ตอนที่ 164

ความบาดหมางที่เริ่มก่อตัว

ในเมื่อศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองยอมขอขมา

จี้เทียนซิงก็ไม่คิดสืบสาวราวเรื่องให้มากความอีกต่อไป

เขาสอดกระบี่มังกรดำคืนฝักและกลับไปหาหยุนเหยาที่หมดสติอยู่

ศิษย์ทั้งสองของนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความอับอายและจับจ้องมองด้านหลังของจี้เทียนซิงอย่างเย็นชา

พวกมันยอมเสียศักดิ์ศรีเล็กน้อยเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้  เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังและกำลังจะจากไป

พวกมันอดไม่ได้ที่จะสบถยั่วยุออกมาว่า

“เจ้าเด็กเหลือขอ อย่าได้จองหองไปนัก ! ยอดฝีมือล้างแค้นสิบปีไม่สาย สักวันหนึ่งพวกข้าจะล้างความอัปยศครั้งนี้เป็นแน่

!”

“เหอะ ! การประลองหลงซาน(ขุนเขามังกร)ในเดือนหน้า

นิกายกระบี่ฟ้าของข้าจะเหยียบย่ำพวกเจ้าให้จมดิน !”

“ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คู่มือเจ้า

แต่ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรายังมีนับไม่ถ้วน

พวกเราไม่มีวันก้มหัวให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ของเจ้าหรอก !”

จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้าและขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"เดือนหน้า ? หลงซาน ? การประลองระหว่างนิกายข้ากับนิกายกระบี่ฟ้าของพวกมันคืออะไรกัน

?”

เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและก็ไม่เคยรับรู้ถึงความบาดหมางใดๆระหว่างนิกายพันธมิตรสวรรค์และนิกายกระบี่ฟ้า

ทว่า เขาก็ไม่ใส่ใจจะถามไถ่และผละจากไปทันที

เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

เขาต้องการพาหยุนเหยากลับนิกายโดยเร็วที่สุด

.........

หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป

เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง

เหนือท้องฟ้าเป็นสีแดงดั่งเปลวไฟ

อากาศในภูเขาเริ่มร้อนจัด

จี้เทียนซิงวิ่งติดต่อกันมาถึงสองชั่วโมงและไม่เคยหยุดพัก ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรหลายตัวและตกอยู่ในอันตรายหลายต่อหลายครั้ง

โชคดีที่เขามีกระบี่มังกรดำอยู่ในมือที่สามารถช่วยชีวิตได้ในยามคับขัน

พวกสัตว์อสูรเหล่านั้นที่เห็นแรงกดทับจากกระบี่มังกรดำมักจะหนีไปหรือไม่ก็ตกตายหากปองร้ายจี้เทียนซิง

มาถึงตอนนี้เขาวิ่งมามากกว่าสี่ร้อยไมล์แล้ว

เขาทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจนสิ้นเปลืองพลังงานไปเป็นจำนวนมาก

ในขณะที่เขาเดินผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่งก็หยุดพักชั่วครู่และหยิบเม็ดยาฟื้นปราณมาจากถุงมิติโยนเข้าปากและนั่งขัดสมาธิ

ไม่นานหลังจากนั้นเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งก็ดังออกมาจากกลางหุบเขาและดูเหมือนว่ายังมีสัตว์อสูรบินวนอยู่เหนือภูเขาอีกด้วย

จี้เทียนซิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ดวงตาเปล่งประกายเคร่งเครียดและกุมกระบี่มังกรดำไว้แน่นพลางขบคิดในใจว่า

“หรือว่าสัตว์อสูรจะได้กลิ่นคาวเลือดของข้ากับศิษย์พี่จึงคิดจะรุมโจมตี

?”

เขาฟังเสียงต่อไปก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มีมากกว่าหนึ่งดังลอดมาจากภูเขา

“มีสัตว์อสูรมากกว่าสองตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ !”

จี้เทียนซิงตระหนักได้ถึงสถานการณ์คับขันอย่างชัดเจน

เขาอุ้มหยุนเหยาที่ยังคงหมดสติและหันหลังวิ่งหนีไปอีกทาง

อย่างไรก็ตามเสียงฝีเท้าดังสนั่นของสัตว์อสูรก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามเร่งความเร็วอย่างเต็มที่เพียงใดก็ไม่อาจเร็วไปกว่าสัตว์อสูรทั้งสามตัวนั้น

หลังจากผ่านไปไม่กี่สิบอึดใจ

สัตว์อสูรทั้งสามก็พุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที จี้เทียนซิงไม่มีเวลาหันกลับไปมองพวกมันและกัดฟันวิ่งสุดชีวิต

ทันใดนั้นเอง

เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกและวิตกกังวลก็ดังไล่หลังเขามา

“จี้เทียนซิง ! นั่นเจ้าใช่ไหม

? หยุดก่อน !"

เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยจี้เทียนซิงก็สะดุ้งเฮือกและหยุดวิ่งทันที

เมื่อเขาหันหลังมองกลับไปก็เห็นสัตว์อสูรทั้งสามทันที

ตัวที่นำมาก็คือหมาป่าจันทราเงินและผู้ที่ขี่หลังมันก็คือไป๋หวู่เชิน

เขากำลังตะโกนร้องเรียกจี้เทียนซิงจากระยะไกล

สัตว์วิญญาณสองตัวที่อยู่ข้างๆหมาป่าจันทราเงินก็คือสิงโตหยกขาวสองตัวที่เป็นสัตว์วิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์

บุรุษสองคนที่ควบขี่สิงโตหยกขาวเป็นชายชราในชุดคลุมสีม่วง

พวกเขาก็คืออาวุโสทั้งสองของนิกายนั่นเอง ซึ่งหนึ่งในสองก็คือเจ้าของเจดีย์ซวนจี๋, ผู้อาวุโสสอง

ส่วนชายชราอีกคนที่ดูโดดเด่นสะดุดตาก็คือผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถ

จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในทันทีว่าไป๋หวู่เชินได้กลับไปถึงนิกายแล้ว

จากนั้นก็เรียกผู้อาวุโสออกมาเพื่อไปช่วยเขากับหยุนเหยา

เขารู้สึกผ่อนคลายลงทั้งร่างกายและจิตใจ

ในเวลานี้เองไป๋หวู่เชินและผู้อาวุโสทั้งสองก็ควบขี่สัตว์วิญญาณมาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้เห็นว่าชายหนุ่มกำลังอุ้มหยุนเหยาที่อาภรณ์เต็มไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง

อีกทั้งยังหมดสติอยู่ ทุกคนมีสีหน้าแตกตื่น

“จี้เทียนซิง เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ใหญ่ ? ทำไมนางถึงได้หมดสติไป

?!”

ไป๋หวู่เชินเป็นกังวลมากที่สุด

เขารีบกระโดดลงจากหลังหมาป่าจันทราเงิน

พุ่งดิ่งไปหาจี้เทียนซิงเพื่อดูอาการหยุนเหยา

ผู้อาวุโสทั้งสองก็ตามติดไปอย่างใกล้ชิดและมองดูหยุนเหยาด้วยสีหน้าวิตกกังวล

จี้เทียนซิงพยักหน้าและคารวะทักทายผู้อาวุโสสองอย่างพอเป็นพิธี

จากนั้นก็ปล่อยให้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถดูอาการบาดเจ็บของหยุนเหยาทันที

เพื่อมิให้นางได้รับการรักษาล่าช้าเกินไปจนอาจมีผลกระทบต่อพื้นฐานบ่มเพาะ

จากนั้นอาวุโสสองและไป๋หวู่เชินก็หันไปซักถามจี้เทียนซิงว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

จี้เทียนซิงเล่าให้พวกเขาฟังว่า

หยุนเหยาย้อนกลับมาอย่างไรและทั้งสองร่วมมือกันหนีรอดออกมาจากถ้ำปีศาจได้อย่างไร

สำหรับเรื่องหลุมดำลึกลับนั้น

แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงเลย

หลังจากที่ฟังจบ

ไป๋หวู่เชินก็ทราบว่าหยุนเหยาใช้พลังทั้งหมดเพื่อช่วยชีวิตจี้เทียนซิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป  เขาเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วทันที

ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและตะโกนออกมาว่า

“จี้เทียนซิง

เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่มีค่าดั่งทองพันชั่ง นางคือผู้ที่จะขึ้นเป็นประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ในอนาคต

!”

“เจ้าปล่อยให้นางต้องทรมานและได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป

หากนางเป็นอะไรไปน้ำหน้าอย่างเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ ?!  หากเปลี่ยนข้าเป็นเจ้า

ข้ายอมให้ตัวเองบาดเจ็บยังดีเสียกว่า !”

อันที่จริงแล้วต่อให้จี้เทียนซิงถูกเผ่าปีศาจฆ่าตาย

ไป๋หวู่เชินก็ยังไม่นึกสงสารใดๆ แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นหยุนเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป

ความเกลียดชังที่เขามีต่อจี้เทียนซิงก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทบทวี

จี้เทียนซิงถูกไป๋หวู่เชินด่าทอต่อหน้าอาวุโสทั้งสอง

ใบหน้าของเขามืดมนลงในทันที

เขาจ้องมองไปที่ไป๋หวู่เชินอย่างเย็นชาและหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า

“เหอะ ! ช่างกล้าพูดนักนะไป๋หวู่เชิน  ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

ข้ากับศิษย์พี่ก็ยังหนีออกมาได้ด้วยกัน  พวกเราช่วยเหลือพึ่งพาและไม่ทอดทิ้งกัน

ไม่เหมือนใครบางคนที่ขี้ขลาดหลบหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดกลับนิกายไปก่อนหรอก !”

ไป๋หวู่เชินตกตะลึงต่อคำพูดเหยียดหยามซึ่งหน้าของจี้เทียนซิง

เขาโกรธเพราะเสียหน้าจนแทบควันออกหูและคำรามออกมาว่า “ไอ้ฝุ่นใต้ตีน กล้าตีฝีปากกับข้างั้นหรือ !?”

“พวกเจ้าทั้งสอง พอได้แล้ว !!”

อาวุโสสองขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อได้เห็นศิษย์ร่วมนิกายกำลังทะเลาะกัน

เขาตะโกนตัดบทออกมาทันที จากนั้นก็พูดต่อไปว่า

“จี้เทียนซิง เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้เท่านั้น

นับว่าโชคดีที่หนีรอดออกมาจากถ้ำปีศาจพร้อมกับหยุนเหยาได้”

“นอกจากนี้เจ้ายังต้องอุ้มหยุนเหยาที่หมดสติมาเป็นระยะทางถึงสี่ร้อยไมล์โดยมิหยุดพัก

นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นผู้มากน้ำใจ

ในอนาคตย่อมประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา

หลังจากกลับไปถึงนิกาย ท่านประมุขย่อมตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน !”

เมื่อมีผู้อาวุโสสองออกหน้าชมเชยจี้เทียนซิง

ไป๋หวู่เชินจึงทำได้เพียงต้องข่มความโกรธเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ

แน่นอน  ความอิจฉาริษยาที่เขามีต่อจี้เทียนซิงก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น...

หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ช่วยระงับอาการบอบช้ำของหยุนเหยาไว้ได้ชั่วคราว จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นขี่สัตว์วิญญาณเพื่อออกจากภูเขาและมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

ทุกคนก็กลับมาถึงนิกายโดยปลอดภัย

อาวุโสพาหยุนเหยาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่หอวิญญาณโอสถ

ส่วนจี้เทียนซิงก็กำหมัดคารวะอาวุโสทั้งสองเพื่อกลับไปรักษาตัวที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น  แต่ทว่าอาวุโสสองกลับหยุดไว้และกล่าวว่า “อย่าเพิ่งไปจี้เทียนซิง

ท่านประมุขกำชับข้าไว้ว่าให้พาเจ้าไปพบท่านที่ตำหนักฉิงเทียนหลังจากกลับมาถึงนิกาย  ท่านต้องการมอบรางวัลให้เจ้าเป็นการส่วนตัว”