ตอนที่ 175

เจ้าเข้ามาได้อย่างไร

?

นี่คือสัจธรรมของโลก

ต่อให้ก่อนหน้านี้จะเป็นปฏิปักษ์และอิจฉาริษยาเพียงใด

แต่เมื่อผลงานและความสามารถของจี้เทียนซิงที่แสดงออกมานั้นเหนือล้ำกว่าพวกมันทั้งสองหลายครั้งหลายครา  สุดท้ายอี้โม่และซื่อจิงเฉิงก็จำต้องยอมรับสภาพและทำได้เพียงแหงนหน้ามองอย่างชื่นชมเท่านั้น

พวกมันทั้งสองเป็นถึงอัจฉริยะในแว่นแคว้นของตัวเอง

ความเป็นเลิศและความสามารถที่โดดเด่นของจี้เทียนซิงนั้นได้กระตุ้นจิตวิญญาณในการต่อสู้ของพวกมันให้ลุกโชนยิ่งขึ้น

จิตใจของพวกมันยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นและตัดสินใจจะพยายามฝึกฝนให้มากกว่าเดิม

จากนั้นเมื่อคำพูดให้โอวาทของฮั่นเฉียวเซิงจบลง

เขาก็ประกาศถึงเรื่องราวอันน่าหวั่นเกรงเรื่องหนึ่ง

“เอาล่ะ การร่ำเรียนและทดสอบเกี่ยวกับข่ายปราณได้สิ้นสุดลงแล้ว

พวกเจ้าจงฝึกฝนบ่มเพาะอย่างหนักและพัฒนาระดับพลังให้ได้มากที่สุด

เนื่องจากเดือนหน้าจะมีการประลองระหว่างนิกายเรากับนิกายกระบี่ฟ้าเหนือยอดเขาหลงซาน”

“ชัยชนะและการพ่ายแพ้ในการประลองหลงซานครั้งนี้มีความสำคัญต่อนิกายเป็นอย่างมาก

มันคือการช่วงชิงสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของของเส้นชีพจรวิญญาณของภูเขาหลงซาน หากพวกเจ้าชนะนิกายกระบี่ฟ้า

นับจากนี้ไปอีกสามปีทรัพยากรทั้งหมดทั่วบริเวณภูเขาหลงซานจะถูกครอบครองโดยฝ่ายนอกอย่างพวกเรา

!”

เมื่อได้ยินคำว่า

'การประลองหลงซาน' เหล่าศิษย์ทั้งหมดต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปและกระซิบกระซาบกัน

เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนครึ่งแล้วที่ทุกคนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

หลายๆคนรู้เรื่องภายในนิกายดีและทราบเกี่ยวกับการประลองหลงซานแล้ว  พวกมันรุ้ว่าการประลองนี้สำคัญกับนิกายมากเพียงใด

ฮั่นเฉียวเซิงกล่าวต่อไปว่า

“อีกครึ่งเดือนข้าจะเลือกศิษย์ห้าคนจากผลงานของพวกเจ้าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ในเวลานั้นศิษย์ทั้งห้าจะต้องประลองกันเพื่อหาสามอันดับแรกขึ้นเป็นตัวแทนไปประลองในการประลองหลงซาน”

“หากศิษย์คนใดสามารถเอาชนะและคว้าเกียรติยศมาสู่นิกายและฝ่ายนอกของพวกเราได้

ข้าฮั่นเฉียวเซิงจะตบรางวัลให้อย่างงาม !”

ศิษย์ทั้งหลายเริ่มฮึกเหิมคล้อยตามคำพูดของฮั่นเฉียวเซิง

ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความคาดหวังอันลึกล้ำ

หอยุทธ์ฟงอวิ๋นมีสมาชิกทั้งหมดสิบคนและจะมีเพียงสามคนเท่านั้นที่ได้เป็นตัวแทนในการประลองหลงซาน

ทุกคนรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม

ตราบใดที่พยายามอย่างหนักย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประลองหลงซาน

!

ถึงแม้ว่าการทดสอบปรุงยาและข่ายปราณจะถูกจี้เทียนซิงคว้าความดีความชอบไปหมดสิ้นแล้วก็ตาม

แต่การประลองหลงซานครั้งนี้เป็นโอกาสแสดงฝีมือที่ยิ่งใหญ่กว่า

ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับพลังฝีมือที่แท้จริง

ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่เดิมทีก็เป็นอัจฉริยะในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว  พวกเขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะพร่องคุณสมบัติในการเป็นตัวแทนของนิกายพันธมิตรสวรรค์แม้แต่น้อย

!

