ายสี

พวกมันเกลียดขี้หน้าข้าและอยากเห็นข้าร่วงหล่นจากเวหาสู่ขุมนรกอเวจี”

“ตอนนี้ข้าอยู่หัวแถว ด้านหน้าคือภูเขาคมกระบี่ส่วนด้านหลังคือหุบเหวของขุมนรก

หากจะเดินหน้าก็ต้องฝ่าอันตราย ถอยหลังก็จมสู่ความตาย !”

เมื่อพูดถึงช่วงนี้สีหน้าของเขาก็กลายเป็นหนักแน่นจริงจัง

เขาลดเสียงลงและกล่าวต่อไปอย่างเคร่งขรึม “จากที่ศิษย์พี่ใหญ่เคยพูดกับข้า จงเผชิญหน้ากับการถูกวิจารณ์และใส่ร้ายป้ายสี

ในยุทธภพที่ความแข็งแกร่งเป็นใหญ่

ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องความเห็นใจและความยุติธรรม

มีเพียงความแข็งแกร่งแท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้ผู้อื่นหุบปาก ! เปลี่ยนการดูหมิ่นเหยียดหยามให้กลายเป็นความหวาดกลัว

ทำให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญในพลังอำนาจของเรา !”

“ในเมื่อไป๋หวู่เชินเป็นฝ่ายหาเรื่องและใส่ความข้าก่อน

เช่นนั้นข้าจะใช้มันเป็นหินรองเท้าและเหยียบย่ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้าของข้า

สร้างความหวาดกลัวให้แก่ศิษย์ทุกคน !”

เมื่อจี้เทียนซิงพูดประโยคออกมา

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่

หยุนเหยาใช้ดวงตากลมโตคู่งามของนางจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม

มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องเทียนซิง

เพียงเวลาไม่กี่เดือน เจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อยทีเดียว”

ต่อให้นางไม่พูด

ทุกคนก็ทราบดีว่าเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจริงๆในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงเข้าใจดีว่านางหมายถึงอะไร ทั้งสองมองหน้ากันและเกิดความเข้าใจด้วยกันโดยปริยาย

หยุนเหยากล่าวต่อไปว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง ความคิดของเจ้าถูกต้องแล้ว

ทว่า เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นก่อนที่การประลองจัดอันดับขั้นสวรรค์จะเริ่มขึ้น

เจ้าต้องพยายามให้มาก”

จี้เทียนซิงพยักหน้า, ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความมั่นใจ “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อได้ป่าวประกาศไปแล้วข้าทำได้เพียงต้องชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าแพ้ไม่ได้”

หยุนเหยาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งและไม่ได้พูดอะไรอีก

แต่แน่นอนว่าทัศนคติของนางก็คือสนับสนุนการกระทำของจี้เทียนซิงและคาดหวังว่าเขาจะทำได้สำเร็จ

...............

ผ่านไปหกชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

กระเรียนวิญญาณที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งโดยสารมาได้บินมาร่วมสองพันไมล์และในที่สุดก็มาถึงยอดเขาซิงเฉิน

ยอดเขาแห่งนี้ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของดินแดนดาราบรรพกาลและสูงถึงห้ากิโลเมตรนับจากพื้นดิน

ทอดสายตามองไปทั่วดินแดน

ยอดเขาซิงเฉินเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและมีลักษณะที่น่าประทับใจที่สุด

หากยืนอยู่บนนั้นในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว

เราจะรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับท้องฟ้าและเอื้อมมือออกไปคว้าดวงดาวได้เลยทีเดียว

ยอดเขาซิงเฉินก็มีที่มาจากลักษณะเช่นนี้นั่นเอง

แปดนิกายกระจายกันตั้งรกรากอยู่ทั่วดินแดนดาราบรรพกาลและไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้อง

แต่ในทุกๆ1-2ปี

นิกายเหล่านี้จะร่วมมือกันจัดประชุมสภาแปดนิกายเพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายในดินแดน

แน่นอนว่าที่ตั้งของการประชุมนั้นย่อมเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดและโบราณที่สุดก็คือยอดเขาแห่งนี้

เชิงเขาของยอดเขาซิงเฉินถูกปูพื้นขึ้นด้วยหินอ่อนขนาดใหญ่และมีลักษณะที่สง่างามโอ่อ่า

ดูกว้างใหญ่ มันคือเวทีแห่งดวงดารา

ในทุกๆสามปีศิษย์หัวกะทิของทั้งแปดนิกายจะมาประชันกันบนเวทีแห่งนี้เพื่อจัดอันดับรายชื่อแห่งดวงดารา

ซึ่งรายชื่อแห่งดวงดารานั้นเป็นทั้งการจัดอันดับแปดสุดยอดอัจฉริยะจากทั้งแปดนิกายและยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

!

เมื่อสองปีที่แล้วหยุนเหยาก็เคยยืนอยู่บนเวทีดวงดาราแห่งนี้

นางล้มยอดฝีมือทุกคนจนได้รับอันดับหนึ่งในรายชื่อแห่งดวงดาราและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนออกเดินทาง

จี้เทียนซิงได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีความเข้าใจในยอดเขาซิงเฉินตลอดจนสถานการณ์ของทั้งแปดนิกายมาบ้างแล้ว

บัดนี้เป็นเวลาสายัณห์

แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินได้ส่องสว่างระหว่างฟ้าดินและสะท้อนครึ่งหนึ่งของยอดเขาอย่างงดงามตระการตา

จี้เทียนซิงยืนอยู่บนหลังของกระเรียนวิญญาณ

สายตาจับจ้องไปที่ยอดเขาซิงเฉินในตำแหน่งที่เหมาะเจาะแก่การเสพรับทัศนียภาพอันงดงาม

ยอดเขาสูงห้ากิโลเมตรลูกนี้ตั้งตะหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพีราวกับเป็นเจดีย์สีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่หลังหนึ่ง

รอบๆภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวหลายชั้นซึ่งทำให้ผู้คนมองเห็นราวกับภาพมายา

จุดสูงสุดของยอดเขาลูกนี้ไม่ได้ถูกล้อมรอบหรือเชื่อมต่อกับภูเขาลูกอื่นๆ

มันเป็นยอดเขาที่โดดเดี่ยวจนทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนนั้นรู้สึกราวกับว่าตนเองยืนอยู่เหนือสรรพสิ่ง

กำแพงภูเขาของยอดเขาลูกนี้สูงชันมากจนแทบจะเรียกได้ว่าตั้งฉากกับพื้นดินและเป็นการยากที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะไต่ขึ้นไปได้ง่ายๆ

บางทีอาจมีเพียงผู้เชี่ยวชาญและยอดฝีมือที่ขี่สัตว์วิญญาณบินได้เท่านั้นจึงจะมาถึงยอดเขาได้

หลังจากนั้นครู่หนึ่งกระเรียนวิญญาณก็บินไปที่จุดสูงสุดของยอดเขาซิงเฉิน

มันโฉบไปมาและค่อยๆร่อนลงบนเชิงเขา

เมื่อมันบินทะลุผ่านชั้นเมฆสีขาวและกำลังจะมาถึงที่เชิงเขาจี้เทียนซิงก็ได้เห็นภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน

ภูมิประเทศของภูเขาลูกนั้นราบเรียบและมีพื้นที่โล่งถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร

พื้นที่เปิดโล่งนั้นก็คือเวทีแห่งดวงดารา

บนพื้นเวทีถูกปูไว้ด้วยหินสีฟ้าที่แกะสลักไว้ด้วยภาพหมู่ดาว

ภาพแกะสลักหมู่ดาวนั้นสามารถมองเห็นได้จากบนท้องฟ้า

มันดูราวกับว่ามีดวงดาวนับพันๆดวงกำลังส่องแสงในยามพระอาทิตย์ตกดิน

รอบๆเวทีแห่งดวงดารามีรั้วหินสีดำสูงสองเมตร

นอกรั้วคือเหวลึกไร้ก้นที่ปกคลุมไว้ด้วยชั้นเมฆสีขาว

“ฟุ่บ !”

ในที่สุดกระเรียนวิญญาณก็มาถึงบนเวทีแห่งดวงดารา

จากนั้นหยุนเหยาและจี้เทียนซิงก็กระโดดจากบนหลังของมัน

จากนั้นทั้งคู่ก็หันไปมองรอบๆและได้สตรีสองนางยืนรออยู่ตรงหัวมุมอย่างเงียบงัน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่มาถึง

หญิงชราและสตรีทั้งสองคนนี้มาถึงยอดเขาซิงเฉินก่อนพวกเขา