ความบาดหมางที่เริ่มก่อตัว
ในเมื่อศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองยอมขอขมา
จี้เทียนซิงก็ไม่คิดสืบสาวราวเรื่องให้มากความอีกต่อไป
เขาสอดกระบี่มังกรดำคืนฝักและกลับไปหาหยุนเหยาที่หมดสติอยู่
ศิษย์ทั้งสองของนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความอับอายและจับจ้องมองด้านหลังของจี้เทียนซิงอย่างเย็นชา
พวกมันยอมเสียศักดิ์ศรีเล็กน้อยเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังและกำลังจะจากไป
พวกมันอดไม่ได้ที่จะสบถยั่วยุออกมาว่า
“เจ้าเด็กเหลือขอ อย่าได้จองหองไปนัก ! ยอดฝีมือล้างแค้นสิบปีไม่สาย สักวันหนึ่งพวกข้าจะล้างความอัปยศครั้งนี้เป็นแน่
!”
“เหอะ ! การประลองหลงซาน(ขุนเขามังกร)ในเดือนหน้า
นิกายกระบี่ฟ้าของข้าจะเหยียบย่ำพวกเจ้าให้จมดิน !”
“ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คู่มือเจ้า
แต่ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรายังมีนับไม่ถ้วน
พวกเราไม่มีวันก้มหัวให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ของเจ้าหรอก !”
จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้าและขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"เดือนหน้า ? หลงซาน ? การประลองระหว่างนิกายข้ากับนิกายกระบี่ฟ้าของพวกมันคืออะไรกัน
?”
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและก็ไม่เคยรับรู้ถึงความบาดหมางใดๆระหว่างนิกายพันธมิตรสวรรค์และนิกายกระบี่ฟ้า
ทว่า เขาก็ไม่ใส่ใจจะถามไถ่และผละจากไปทันที
เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
เขาต้องการพาหยุนเหยากลับนิกายโดยเร็วที่สุด
.........
หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป
เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง
เหนือท้องฟ้าเป็นสีแดงดั่งเปลวไฟ
อากาศในภูเขาเริ่มร้อนจัด
จี้เทียนซิงวิ่งติดต่อกันมาถึงสองชั่วโมงและไม่เคยหยุดพัก ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรหลายตัวและตกอยู่ในอันตรายหลายต่อหลายครั้ง
โชคดีที่เขามีกระบี่มังกรดำอยู่ในมือที่สามารถช่วยชีวิตได้ในยามคับขัน
พวกสัตว์อสูรเหล่านั้นที่เห็นแรงกดทับจากกระบี่มังกรดำมักจะหนีไปหรือไม่ก็ตกตายหากปองร้ายจี้เทียนซิง
มาถึงตอนนี้เขาวิ่งมามากกว่าสี่ร้อยไมล์แล้ว
เขาทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจนสิ้นเปลืองพลังงานไปเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่เขาเดินผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่งก็หยุดพักชั่วครู่และหยิบเม็ดยาฟื้นปราณมาจากถุงมิติโยนเข้าปากและนั่งขัดสมาธิ
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งก็ดังออกมาจากกลางหุบเขาและดูเหมือนว่ายังมีสัตว์อสูรบินวนอยู่เหนือภูเขาอีกด้วย
จี้เทียนซิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ดวงตาเปล่งประกายเคร่งเครียดและกุมกระบี่มังกรดำไว้แน่นพลางขบคิดในใจว่า
“หรือว่าสัตว์อสูรจะได้กลิ่นคาวเลือดของข้ากับศิษย์พี่จึงคิดจะรุมโจมตี
?”
เขาฟังเสียงต่อไปก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มีมากกว่าหนึ่งดังลอดมาจากภูเขา
“มีสัตว์อสูรมากกว่าสองตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ !”
