ตอนที่ 243

ผู้มีศักยภาพอันยิ่งใหญ่

หลังจากจี้เทียนซิงซ่อมแซมข่ายอาคมลวงตาที่แตกหักเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาค่ำมืดเสียแล้ว

หนึ่งคนหนึ่งมังกรซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่และรอคอยเหยื่อมาติดกับอย่างเงียบงัน

ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด

ขุนเขาสงบเงียบเชียบและมีเพียงภูเขาที่อยู่ไกลออกไปเท่านั้นที่ยังคงได้ยินเสียงของสัตว์ร้าย

จี้เทียนซิงหลับตานอนอยู่บนต้นไม้โดยทิ้งให้เสี่ยวเฮยหลงคอยจ้องมองไปที่ข่ายอาคมลวงตา

สองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในภูเขาและไม่มีร่องรอยกิจกรรมของสัตว์

จนกระทั่งรุ่งอรุณของวันใหม่

เสี่ยวเฮยหลงเริ่มง่วงก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

มันคือสิงโตตัวหนึ่งที่มีขนสีเงินเข้ม

มันค่อยๆแทรกตัวออกจากพงหญ้าในป่าอย่างระมัดระวังและค่อยๆเข้าใกล้ข่ายอาคมลวงตา

มันคือสิงโตดาวปฐพีที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและใหญ่เท่ากับวัวตัวหนึ่ง

ขนของมันแข็งราวกับเข็มเหล็กที่ส่องแสงสีเงินจางๆออกมา

มันเฝ้าดูรอบด้านอย่างระมัดระวังและเดินไปเดินมาสองสามรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ข่ายอาคมลวงตา

ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงก็ตื่นตัวขึ้นและเฝ้าสังเกตการการเคลื่อนไหวของสิงโตดาวปฐพีอย่างจริงจัง

ในชั่วพริบตา

อาคมลวงตาก็ถูกกระตุ้นโดยการเข้ามาติดกับของสิงโตดาวปฐพี ม่านแสงสีทองส่องสว่างและครอบคลุมรัศมี

20 เมตร

มันติดอยู่ในม่านแสงและถูกสะกดทับด้วยพลังไร้สภาพของข่ายอาคมจนยากที่จะขยับตัว

มันตื่นตระหนกและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ตุบ

!

จี้เทียนซิงกระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่ทันทีและรีบมุ่งหน้าไปที่ข่ายอาคมลวงตาด้วยสีหน้าโล่งใจ “สิงโตดาวปฐพี สัตว์วิญญาณระดับสาม เป็นแกนี่แหละ

!”

ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณจิตขั้นที่เจ็ดถึงแปด

แน่นอนว่าจี้เทียนซิงย่อมไม่ใช่คู่มือของมัน

อย่างไรก็ตาม

เขาใช้ข่ายอาคมลวงตาเพื่อดักจับและสะกดมันไว้อย่างแน่นหนา

สิงโตดาวปฐพีพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างมากและเปล่งพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง

มันก็หมดพลังและหมอบกะแตอยู่บนพื้นพลางอ้าปากพะงาบๆ

จนกระทั่งถึงตอนนี้

จี้เทียนซิงเพียงยืนมองอย่างเดียวจนกระทั่งมันหมดสภาพ

จากนั้นเขาก็สลายข่ายอาคมลวงตาและสกัดจุดสิงโตดาวปฐพีเพื่อนำมันไปไว้ในถุงมิติ

“หมดเรื่องเสียที เสี่ยวเฮยหลง กลับกันเถอะ !”

จี้เทียนซิงนำถุงมิติเหน็บไว้ที่เข็มขัดและขึ้นขี่เสี่ยวเฮยหลงกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

...............

เมื่อเขากลับมาถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์และตรงไปที่สวนหลิงโซ่วก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว

เขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลิงโซ่วและแจ้งต่อผู้ดูแลให้ทราบเรื่อง

จากนั้นไม่นานอาวุโสอู๋ก็เดินออกมา

ทันทีที่ได้ยินข่าวดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อว่า “จี้เทียนซิง

นี่เพิ่งผ่านไปสองวันเอง เจ้าจับสัตว์วิญญาณได้แล้วจริงๆ ?”

“ขอรับ” จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ

จากนั้นก็เปิดถุงมิติและนำสิงโตดาวปฐพีออกมาวางไว้กลางห้องโถงใหญ่

ผู้อาวุโสอู๋และเซี่ยงหวู่จ้องมองไปที่สิงโตดาวปฐพีที่มีขนาดใหญ่และปกคลุมไปด้วยขนสีเงินอย่างใกล้ชิด

จี้เทียนซิงกล่าวต่อไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

“ผู้อาวุโสอู๋ ข้าได้ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว

ท่านจะปล่อยเฉียนเยวี่ยคืนให้ข้าได้หรือยังขอรับ ?”

ผู้อาวุโสอู๋และเซี่ยงหวู่หันไปมองหน้ากันและเห็นความประหลาดใจของกันและกัน

“ผู้ดูแลเซี่ยง

ท่านลองตรวจสอบสิงโตดาวปฐพีตัวนี้ดู หากไม่มีปัญหาใดๆก็นำมันไปไว้ที่สวนหลิงโซ่ว”

ผู้อาวุโสอู๋ไม่รีบตอบคำถามของจี้เทียนซิงก่อนที่จะสั่งให้เซี่ยงหวู่ตรวจสอบความถูกต้องและบาดแผลของสิงโตดาวปฐพี

เซี่ยงหวู่พยักหน้ารับคำ

จากนั้นผ่านไปไม่นานเมื่อเขาพิจารณาแล้วว่าสิงโตดาวปฐพีตัวนี้เป็นสัตว์วิญญาณระดับสามแถมยังไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ

เขาก็บอกกล่าวต่ออาวุโสอู๋และรีบนำมันกลับไปเลี้ยงที่สวนหลิงโซ่ว

ผู้อาวุโสอู๋เดินกลับเข้าไปในห้องตำราและหยิบกรงเหล็กมาวางไว้เบื้องหน้าจี้เทียนซิง

จากนั้นก็ปล่อยเฉียนเยวี่ยเป็นอิสระ

เฉียนเยวี่ยถูกจำกัดอิสรภาพมาสองวันจนมันรู้สึกเบื่อหน่ายและนอนอยู่ในกรงเหล็ก

ในที่สุดมันก็ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา

มันรีบบินออกจากกรงเหล็กไปหาจี้เทียนซิงทันที

มันจ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยแววตาเปล่งประกายด้วยความสุขพลางกล่าวว่า

“สหายจี้ ขอบใจเจ้ามาก เจ้านี่เป็นคนดีจัง !”

“สองวันมานี้เจ้าคงต้องลำบากพอดู

มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ?”

จี้เทียนซิงลูบศีรษะน้อยๆของมันด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“มีอะไรให้อันตราย ? ห่วงก็แต่เจ้านั่นแหละ”

ผู้อาวุโสอู๋ลูบเคราและกล่าวว่า

“จี้เทียนซิง

ในเมื่อเจ้าทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ได้สำเร็จ

ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกันไป พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”

“ขอบคุณผู้อาวุโสอู๋  พวกเราไปเถอะ” จี้เทียนซิงคารวะพลางหันหลังเดินออกจากห้องโถงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักเทียนซิง

อาวุโสอู๋ยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงใหญ่และจ้องมองไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิง

แววตาของเขาส่องประกายอย่างซับซ้อน

ไม่นานหลังจากนั้น

เซี่ยงหวู่ก็กลับมาที่ห้องโถงใหญ่และเดินไปหาอาวุโสอู๋

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกระซิบแผ่วเบาว่า “อาวุโสอู๋ เราพบเข็มบินปักคาอยู่ในร่างของเสือดาวมายา ท่านได้บอกจี้เทียนซิงเรื่องนี้หรือไม่

?”

อาวุโสอู๋ส่ายหัวและเหม่อมองไปที่ทางเดินด้วยแววตาซับซ้อน

พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ตอนแรกที่เจ้ารายงานเรื่องนี้

ข้าก็ได้ไปพบท่านประมุขเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“ท่านประมุขทราบเรื่องและปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการทั้งหมดตามสมควรโดยให้จี้เทียนซิงแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”

“ว่าไปแล้วเจ้าหนุ่มคนนั้นก็เพิ่งเข้านิกายได้เพียงสามเดือนเท่านั้น

มันใช้เวลาไม่นานไต่เต้ามาเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขได้อย่างน่าอัศจรรย์

แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเป้าหมายดึงดูดศิษย์คนอื่นๆให้เข้าหาอีกมากมาย”

“เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นปริศนาอย่างหนึ่งและจับมือใครดมไม่ได้  ทว่าในอนาคตย่อมมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นรอบๆตัวเจ้าหนุ่มนั่นอีกมากมายเป็นแน่

ท่านประมุขไม่อาจคุ้มครองช่วยเหลือมันได้ตลอดเวลา

ดังนั้นหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย มันจะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองเท่านั้น”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อาวุโสอู๋ก็ถอนหายด้วยมวลอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อย

“เฉกเช่นเดียวกับหัวหน้าศิษย์หยุนเหยา

หลายปีที่ผ่านมาชีวิตของนางดูเหมือนสวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ

นางมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรเทียนเฉินและเป็นที่เคารพนับถือของเหล่ารุ่นเยาว์นับไม่ถ้วน”

“เหอๆ แต่ใครจะรู้เล่าว่าแท้จริงแล้วหยุนเหยาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์และดูหมิ่นเหยียดหยามมานับครั้งไม่ถ้วน

นางตกเป็นเป้าหมายโจมตีของผู้คนและได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจแสนสาหัสกว่าจะมีวันนี้ได้เต็มอย่างภูมิ”

เซี่ยงหวู่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงและถามว่า

“ระดับพลังฝีมือของจี้เทียนซิงอ่อนแอเกินไปและยังห่างชั้นนักหากนำมาเทียบกับหยุนเหยา

เช่นนี้แล้วมันจะรับมือกับศิษย์คนอื่นๆในนิกายได้อย่างไร ?”

อาวุโสอู๋หัวเราะเบาๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“หึๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าจะต้องมากังวล

ท่านประมุขมีความมั่นใจในตัวจี้เทียนซิงมาก อีกทั้งท่านยังได้ให้ความสนใจต่อการเคลื่อนไหวในทุกฝีก้าวของมัน”

“ท่านประมุขยังกล่าวด้วยว่า

จี้เทียนซิงแตกฉานในศาสตร์สาขาอื่นๆ

ท่านเชื่อว่ามันมีหลากหลายวิธีในการบ่มเพาะฝึกฝนด้วยตนเองและมีมันสมองที่ปราดเปรื่อง”

“ดังนั้นตราบใดที่เรื่องราวไม่ถึงขั้นเป็นตาย ท่านประมุขจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว

ไม่ว่าจะเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือการท้าทายจากศิษย์หัวกะทิ”

“ทัศนคติที่ประมุขมีต่อมันนั้นข้าดูออกว่าท่านให้ความสำคัญต่อมันยิ่งนักและต้องการบ่มเพาะปลูกฝังให้มันทีละก้าวอย่างมั่นคง”

หลังจากฟังคำพูดของอาวุโสอู๋

เซี่ยงหวู่ก็พยักหน้าและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...”

อาวุโสอู๋เชิดหน้าขึ้นและเผยสีหน้าชื่นชม

พลางกล่าวต่อไปว่า “จี้เทียนซิงสามารถจับสิงโตดาวปฐพีได้อย่างรวดเร็วด้วยความแข็งแกร่งเพียงระดับปราณจิตขั้นที่สอง

ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่ามันใช้วิธีการอะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีศักยภาพที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“วิสัยทัศน์ของท่านประมุขนั้นไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่าหลังจากผ่านไปไม่นาน จี้เทียนซิงจะรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยอดฝีมือชั้นนำในยุคนี้เคียงคู่กับหยุนเหยา”