หลังจากประกาศเรื่องการประลองหลงซานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ฮั่นเฉียวเซิงก็มอบผลไม้วิญญาณห้าขวดให้แก่จี้เทียนซิงและจากไป

เหล่าศิษย์ที่เหลือสนทนาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง ทุกคนตระหนักดีถึงความสำคัญของการประลองหลงซานและรู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างคุณความงามดีให้กับนิกาย

ดังนั้นทุกคนไม่มีใครกล้าเสียเวลารั้งรอ

หลังจากกลับเข้าที่พักแล้วทุกคนก็ปิดด่านเริ่มบ่มเพาะกันอย่างจริงจังเพื่อพยายามพัฒนาระดับพลังยุทธ์ให้ได้มากที่สุด

จี้เทียนซิงหยิบผลไม้วิญญาณห้าขวดมาและกลับไปยังห้องของตัวเองหลังจากอำลากับเนี่ยห่าว

เขาเองก็คิดจะปิดด่านบ่มเพาะครึ่งเดือนเช่นกันเพื่อทะลวงชีพจรกระบี่เส้นสุดท้ายและตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตโดยสมบูรณ์

แต่ก่อนที่จะปิดด่าน เขาคิดจะไปเยี่ยมจี้เค่อกับหยุนเหยาเสียก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังหอวิญญาณโอสถทันที

เมื่อเขาเข้าไปในห้องที่จี้เค่อพักฟื้นอยู่

เขาก็เห็นนางยืนอยู่ข้างหน้าต่างและจ้องมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่นอกหน้าต่าง

“เค่อเค่อ

!” จี้เทียนซิงร้องทักทายด้วรอยยิ้มและก้าวยาวๆไปหานาง

จี้เค่อหันหลังกลับมาและหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ทันใดนั้นใบหน้าที่งดงามก็ปรากฏรอยยิ้มที่มีความสุข

“พี่ใหญ่เทียนซิงท่านมาได้ไง ?”

จี้เทียนซิงเห็นจี้เค่อยังไม่แข็งแกร่งสมบูรณ์ดี

เขาจึงเดินไปช่วยพยุงนางนั่งเอนหลังที่เตียงพลางกล่าวว่า

“ที่ผ่านมาข้ายุ่งๆกับภารกิจและการบ่มเพาะเลยไม่มีเวลามาเยี่ยมเจ้า

ดังนั้นวันนี้เลยต้องมาให้เจ้าเห็นหน้าเสียหน่อย”

“เค่อเค่อ ในที่สุดเจ้าก็ลุกจากเตียงได้แล้ว  อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างเล่าตอนนี้ ?”

จี้เค่อพยักหน้าและผุดยิ้มบาง

“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านไม่ต้องกังวลไปนัก ผู้อาวุโสดูแลรักษาข้าเป็นอย่างดีและมอบยาวิเศษให้ข้ามากมาย

อาการบาดเจ็บทุเลาไปกว่าครึ่งแล้วล่ะ”

“วิเศษ” จี้เทียนซิงรู้สึกโล่งใจและกล่าวว่า “เค่อเค่อ

เจ้าพักรักษาตัวที่นี่อีกไม่นานก็คงหายดีแล้ว อดทนไปก่อนนะ”

จี้เค่อพยักหน้า

หลังจากกลอกตาไปมาด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านอาของข้า.....จี้หลิง  เขาเป็นยังไงบ้าง ? ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกขับไล่ออกจากสำนัก"

จี้เทียนซิงอึ้งไปวูบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้คิดปิดบังนาง

เขาสูดหายใจลึกและบอกความจริงไปว่า “จี้หลิงตายแล้ว”

“อ่า.....”

จี้เค่อตกตะลึง

สีหน้าของนางค่อนข้างซับซ้อนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง “ตายแล้วหรือ......  เขามิอาจบรรลุเป้าหมายได้และเป็นคนไร้มนุษยธรรม

ความผิดบาปของเขาสมควรตายแล้ว”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ใช่ จี้หลิงโหดเหี้ยมอำมหิตมาก มันมีชีวิตอยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นเท่านั้น ความตายคือจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับมันแล้วล่ะ”

เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของจี้เค่อดูหดหู่

จี้เทียนซิงก็ชวนพูดคุยเรื่องอื่นเพื่อปลอบใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะโบกมือลาและเดินขึ้นไปที่ตำหนักชั้นสอง

ตำหนักชั้นสองในหอวิญญาณโอสถนั้นมีไว้ให้ศิษย์ฝ่ายในที่ได้รับบาดเจ็บได้พักฟื้นตัว  ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกจะอยู่ชั้นหนึ่ง

ห้องพักบนชั้นสองของตำหนักนั้นมีขนาดกว้างขวางมาก

มันมีความประณีตและสวยงาม

มีเพียงยอดฝีมือระดับสูง ผู้ดูแล

ครูฝึกและเหล่าอาวุโสเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ให้นอนพักฟื้นที่นี่

ในเวลาเดียวกันก็มียามสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าชั้นสองเพื่อคัดกรองคนทั่วไปมิให้เข้าไปยุ่มย่าม

จี้เทียนซิงเพียงหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ที่เพิ่งได้รับจากฉู่เทียนเซิงขึ้นมาแสดง  ยามทั้งสองก็ปล่อยให้เขาผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย

เขาพบห้องที่หยุนเหยานอนพักฟื้นอยู่และทันทีที่เดินเข้าไปก็เห็นคนสองคนอยู่ในนั้น

หยุนเหยาสวมชุดสีขาวล้วนนอนหลับตาเอนกายอย่างเงียบเชียบ

พวงแก้มที่เคยแดงเปล่งปลั่งน่าทนุถนอมนั้นค่อนข้างซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนอีกคนในห้องก็คือไป๋หวู่เชิน

มันยืนอยู่ข้างเตียงและถือผลไม้วิญญาณที่แผ่ซ่านพลังปราณอันเข้มข้นออกมา

ปากก็พูดจาโน้มน้าวชักชวนหยุนเหยา

“ศิษย์พี่ใหญ่

ผลหยวนหลิงสองผลนี้เป็นสมบัติที่ข้าได้รับมาจากผลงานที่เคยทำไว้ต่อนิกาย

ข้าไม่ได้กินมันเลย   พวกมันมีผลดีต่อร่างกายท่านเป็นอย่างมาก

มันช่วยทำให้อาการบาดเจ็บและพลังลมปราณของท่านฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว”

“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่เป็นความหวังดีของข้า

ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย รับมันไว้เถอะ”

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยาไม่ตอบคำ นางมีสีหน้าสงบเย็นชาและไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา

ถึงแม้นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ไม่ได้สนใจผลหยวนหลิงทั้งสองผลที่ไป๋หวู่เชินมอบให้

นางส่ายหัวแผ่วเบาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าเก็บมันกลับไปเถอะ ข้าไม่ต้องการ”

“ข้าได้ทานเม็ดยาวิญญาณและโอสถวิเศษไปแล้วมากมาย

ข้าต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ ไม่จำเป็นต้องกินผลหยวนหลิงของเจ้าอีก”

เห็นได้ชัดว่าไป๋หวู่เชินไม่เต็มใจ

มันขมวดคิ้วและต้องการโน้มน้าวหยุนเหยาอีกหลายคำ

ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงก็เดินเข้ามาในห้องและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามาเยี่ยมท่าน”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ไป๋หวู่เชินก็หันกายกลับไปมองทันทีและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตางุนงงพลางถามว่า “จี้เทียนซิง ? เจ้าเข้ามาได้อย่างไร

?”

ไป๋หวู่เชินขมวดคิ้ว

แววตาดูเป็นปฏิปักษ์เย็นชา

จี้เทียนซิงผุดยิ้มบางและกล่าวอย่างสงบว่า

“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านถามทำไม ? แน่นอนว่าข้าย่อมมาเยี่ยมเยียนศิษย์พี่หยุนเหยา”

เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินไปที่เตียงของนางและถามอาการบาดเจ็บด้วยความกังวล

ใบหน้าของหยุนเหยาดูผ่อนคลายมากขึ้น

น้ำเสียงของนางดูอ่อนแอแต่ก็ยังสนทนากับเขาอยู่หลายคำเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแล้ว

ไป๋หวู่เชินจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและถามย้ำว่า

“จี้เทียนซิง ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของศิษย์ฝ่ายใน

เจ้าต้องได้รับอนุญาตจากท่านประมุขหรือผู้อาวุโสก่อนถึงจะเข้ามาได้  นี่เจ้าถือวิสาสะอะไรเข้ามาไม่ทราบ ?!”

จี้เทียนซิงเหลือบตามองอีกฝ่ายและยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าหยอกเย้า

จากนั้นเขาก็แสดงป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและกล่าวว่า

“เพียงแค่มีป้ายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามท่านกระมัง

?  ไป๋หวู่เชิน”

ไป๋หวู่เชินจดจำป้ายนี้ได้

ทันใดนั้นสีหน้าของมันก็ตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อและโพล่งขึ้นมาว่า

“ปะ... ป้ายคำสั่งสวรรค์ ?!  บ้าน่า !

ทั่วทั้งนิกายมีเพียงศิษย์พี่หยุนเหยาและบุคลสำคัญไม่กี่คนที่ถือครองป้ายนี้

เจ้ามีมันได้อย่างไร เจ้าเด็กเหลือขอ ?!”