ตอนที่ 144

เด็กกวาดพื้นแห่งตำหนักไท่อัน

หลังจากฮั่นเฉียวเซิงประกาศภารกิจของเดือนนี้เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับตู้หวู่

เหล่าศิษย์ที่เหลือพูดคุยกันในห้องโถงใหญ่เล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันจากไป

ส่วนจี้เทียนซิงที่เดินออกไปก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อัน

ถึงแม้ว่าบทลงโทษของเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว

แต่เขาก็ได้รับคำชี้แนะจากเซี่ยงหวู่จี้อย่างมากมายมหาศาลแม้กระทั่งได้อันดับหนึ่งในการปรุงยา

ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปพบเซี่ยงหวู่จี้เพื่อกล่าวขอบคุณอย่างเป็นทางการสักครั้ง

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็เดินมาถึงประตูตำหนักไท่อัน  ทาสกระบี่ใบ้ที่เห็นอีกฝ่ายเดินมาก็พยักหน้าและฉีกยิ้มอย่างน่าขนลุกให้....

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะและเดินผ่านไปยังลานกว้างที่สามซึ่งเป็นที่อยู่ของเซี่ยงหวู่จี้อย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงเขาก็ได้เห็นเซี่ยงหวู่จี้อยู่ในเรือนเพาะชำและกำลังปลูกสมุนไพรวิญญาณอยู่หลายต้น ส่วนอีกมือหนึ่งถือกาน้ำหยกขาวเพื่อรดน้ำสมุนไพร

ปากก็ฮัมเพลงอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะอารมณ์ดีไม่น้อย

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของจี้เทียนซิง

เขาก็ยังคงรดน้ำสมุนไพรโดยไม่หันกลับมา แต่ปากพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “เฮอะๆ ไอ้เด็กผี เจ้าไม่ได้มาที่นี่ตั้งสามวัน วันนี้มาทำไม ?  ข้าคิดว่าเจ้าไม่กล้าโผล่หน้ามากวาดพื้นให้ข้าแล้วเสียอีก !”

จี้เทียนซิงเดินไปเบื้องหน้าเซี่ยงหวู่จี้และคารวะด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“ผู้อาวุโส,

ผู้เยาว์นับว่าโชคดีที่ได้ท่านชี้แนะการหลอมโอสถจนได้อันดับหนึ่งในการประเมินตอนสิ้นเดือน”

“ในช่วงสามวันที่ผ่านมาผู้เยาว์ได้ปิดด่านบ่มเพาะจึงไม่อาจมาเยี่ยมท่านได้

ดังนั้นวันนี้ข้าถึงถือโอกาสมาเพื่อขอบคุณผู้อาวุโส”

เซี่ยงหวู่จี้ยกคิ้วและหรี่ตาลง

มุมปากเผยรอยยิ้มอันลี้ลับพลางกล่าวว่า

“เหอะ

อย่างน้อยเจ้าก็ยังรู้จักขอบคุณตาแก่อย่างข้า

ถือว่ายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  แต่ว่า

นี่น่ะหรือการตอบแทบบุญคุณของเจ้า

เจ้าไม่คิดจะแสดงออกอะไรสักหน่อยหรือ ?”

“แสดงออกหรือขอรับ.. ?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

จากนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของเซี่ยงหวู่จี้และเผยรอยยิ้มประจบประแจงออกมา

“อาวุโส...

ผู้เยาว์อายุยังน้อย คงไม่มีทรัพย์สินใดเข้าตาท่านหรอกกระมัง... ”

“เฮอะ !”

เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงเย็นและจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายแต่ไร้ซึ่งโทสะ  จากนั้นก็แสยะยิ้มและกล่าวว่า “เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่มีสิ่งของอะไรที่เข้าตาพอจะตอบแทนข้าได้หรอก”

หลังเงียบไปครู่หนึ่ง

เซี่ยงหวู่จี้ก็ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนกล่าวว่า “แต่ในเมื่อเจ้าอยากขอบคุณข้า งั้นเจ้าก็ต้องขอบคุณด้วยการกระทำ  นับจากวันนี้ไปเจ้าถือเป็นเด็กใต้สังกัดตำหนักไท่อัน

มีหน้าที่กวาดพื้นทำความสะอาดที่นี่ !”

“ห๊า........ ?”

จี้เทียนซิงอึ้ง

สีหน้าซีดเผือดและหดหู่ในฉับพลัน

“ดะ...เด็ก กวาดพื้น ? นิ... นี่มันเกิน......ไปมั้งผู้อาวุโส

หรือว่าท่านจะให้ข้ากวาดพื้นอีกเดือนหนึ่งงั้นหรือ ?”

จี้เทียนซิงใจหายวูบและกล่าวตะกุกตะกัก

เซี่ยงหวู่จี้ขดริมฝีปากและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ทำไม ? เด็กกวาดพื้นไม่ดีหรือไง

? เอาน่ามันก็แค่ตำแหน่งจิปาถะที่ข้าไม่รู้จะตั้งอะไรให้เจ้า  เจ้านับว่าเป็นหนึ่งในคนของตำหนักไท่อันก็แล้วกัน”

“ตำแหน่งจิปาถะ ?”

จี้เทียนซิงโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน

เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  “ผู้อาวุโส

ข้ายังเด็กอยู่ ท่านอย่าได้ตัดอนาคตข้าด้วยการให้ข้าเป็นเด็กกวาดพื้นเลย... ”

เซี่ยงหวู่จี้สบถออกมาว่า

“เหอะ ! เจ้าเด็กเหลือขอนี่

ไม่รุ้จักฉวยโอกาสเอาเสียเลย

เจ้าไม่รู้หรือไงว่าศิษย์นับไม่ถ้วนร้องห่มร้องไห้ขอร้องเป็นเด็กกวาดพื้นให้ข้า  ข้ายังไม่เคยเหลียวแลแม้แต่คนเดียว !”

“เมื่อเจ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของตำหนักไท่อัน ไม่รู้ว่ามีศิษย์มากน้อยเพียงใดที่ต้องอิจฉาตาร้อนเจ้า

!”

จี้เทียนซิงบุ้ยปากและกระซิบแผ่วเบาว่า

“หากมันดีอย่างที่ท่านคุยไว้จริง...

ทำไมถึงไม่เคยมีศิษย์รับใช้ในตำหนักเลยเล่า ?  ตอนข้ามาครั้งแรกมันก็ดูเหมือนตำหนักที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นปี

หยากไย่เอย หญ้าเอย รกครึ้มเต็มไปหมด...”

เซี่ยงหวู่จี้อึ้งไปวูบหนึ่งและกล่าวด้วยความรำคาญว่า

“ผายลม !  เจ้ามันไม่รู้อะไร

ตำหนักไท่อันของข้ามีสวนโอสถขนาดใหญ่ วัชพืชพวกนั้นก็มีประโยชน์”

จี้เทียนซิงกลอกตามองบน

เขารู้ชัดเจนว่าตาแก่เหม็นคนนี้กำลังคุยโวย แต่เขาก็มิได้เปิดโปงออกมา

ไม่งั้นคงถูกทุบตีอีกรอบ

เมื่อเซี่ยงหวู่จี้เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป

เขาจึงเก็บกาน้ำหยกขาวและหันหลังเดินไปทางห้องโถงพลางกล่าวว่า

“ไอ้หนู ตามข้ามา”

จี้เทียนซิงพยักหน้า

เขาไม่รู้ว่าตาแก่ผู้นี้จะมาไม้ไหน จึงทำได้เพียงเดินตามต้อยๆเข้าไปในห้องโถง

เมื่อมาถึงก็พบว่าบนโต๊ะไม้จันทน์ในห้องโถงเต็มไปด้วยผลไม้วิญญาณและเม็ดยาล้ำค่า

เฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะและสวาปามของเหล่านั้นอย่างเอร็ดอร่อยพลางสนทนากันอย่างเฮฮา

เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงเดินเข้ามา

เฉียนเยวี่ยก็บินไปเกาะไหล่ของเขาและกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ว่าไงสหายจี้ เจ้าปลอดภัยดีนะ

เยี่ยมๆ”

เสี่ยวเฮยหลงกลืนผลไม้วิญญาณเข้าไปอย่างรวดเร็วและบินไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า

“สหายจี้ เห็นเจ้าไม่บุบสลายข้าก็สบายใจ”

จี้เทียนซิงมองวูบเดียวก็รู้ว่าพวกมันทั้งสองฟื้นฟูพลังกลับมาได้พอสมควร

แถมยังกินดีอยู่ดีอีกด้วย  เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวว่า

“ฟังจากคำทักทายของพวกเจ้า เหมือนจะรู้เลยนะว่าข้าโดนอะไรมา”

เฉียนเยวี่ยเชิดศีรษะขึ้นและกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า

“แน่นอนซี่ ระดับการสืบข่าวของข้านี่ขั้นเทพเลยนะ

ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้!”