จี้เทียนซิงตระหนักได้ถึงสถานการณ์คับขันอย่างชัดเจน
เขาอุ้มหยุนเหยาที่ยังคงหมดสติและหันหลังวิ่งหนีไปอีกทาง
อย่างไรก็ตามเสียงฝีเท้าดังสนั่นของสัตว์อสูรก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามเร่งความเร็วอย่างเต็มที่เพียงใดก็ไม่อาจเร็วไปกว่าสัตว์อสูรทั้งสามตัวนั้น
หลังจากผ่านไปไม่กี่สิบอึดใจ
สัตว์อสูรทั้งสามก็พุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที จี้เทียนซิงไม่มีเวลาหันกลับไปมองพวกมันและกัดฟันวิ่งสุดชีวิต
ทันใดนั้นเอง
เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกและวิตกกังวลก็ดังไล่หลังเขามา
“จี้เทียนซิง ! นั่นเจ้าใช่ไหม
? หยุดก่อน !"
เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยจี้เทียนซิงก็สะดุ้งเฮือกและหยุดวิ่งทันที
เมื่อเขาหันหลังมองกลับไปก็เห็นสัตว์อสูรทั้งสามทันที
ตัวที่นำมาก็คือหมาป่าจันทราเงินและผู้ที่ขี่หลังมันก็คือไป๋หวู่เชิน
เขากำลังตะโกนร้องเรียกจี้เทียนซิงจากระยะไกล
สัตว์วิญญาณสองตัวที่อยู่ข้างๆหมาป่าจันทราเงินก็คือสิงโตหยกขาวสองตัวที่เป็นสัตว์วิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์
บุรุษสองคนที่ควบขี่สิงโตหยกขาวเป็นชายชราในชุดคลุมสีม่วง
พวกเขาก็คืออาวุโสทั้งสองของนิกายนั่นเอง ซึ่งหนึ่งในสองก็คือเจ้าของเจดีย์ซวนจี๋, ผู้อาวุโสสอง
ส่วนชายชราอีกคนที่ดูโดดเด่นสะดุดตาก็คือผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถ
จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในทันทีว่าไป๋หวู่เชินได้กลับไปถึงนิกายแล้ว
จากนั้นก็เรียกผู้อาวุโสออกมาเพื่อไปช่วยเขากับหยุนเหยา
เขารู้สึกผ่อนคลายลงทั้งร่างกายและจิตใจ
ในเวลานี้เองไป๋หวู่เชินและผู้อาวุโสทั้งสองก็ควบขี่สัตว์วิญญาณมาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นว่าชายหนุ่มกำลังอุ้มหยุนเหยาที่อาภรณ์เต็มไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง
อีกทั้งยังหมดสติอยู่ ทุกคนมีสีหน้าแตกตื่น
“จี้เทียนซิง เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ใหญ่ ? ทำไมนางถึงได้หมดสติไป
?!”
ไป๋หวู่เชินเป็นกังวลมากที่สุด
เขารีบกระโดดลงจากหลังหมาป่าจันทราเงิน
พุ่งดิ่งไปหาจี้เทียนซิงเพื่อดูอาการหยุนเหยา
ผู้อาวุโสทั้งสองก็ตามติดไปอย่างใกล้ชิดและมองดูหยุนเหยาด้วยสีหน้าวิตกกังวล
จี้เทียนซิงพยักหน้าและคารวะทักทายผู้อาวุโสสองอย่างพอเป็นพิธี
จากนั้นก็ปล่อยให้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถดูอาการบาดเจ็บของหยุนเหยาทันที
เพื่อมิให้นางได้รับการรักษาล่าช้าเกินไปจนอาจมีผลกระทบต่อพื้นฐานบ่มเพาะ
จากนั้นอาวุโสสองและไป๋หวู่เชินก็หันไปซักถามจี้เทียนซิงว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
จี้เทียนซิงเล่าให้พวกเขาฟังว่า
หยุนเหยาย้อนกลับมาอย่างไรและทั้งสองร่วมมือกันหนีรอดออกมาจากถ้ำปีศาจได้อย่างไร
สำหรับเรื่องหลุมดำลึกลับนั้น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงเลย
หลังจากที่ฟังจบ
ไป๋หวู่เชินก็ทราบว่าหยุนเหยาใช้พลังทั้งหมดเพื่อช่วยชีวิตจี้เทียนซิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป เขาเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วทันที
ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและตะโกนออกมาว่า
“จี้เทียนซิง
เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่มีค่าดั่งทองพันชั่ง นางคือผู้ที่จะขึ้นเป็นประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ในอนาคต
!”
“เจ้าปล่อยให้นางต้องทรมานและได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป
หากนางเป็นอะไรไปน้ำหน้าอย่างเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ ?! หากเปลี่ยนข้าเป็นเจ้า
ข้ายอมให้ตัวเองบาดเจ็บยังดีเสียกว่า !”
อันที่จริงแล้วต่อให้จี้เทียนซิงถูกเผ่าปีศาจฆ่าตาย
ไป๋หวู่เชินก็ยังไม่นึกสงสารใดๆ แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นหยุนเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป
ความเกลียดชังที่เขามีต่อจี้เทียนซิงก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทบทวี
จี้เทียนซิงถูกไป๋หวู่เชินด่าทอต่อหน้าอาวุโสทั้งสอง
ใบหน้าของเขามืดมนลงในทันที
เขาจ้องมองไปที่ไป๋หวู่เชินอย่างเย็นชาและหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า
“เหอะ ! ช่างกล้าพูดนักนะไป๋หวู่เชิน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ข้ากับศิษย์พี่ก็ยังหนีออกมาได้ด้วยกัน พวกเราช่วยเหลือพึ่งพาและไม่ทอดทิ้งกัน
ไม่เหมือนใครบางคนที่ขี้ขลาดหลบหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดกลับนิกายไปก่อนหรอก !”
ไป๋หวู่เชินตกตะลึงต่อคำพูดเหยียดหยามซึ่งหน้าของจี้เทียนซิง
เขาโกรธเพราะเสียหน้าจนแทบควันออกหูและคำรามออกมาว่า “ไอ้ฝุ่นใต้ตีน กล้าตีฝีปากกับข้างั้นหรือ !?”
“พวกเจ้าทั้งสอง พอได้แล้ว !!”
อาวุโสสองขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อได้เห็นศิษย์ร่วมนิกายกำลังทะเลาะกัน
เขาตะโกนตัดบทออกมาทันที จากนั้นก็พูดต่อไปว่า
“จี้เทียนซิง เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้เท่านั้น
นับว่าโชคดีที่หนีรอดออกมาจากถ้ำปีศาจพร้อมกับหยุนเหยาได้”
“นอกจากนี้เจ้ายังต้องอุ้มหยุนเหยาที่หมดสติมาเป็นระยะทางถึงสี่ร้อยไมล์โดยมิหยุดพัก
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นผู้มากน้ำใจ
ในอนาคตย่อมประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา
หลังจากกลับไปถึงนิกาย ท่านประมุขย่อมตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน !”
เมื่อมีผู้อาวุโสสองออกหน้าชมเชยจี้เทียนซิง
ไป๋หวู่เชินจึงทำได้เพียงต้องข่มความโกรธเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
แน่นอน ความอิจฉาริษยาที่เขามีต่อจี้เทียนซิงก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น...
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ช่วยระงับอาการบอบช้ำของหยุนเหยาไว้ได้ชั่วคราว จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นขี่สัตว์วิญญาณเพื่อออกจากภูเขาและมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
ทุกคนก็กลับมาถึงนิกายโดยปลอดภัย
อาวุโสพาหยุนเหยาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่หอวิญญาณโอสถ
ส่วนจี้เทียนซิงก็กำหมัดคารวะอาวุโสทั้งสองเพื่อกลับไปรักษาตัวที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น แต่ทว่าอาวุโสสองกลับหยุดไว้และกล่าวว่า “อย่าเพิ่งไปจี้เทียนซิง
ท่านประมุขกำชับข้าไว้ว่าให้พาเจ้าไปพบท่านที่ตำหนักฉิงเทียนหลังจากกลับมาถึงนิกาย ท่านต้องการมอบรางวัลให้เจ้าเป็นการส่วนตัว”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved