ตอนที่ 319 รอชมการแสดงที่ดี

"สวรรค์

เจ้าเด็กนี่บ้าไปแล้ว ?"

"นี่เป็นครั้งแรกที่มันเข้าหอคอยเจ็ดดาวแต่กลับเริ่มปีนที่ชั้นสี่

? เหอะ

ประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว !”

"ฮ่าๆๆๆ พวกเจ้าคอยดูเถอะ

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงยามเจ้าหมอนี่จะต้องล้มเหลวในการฝ่าม่านปราการจนถูกดีดออกไปจากหอคอยแน่นอน"

เมื่อเห็นจี้เทียนซิงตรงดิ่งไปเริ่มต้นที่ชั้นสี่

ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายพลางจ้องมองและเยาะเย้ยถากถาง

เฟิงหมินและอู่อวี้นับว่าเป็นสหายของจี้เทียนซิง

เป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่พูดเรื่องนี้หรือเยาะเย้ยอีกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม

สีหน้าและแววตาของทั้งสองดูเหมือนจะร้องไม่ออกหัวเราะไม่ได้

พวกมันรู้สึกว่าจี้เทียนซิงมั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว !

“เฮ้อ

ศิษย์น้องจี้เพิ่งเข้าหอคอยเจ็ดดาวเป็นครั้งแรก นี่มันไม่ประมาทเกินไปหน่อยหรือ ?”

อู่อวี้ก็ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “หากเริ่มจากชั้นแรก

ว่ากันตามตรงด้วยฝีมือและความแข็งแกร่งของมันย่อมผ่านสามชั้นแรกไปได้ไม่ยาก"

"ถูกต้อง" เฟิงหมินพยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าวว่าด้วยความเสียดาย

“เขาสามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้มากมายโดยการผ่านสามชั้นแรก

แต่หากเขาเริ่มจากชั้นที่สี่และฝ่าม่านปราการไม่ได้

เขาจะไม่ได้รับอะไรเลยและถูกส่งกลับออกมา"

หอคอยเจ็ดดาวมีทางเข้าสองประตู

โดยทั่วไปแล้วศิษย์คนอื่นๆแต่ละคนจะเริ่มจากชั้นที่หนึ่งและขึ้นไปทีละคน

แต่ละชั้นของหอคอยเป็นโลกใบเล็กที่มีอันตรายและความเสี่ยงมากมาย

แต่มันก็เต็มไปด้วยโอกาสและโชคลาภ รวมไปถึงทรัพยากรบ่มเพาะที่ล้ำค้าจำนวนมหาศาล

สามชั้นแรกนั้นค่อนข้างเรียบง่าย

ศิษย์ทุกคนสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายแถมได้รับประโยชน์ตามมา

เว้นแต่เพียงหยุนเหยาที่มีความแข็งแกร่งและคุณสมบัติเพียงพอที่จะเริ่มต้นจากชั้นที่สี่โดยตรง

ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น

ทุกคนคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงที่ปีนหอคอยเจ็ดดาวเป็นครั้งแรกกลับเดินตามรอยเส้นทางของหยุนเหยาโดยตรงจากชั้นที่สี่

!

ในความเป็นจริงจุดประสงค์ของจี้เทียนซิงในการผ่านหอคอยเจ็ดดาวนั้นแตกต่างจากศิษย์คนอื่นๆ

เหล่าศิษย์จะได้รับทรัพยากรการบ่มเพาะมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในหอคอยเจ็ดดาว

และสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้มากมาย

แต่จี้เทียนซิงต้องการช่วยชีวิตจี้เค่อ

เขาแค่อยากขึ้นไปสู่ยอดหอคอยโดยเร็วที่สุดและนำโลงหยกวิญญาณไปวางที่นั่น

ด้วยเหตุนี้ เขาไม่อยากเสียเวลาที่จะต้องเริ่มจากชั้นแรก

ในเมื่อไหนๆก็ต้องไปให้ถึงชั้นเจ็ด มิสู้ตรงดิ่งจากชั้นที่สี่เลยไม่ดีหรือ ?

"วูบ !"

ประตูสีดำบนชั้นสี่ของหอคอยเจ็ดดาวเปิดขึ้น

จี้เทียนซิงยกเท้าขึ้นไปที่ประตูและร่างของเขาก็หายไปในพริบตา

เมื่อทุกคนเห็นว่าอีกฝ่ายกล้าเข้าไปเริ่มที่ชั้นสี่จริงๆ

พวกมันก็หยุดคุยกันอยู่พักหนึ่ง

เฉียวซวนกล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ยว่า "โห

?  เจ้าเด็กนั่นกล้าเข้าชั้นสี่จริงๆ

ช่างมั่นหน้าและไม่กลัวตายนัก"

"ข้าอยากเห็นนักเชียวว่ามันจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน"

"อย่างน้อยภายในครึ่งชั่วยามมันจะต้องล้มเหลวในการฝ่าม่านปราการและถูกดีดออกมาจากหอคอยเจ็ดดาวเป็นแน่

!"