จี้เทียนซิงเหยียดนิ้วออกและดีดหัวมัน

เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองเล็กน้อย “งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้ว่าข้าถูกกักตัวในถ้ำวายุทมิฬสินะ

? แล้วทำไมเจ้าไม่โผล่ไปเยี่ยมข้าบ้าง ? หาอะไรให้กินก็ยังดี”

“พวกเจ้าสองคนกินอยู่นอนหลับอย่างมีความสุขในตำหนักไท่อัน

ส่วนข้าต้องทนทุกข์ทรมานในถ้ำวายุทมิฬ บัดซบเอ้ย !”

ทันใดนั้นเสี่ยวเฮยหลงก็เงียบปากและกลายร่างเป็นกระบี่มังกรดำกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่แขวนอยู่ข้างกำแพง

เฉียนเยวี่ยหันไปมองและชี้ไปทางเซี่ยงหวู่จี้ทันทีและกล่าวว่า

“ใจร่มๆก่อนสิสหายจี้  ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่อยากไป

แต่เป็นเพราะตาเฒ่าเซี่ยงไม่ยอมให้พวกข้าออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียวต่างหาก...”

จี้เทียนซิงเงียบไป

เขาไม่กล้าไปเอาเรื่องกับเซี่ยงหวู่จี้แน่นอน ดังนั้นจึงจบเรื่องนี้ทันที...

เซี่ยงหวู่จี้โบกมือและคว้ากระบี่มังกรดำที่แขวนอยู่ข้างกำแพงมอบให้กับจี้เทียนซิงและกล่าวว่า “ไอ้หนู

สัตว์อสูรของเจ้าทั้งสองตัวนี้กินล้างกินผลาญนัก

พวกมันกินผลไม้วิญญาณและเม็ดยาวิเศษของข้าไปนับพัน เจ้าเอาพวกมันกลับไปเลย

ข้าไม่อยากเห็นพวกมันแล้ว !”

จี้เทียนซิงอึ้งไป

เขาคิดในใจลับๆว่า “ตาแก่เหม็นผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งและมีอำนาจมากในนิกาย

ที่สำคัญคือเขามีทรัพยากรมากมายมหาศาลพอที่จะเลี้ยงเจ้าสองตัวนี้ได้มากกว่าข้า

หากข้าพาพวกมันกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงพวกมันได้ดีเท่าเขาหรือไม่...”

“ข้าปล่อยให้พวกมันทั้งคู่อาศัยอยู่ในตำหนักไท่อันไปก่อนน่าจะดีกว่า...

อย่างน้อยก็ทำให้พลังของพวกมันฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วจนเป็นประโยชน์ต่อข้าในภายภาคหน้า”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็แกล้งตีมึนถามว่า

"ผู้อาวุโส

ข้าเกรงว่าเรื่องนี้คงไม่เหมาะกระมัง..."

“หากให้เฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงไปกับข้าแล้วถูกผู้อื่นในนิกายพบเข้า

ข้าจะถูกลงโทษ ฐานละเมิดกฎนิกาย ส่วนพวกมันก็จะถูกขับไล่ออกไปน่ะสิ”

เซี่ยงหวู่จี้หันหลังให้ชายหนุ่ม

เขาแสยะยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แต่แสร้งตะโกนเสียงดังว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะเจ้าหนู ! ข้าไม่อยากเก็บพวกมันไว้แล้ว

เจ้าคิดจะให้พวกมันสูบทรัพยากรของข้าเพื่อฟื้นฟูพลังของพวกมันโดยเร็วว่างั้นเถอะ ?”

หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวต่อไปว่า

“อืม..... แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนของตำหนักไท่อัน  มีข้าออกหน้าปกป้อง

รับรองว่าไม่มีใครในนิกายนี้กล้าทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก !”

จี้เทียนซิงกระพริบตาปริบๆและคิดในใจว่า

“นั่นไง ทำเป็นปากแข็งพูดอ้อมไปอ้อมมา ที่แท้มอบตำแหน่งเด็กกวาดพื้นของตำหนักไท่อันให้ข้าก็เพราะอยากปกป้องข้าแต่ไม่กล้าพูดตรงๆสินะ

..... ตาแก่เจ้าเล่ห์เอ้ย”