ตอนที่ 329 ไร้ยางอาย !

ก่อนหน้านี้ซื่อเหวินหยูได้เข้ามาในหอคอยเจ็ดดาวเป็นเวลาห้าปีติดต่อกัน

ในช่วงสามปีแรก มันหยุดอยู่ที่ชั้นห้าและไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงโลกชั้นที่หกได้

จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดมันก็ผ่านชั้นที่ห้าและมาติดอยู่กลางทุ่งหญ้าบนชั้นที่หก

หลังจากการวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดมันก็ตระหนักถึงความลึกลับของโลกชั้นที่หก

ด้วยเหตุนี้ มันจึงกล้ารับปากเทียนเจี้ยนจงอย่างขันแข็งด้วยความมั่นใจที่ล้นปรี่ว่า

มันจะขึ้นไปถึงชั้นที่เจ็ดในปีนี้ได้อย่างแน่นอน !

"ฮ่าๆ ! ข้าสามารถทำลายโลกที่น่าอัศจรรย์ใบนั้นได้สำเร็จ  นอกจากหยุนเหยาก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้ !"

"ส่วนเจ้าสารเลวจี้เทียนซิง ป่านนี้มันคงหัวหมุนอยู่ในโลกชั้นที่ห้าเป็นแน่  มันคงรับมือกับสัตว์ประหลาดยักษ์ด้วยความสิ้นหวัง  ฮ่าๆๆ... "

ซื่อเหวินหยูหัวเราะอย่างภาคภูมิใจและคิดว่าจี้เทียนซิงอาจจะยังติดอยู่ในโลกชั้นที่ห้า

ในใจของมันจึงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะ

แต่ในเวลานี้เอง แสงสว่างที่แยงเข้าสู่หางตาของมันทำให้มันต้องหันขวับไปอย่างรวดเร็ว

จนได้พบว่ากลางทางเดินสีดำมีเงาร่างในอาภรณ์สีขาวกำลังปิดตานั่งขัดสมาธิอยู่

สีหน้าของมันเปลี่ยนไปทันที

เผยรูปลักษณ์ที่เหลือเชื่อขึ้น

“บ้าน่า มีคนขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดก่อนหน้าข้า ?  เป็นไปได้ยังไงกันวะ !!”

ซื่อเหวินหยูคำรามลั่น

คนรีบพุ่งไปที่กลางข่ายอาคม

เมื่อมาถึงเขาก็พบว่าคนที่นั่งอยู่นั่นก็คือจี้เทียนซิง

!

จี้เทียนซิงดูสงบเยือกเย็น

ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยแสงจากดวงดาวซ้อนหลายชั้น เขาบ่มเพาะอยู่ที่นี่มานานแล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าของซื่อเหวินหยูก็กลายเป็นน่าเกลียด

ความขุ่นแค้น ความอับอายและโทสะหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของมันไม่ขาดสาย

มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจี้เทียนซิงสามารถมาถึงชั้นสูงสุดของหอคอยเจ็ดดาวได้ก่อนมัน

!

เมื่อครู่ที่ผ่านมามันเพิ่งจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

เชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มอกว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่เพียงด้อยกว่าหยุนเหยา

แต่ผลที่ออกมากลับกลายเป็นการตบหน้ามันเงียบๆ  ใบหน้าของมันกลายเป็นแดงก่ำด้วยความอับอายจนแทบจะขุดรูหนี

"โชคดีที่จี้เทียนซิงกำลังบ่มเพาะอยู่ในภวังค์  ข้าอยู่ห่างจากมันพอสมควร

มันไม่น่าจะได้ยินคำพูดของข้า... "

ซื่อเหวินหยูปลอบใจตัวเองและทำให้สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้น

ในเวลาเดียวกันจี้เทียนซิงก็เสร็จสิ้นการบ่มเพาะและเปิดตาขึ้น

เมื่อได้เห็นซื่อเหวินหยูที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงหน้า

เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วแสดงท่าทางขี้เล่นออกมาไม่ได้

"เฮอะๆ....

คิดไม่ถึงเลยว่าท่านชายเหวินหยูจะผ่านชั้นเจ็ดมาได้  ถึงจะช้าไปหลายวันก็เถอะ"

ซื่อเหวินหยูใบหน้าเหยเกเต็มไปด้วยความอับอาย

หลังจากได้ยินจี้เทียนซิงพูดแซะ ใบหน้าของมันก็แดงกำในทันที

โทสะพลันปะทุผ่านแววตาของมัน

คนจ้องมองอีกฝ่ายพลางตะโกนอย่างเย็นชาว่า

"จี้เทียนซิง ! เจ้าอย่าได้ด่วนดีใจไปนักเลย !"

"แม้ว่าเจ้าจะมาถึงชั้นเจ็ดก่อนข้าก็ตามที

แต่มันเป็นเพราะเจ้ามีสัตว์เลี้ยงคอยช่วยเหลือต่างหาก ! ... หากเทียบกับความรู้ที่แท้จริง

เจ้าเทียบข้าไม่ได้หรอก !"

จี้เทียนซิงเอียงคอเล็กน้อยและหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

“เหรอ ? หากเป็นเช่นนั้นจริงทำไมเจ้าถึงได้มีสารรูปราวกับขอทานเยี่ยงนี้เล่า

?"

"หรือว่านี่เป็นชุดเครื่องแบบยอดนิยมของนิกายกระบี่ฟ้า

?"

"เจ้า !  เจ้า !!!”

ซื่อเหวินหยูกรีดร้องเสียงหลง

ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย หน้าอกพองขึ้นลงอย่างขุ่นแค้นจนแทบอาเจียนเป็นเลือด

หากจี้เทียนซิงด่าทอหรือเยาะเย้ยมันเหมือนคนทั่วไป

บางทีมันอาจจะไม่รู้สึกโกรธขนาดนี้

แต่ลักษณะท่าทางที่จี้เทียนซิงปฏิบัติต่อมันนั้นช่างดูไม่แยแส

ราวกับแววตาเยือกเย็นของผู้ที่เหนือกว่ากำลังก้มลงมองผู้ต่ำต้อย

ความทะนงเย่อหยิ่งของมันได้ถูกจี้เทียนซิงเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก

ซึ่งทำให้มันได้สะสมความโกรธแค้นไว้ในหัวใจมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันไม่หุนหันพลันแล่นและพยายามเต็มที่ในการระงับโทสะ

จากนั้นครุ่นคิดในใจลับๆว่า

"จี้เทียนซิงนั่งบ่มเพาะฟื้นฟูที่นี่มานานแล้ว

ดังนั้นความแข็งแกร่งและพลังกายของมันคงฟื้นคืนกลับมาหมด

ส่วนข้าเพิ่งมาถึงชั้นเจ็ด อาการบาดเจ็บทั้งภายนอกภายในยังไม่หายดี  .... ถ้าหาก

ตรงเข้าไปตะบันหน้ามันตอนนี้ข้าคงต้องแพ้อย่างแน่นอน"

ซื่อเหวินหยูวิเคราะห์เงียบๆและตัดสินใจอดทนอีกพักหนึ่ง

จนกระทั่งความแข็งแกร่งฟื้นฟูกลับมา

ถึงเวลานั้นมันจะสั่งสอนจี้เทียนซิงอย่างดุร้าย !

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันก็จ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยแววตาคมกริบพลางกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึกว่า

“จี้เทียนซิง

หอคอยเจ็ดดาวเป็นสถานที่อันตรายมาก ผู้ที่สามารถขึ้นมาถึงจุดสูงสุดก็นับว่าเป็นยอดคน  เอาเถอะ วันนี้ข้าจะไม่อะไรกับเจ้า

ไว้รอจนถึงการจัดอันดับรายชื่อแห่งดวงดาราในปีหน้า

เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะล้มเจ้าต่อหน้าธารกำนัลให้มันรู้กันไปว่าเจ้ามันแน่แค่ไหน"

แน่นอนว่าจี้เทียนซิงมองความคิดในหัวของมันออก

และอดไม่ได้ที่ยกยิ้มอย่างเหยียดหยามพลางกล่าวว่า

“ซื่อเหวินหยู ในเมื่อเจ้ามั่นใจมากขนาดนั้น

จะต้องรอให้ถึงการจัดอันดับรายชื่อดวงดาราปีหน้าทำไม ?”

“ข้าเห็นว่าสถานที่แห่งนี้กว้างขวางและเหมาะสำหรับการต่อสู้  ทำไมเจ้าไม่มาเล่นกับข้าสักหน่อยเล่า ?  ให้ข้าได้ดูหน่อยว่าเจ้าจะเอาชนะข้าอย่างไร ?”

เขาไม่แสดงความเมตตา และท้าทายอีกฝ่ายซึ่งหน้าในทันที

"บัดซบ จี้เทียนซิง ! เจ้ากำลังหาที่ตาย !"

“ฟุ่บ !”

ซื่อเหวินหยูคำรามลั่น

คนพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเร็วได้ พลันเหวี่ยงหมัดขนาดใหญ่ชกเข้าหาศีรษะของจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงโต้กลับทันควัน

จิตวิญญาณการต่อสู้ปะทุขึ้น

เขากระแทกหมัดออกไปเข้าปะทะกับซื่อเหวินหยูอย่างไม่หวั่นเกรง

“ ปัง !

ปัง  !!”

หมัดทั้งสองชนกันอย่างดุเดือดและส่งเสียงดังสนั่น

จี้เทียนซิงยังคงยืนอยู่กับที่โดยไม่ถอยแม้แต่น้อย

ราวกับหยั่งรากลึกไว้ในพื้นดิน

ส่วนซื่อเหวินหยูถูกกระแทกถอยหลังไปห้าก้าว

โซเซจนแทบจะล้มลงกับพื้น

มันได้รับบาดเจ็บและความแข็งแกร่งก็ยังไม่ฟื้นคืน

ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

มันตะโกนด้วยความโกรธแค้น "จี้เทียนซิง ! เจ้ามันรังแกผู้คนเกินไปแล้ว !"

"แน่จริงเจ้ากล้าให้เวลาข้าสักหนึ่งวันไหมเล่า

? ให้ข้าเข้าไปดูดซับพลังดวงดาวตรงที่ของเจ้า

รอให้ข้าฟื้นฟูพลังและเยียวยาบาดแผลจนหายดี ถึงตอนนั้นข้าจะอัดเจ้าให้จมธรณีเลย !"

มันต้องการยั่วยุและกระตุ้นจี้เทียนซิงเพื่อประวิงเวลาออกไป

แต่สิ่งที่มันคาดไม่ถึงก็คือ

จี้เทียนซิงไม่หลงกลและไม่แยแสแม้แต่น้อย

คนยักไหล่พลางหัวเราะเยาะและกล่าวว่า  "อย่าได้มาเล่นแผนไร้ยางอายเช่นนี้กับคนอย่างข้า

มันไม่ได้ผลหรอก"

"ข้ามาถึงที่นี่ก่อน บริเวณนี้เป็นอาณาเขตของข้าแล้ว

หากเจ้าคิดจะฟื้นฟูตัวเองก็ไปหาที่ไกลๆซะ !"

"ไม่เช่นนั้น

ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะหิ้วเจ้า จับโยนออกไปจากหอคอยเจ็ดดาว !"

ซื่อเหวินหยูแค้นจนปอดแทบระเบิด

มันกระทืบเท้าอย่างแรงด้วยร่างกายสั่นระริก

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

ศิษย์สาวกคนไหนบ้างที่เห็นมันแล้วไม่ยิ้มให้ด้วยความเคารพนับถือ ?

เคยมีใครกล้าที่จะตะโกนใส่มันเช่นนี้ ?

แล้วมันเคยถูกเหยียดหยามตั้งแต่เมื่อใด ?

"หนอย

จี้เทียนซิง เจ้าคอยก่อนเถอะ ความแค้นนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแน่ !”

ซื่อเหวินหยูจ้องหน้าจี้เทียนซิงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแรง

จากนั้นสะบัดปลายแขนเสื้อหันหลังเตรียมจะเดินจากไป

จี้เทียนซิงก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าซื่อเหวินหยูยังสามารถกล้ำกลืนความอัปยศไปได้

ทั้งๆที่โดนหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้

เขาแปลกใจเล็กน้อยและครุ่นคิดในใจอย่างลับๆว่า

"ซื่อเหวินหยูผู้นี้ช่างมีความอดทนอดกลั้นเป็นเลิศจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกัน"

ซื่อเหวินหยูจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

จากนั้นเดินต่อไปที่ริมขอบของค่ายกลเจ็ดดาวเพื่อฟื้นฟูบาดแผล

อย่างไรก็ตาม  ทันใดนั้นมันก็ได้เห็นหินแร่สีเงินและโลงหยกวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆจี้เทียนซิง

คนเลิกคิ้วขึ้นและเบิกตากว้างในทันที

ความโลภปรากฏขึ้นผ่านแววตาของมัน

“หินที่เปล่งแสงสีเงินนั่นตั้งอยู่ใจกลางของค่ายกลเจ็ดดาว

มันสมควรเป็นหินวิญญาณโป๋จิงที่ท่านอาจารย์พูดถึง !”

"ว่าแต่... กล่องหยกนั่นคืออะไรกันนะ

จี้เทียนซิงดูเหมือนจะระแวดระวังมันอย่างมาก"

ซื่อเหวินหยูจ้องมองไปที่หินวิญญาณโป๋จิงและโลงหยกวิญญาณด้วยความสงสัย   พลางครุ่นคิดในใจลับๆ

“เหลือเวลาอีกเพียงห้าวัน

ข้ากับจี้เทียนซิงจะถูกส่งออกจากหอคอยเจ็ดดาว

ในเมื่อมันอยู่ใกล้ๆหินวิญญาณโป๋จิงแบบนี้ ข้าจะลงมือชิงมาได้อย่างไร ?"

"ไม่ได้การแล้ว มัวชักช้าอีกไม่ได้

ข้าต้องรีบฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและเรียกคืนพลังปราณโดยเร็วที่สุด  ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาทางชิงมันออกมา”

เมื่อจัดระเบียบความคิดในใจได้เรียบร้อยแล้ว

ซื่อเหวินหยูก็ข่มความแค้นเดินห่างออกไปและนั่งลงฟื้นฟู