หัวหน้าศิษย์ของนิกายเจิ้นหวู่ก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า

“อย่าเพิ่งรีบเข้าไปในหอคอย

รอดูอยู่ที่นี่สักพัก ดูหนังหน้าเจ้าหมอนั่นตอนถูกดีดออกมา”

ศิษย์นิกายเฟิงฮั่วหันไปมองซื่อเหวินหยูที่อยู่ข้างๆด้วยสีหน้าอึมครึม

จากนั้นเผยรอยยิ้มกล่าวว่า “พี่เหวินหยู คราครั้งนี้แม่นางหยุนเหยาไม่ได้มาร่วมงาน

ย่อมมีเพียงท่านเท่านั้นที่จะสามารถปีนไปถึงชั้นที่เจ็ด

เหตุใดท่านถึงปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นชิงตัดหน้าไปก่อนเล่า ?"

ซื่อเหวินหยูขมวดคิ้ว

กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่รอชมการแสดงที่ดีเถอะ

ข้าจะเข้าไป"

พูดจบมันก็ก้าวเท้าข้ามประตูแสงและมุ่งหน้าไปที่บันไดข้างหอคอย

จากนั้นไม่นานมันก็ขึ้นไปที่ชั้นสี่

หยิบเอาป้ายยืนยันสีเงินออกมาเพื่อเปิดประตูและเข้าไปข้างใน

เหล่าศิษย์หลายคนที่อยู่ ณ

ลานเปิดโล่งต่างก็หันหน้าไปพูดคุยกัน

"ฮ่าๆ มีการแสดงที่ดีเกิดขึ้นแล้วสิท่า ดูเหมือนว่าพี่เหวินหยูจะถูกเจ้าเด็กนั่นหยามหน้า"

"หึๆ

พวกเรารอดูผลลัพธ์กันเถอะว่าซื่อเหวินหยูหรือจี้เทียนซิง

ใครจะขึ้นไปชั้นห้าได้สำเร็จก่อนกัน"

"ตามหลักแล้วโดยประมาณครึ่งชั่วยาม

หากมีแสงสีทองแดงสว่างขึ้นที่ชั้นสี่ของหอคอยก็หมายความว่าคนหนึ่งคนใดฝ่าม่านปราการไปได้สำเร็จ"

"คอยดูกันไปเถอะ"

หลังจากนั้นไม่นานศิษย์หลายคนก็เริ่มก้าวเท้าข้ามประตูแสงและเข้าไปในชั้นแรกของหอคอยเจ็ดดาว

เฉียวซวนและศิษย์ส่วนหนึ่งไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป

พวกมันยืนอยู่ใต้หอคอยและเงยหน้ามองไปที่ชั้นสี่เพื่อรอชมจี้เทียนซิงกลายเป็นตัวตลก

............

จี้เทียนซิงยืนอยู่บนทางเดินกว้าง

สายตากวาดมองไปรอบๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

มันเป็นถนนทางเดินเรียบและดูสงบเรียบร้อย มีตึกสูงระฟ้าอยู่ทั้งสองด้านของถนนและมีร้านรวงมากมาย

บนท้องถนนมีผู้คนขวักไขว่ไร้สิ้นสุดราวกับตลาดสด

คนเหล่านั้นเดินไปเดินมา บ้างก็แวะเวียนตามร้านค้า

บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของคนเดินเท้าดังไปทั่วทุกที่

นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ถือกระบี่มากมาย

กลิ่นอายของพวกมันทั้งหนักแน่นและดูเย่อหยิ่ง พวกมันเดินไปตามท้องถนนราวกับสายลม

เหล่าผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดผ้าธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ได้เห็นผู้ฝึกยุทธ์เดินผ่านไป  พวกเขาเผยสีหน้าตื่นตระหนกและหลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว

"เป็นเมืองเมืองหนึ่ง ? แถมยังเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์และชาวบ้านอีกด้วย"

จี้เทียนซิงมองไปรอบๆพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ

ก่อนที่จะมาถึงหอคอยเจ็ดดาว หยุนเหยาแนะนำให้มันทราบเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมภายในหอคอย

โลกในสามชั้นแรกของหอคอยถูกแก้ไข มันไม่มีอันตรายและความลำบากมากนัก

แต่จากชั้นสี่ขึ้นไป โลกใบเล็กในหอคอยเจ็ดดาวนั้นจะยิ่งยากและแปลกประหลาดยิ่งขึ้น

ตามที่หยุนเหยาเคยกล่าวไว้ โลกที่สี่เป็นโลกแห่งภาพลวงตา

ในโลกใบเล็ก

ภาพลวงตาหลากหลายรูปแบบจะปรากฏขึ้น เช่น ทุ่งน้ำแข็ง ภูเขาไฟ ป่าดึกดำบรรพ์อันกว้างใหญ่หรือทะเลอันไร้สิ้นสุด

หยุนเหยาที่ได้เข้าสู่ชั้นที่สี่ของหอคอยเจ็ดดาวในทุกๆปีบอกแก่มันว่า

โลกแห่งภาพลวงตาที่นางพบนั้นแตกต่างออกไปทุกครั้ง

ดังนั้นนางจึงไม่อาจสรุปให้ชัดเจนได้ว่า

จี้เทียนซิงจะพบกับประสบการณ์แบบใด

ชายหนุ่มทำได้เพียงสำรวจและสังเกตความเป็นไปได้ด้วยตัวเองเท่านั้น

เขาเดินไปบนท้องถนนด้วยสายตาแหลมคมที่กวาดมองไปรอบๆเพื่อสำรวจสภาพทั่วไปของเมือง

ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ หมอกยามเช้าที่ปกคลุมทั่วเมืองค่อยๆหายไป

มีร้านค้าอยู่ตรงหัวมุมและโชยกลิ่นหอมของข้าวต้มและหมั่นโถวมาตามสายลมอย่างไม่ขาดสาย

มีหลายคนที่อยู่รอบโต๊ะ, นั่งบนเก้าอี้ไม้และดื่มกินกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

ขณะนั้นเองดวงอาทิตย์สีแดงส้มก็กำลังขึ้นจากท้องฟ้าทางทิศ

‘ตะวันตก’

"ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ? "

เห็นฉากนี้ จี้เทียนซิงก็อึ้งไปวูบหนึ่งและคิดว่าตนเองมาผิดทางแล้ว

แต่หลังจากทบทวนความจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขามั่นใจว่าตนเองมาไม่ผิดทาง

!

"แปลกมาก ดวงอาทิตย์พ้นขอบฟ้าจากทางทิศตะวันตก..."

จี้เทียนซิงพึมพำในใจ เขารู้สึกตลอดเวลาว่าเมืองลวงตานี้เผยให้เห็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง

ในขณะนี้เอง ที่ร้านขายหมั่นโถวห่างจากตรงหน้าเขาไปประมาณสิบเมตร  เสียงกรีดร้องของผู้คนหลายคนก็ดังกระทบโสต

จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

วิ่งออกมาจากร้านพร้อมกับกระบี่ในมือ

ชายผู้นั้นมีผิวคล้ำและมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าสองสาย

ปลดปล่อยเจตนาฆ่าฟันอันรุนแรงออกมา

กระบี่ในมือของมันมีคราบโลหิตหยดไหลเป็นทางยาว

ที่ร้านผมสีเทาตัวเก่ากำลังนอนนิ่ง ๆ

อยู่บนเคาน์เตอร์คอของเขาถูกตัดและเลือดก็ไหลออกมาจากรอยแตก

ภายในร้าน

มีชายชราผมขาวซึ่งดูเหมือนจะเป็นเถ้าแก่ นอนแผ่หราอย่างไร้ปฏิกิริยา คอของเขาถูกตัดขาดสะบั้นจนโลหิตสีแดงชาดไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง

บนพื้นดินเต็มไปด้วยหลายศพ รวมไปถึงเสี่ยวเอ้อ, เจ้าของร้านหมั่นโถวและผู้บริสุทธิ์ที่นั่งทานอาหารอีกหลายคน

ทุกคนถูกสังหาร

ศีรษะถูกตัดออกและกลิ้งไปมาบนพื้น เลือดจำนวนมากสาดกระเซ็นตามพื้นผนังและทั่วโต๊ะ

เหล่าลูกค้าในร้านที่รอดชีวิตต่างก็หน้าถอดสีและวิ่งหนีพลางกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

กลิ่นหอมของข้าวต้มและหมั่นโถวที่โชยมาตามลมได้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นสนิมของโลหิตอันหนาแน่นในทันที

ฆาตกรหน้าบากแหงนศีรษะหัวร่อออกมาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ฝูงชนกำลังวิ่งหนีตาย

“ตาย

ตาย ตาย !!!”

มันกวัดแกว่งกระบี่หนักของมันอีกครั้งและเข่นฆ่าล่าสังหารผู้บริสุทธิ์ที่หนีรอดอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน