ตอนที่ 129

สตรีลึกลับในชุดคลุมดำ

ก่อนที่หยุนเหยาจะจากไปก็ได้ทิ้งเม็ดยาใจสวรรค์สองเม็ดไว้ให้  เม็ดยานี้เป็นยาระดับล้ำลึกที่หาได้ยากยิ่ง

สรรพคุณของเม็ดยาทั้งสองไม่เพียงแค่ประทังชีวิตต่อให้แก่จี้เทียนซิงได้อีกครึ่งเดือน

แต่ยังเพิ่มพูนพลังบ่มเพาะให้เขาได้อีกมาก

เขาถือยาสองเม็ดไว้ในมือและยืนอยู่หน้าประตูห้องหินเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าถ้ำจะยังคงมืดมิดและลมหนาวก็ยังกัดเซาะผิวกายอยู่  แต่เขามิได้รู้สึกเดียวดายอีกต่อไป

หยุนเหยามาเยี่ยมและยังเชื่อในตัวเขา

มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอิบและเป็นแรงใจที่ผลักดันให้เขาสู้ต่อไป

หัวใจของเขาสงบลงอย่างแท้จริง

ต่อให้อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บและเงียบเหงา

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาสิ้นหวังหดหู่อีกต่อไป

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับไปที่มุมแล้วหยิบเม็ดยาวิญญาณโลหิตออกมาเพื่อบ่มเพาะต่อไป

เวลาผ่านไปอีกสองวัน

จี้เทียนซิงดูดซับพลังของเม็ดยาจนทำให้ความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจนอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตปราณแท้ขั้นที่

7

ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกฝนปี้กู่*(1)ก็ประสบความสำเร็จเล็กน้อยเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาเจ็ดวัน

แต่เขาก็ไม่รู้สึกหิวและปราณแท้ก็ยังไหลเวียนได้อย่างสะดวกและไหลลื่นจนถึงจุดที่ดึงออกมาใช้ได้ตามใจชอบ

กลางดึกของคืนนั้น

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังนั่งสมาธิที่มุมห้อง

เขาก็ได้ยินเสียงเบาบางสายหนึ่งจากหน้าผาไม่ไกลออกไป มันเป็นเสียงแซ่กๆ

ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นลมใต้หน้าผาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงก้อนหินตกลงมาจากหน้าผา

ครั้งนี้จี้เทียนซิงได้ยินอย่างชัดเจนและตื่นตัวขึ้นในทันที

“บริเวณนี้มีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น

อีกทั้งหน้าผาก็ลึกและด้านล่างเป็นเหวลึก ทำไมถึงมีเสียงการเคลื่อนไหว ?

หรือ...จะเป็นสัตว์อสูรที่คลานลงมาจากบนหน้าผา ?”

ท่ามกลางความมืด

เขาไม่เข้าใจสถานการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้นจึงคาดเดาความเป็นไปได้มากมาย

ฟุ่บ !

เขาพุ่งไปที่ประตูเหล็กและแนบใบหน้าบนราวเหล็กเพื่อพยายามมองออกไปที่หน้าผา ซึ่งหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรก็ยังคงมืดมิดและมีลมหนาวออกมาอย่างต่อเนื่อง

จี้เทียนซิงยืนนิ่งอยู่ที่ประตูเหล็กเพ่งสายตาจ้องมองไปที่หน้าผาอย่างเงียบๆ  โดยปกติแล้วคนทั่วไปไม่อาจมองทะลุความมืดได้

แต่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในเขตแดนปราณแท้ขั้นที่ 6 สายตาของเขาหากตั้งใจจริงๆจะสามารถมองได้ชัดเจนกว่าคนธรรมดาหลายสิบเท่า

เขาเพ่งความสนใจไปที่หน้าผาและเห็นชั้นหินที่ขอบหน้าผา หลังจากนั้นประมาณสิบลมหายใจ ภายใต้หน้าผาอันเงียบงันก็มีมือข้างหนึ่งขยายออก

!

มันเป็นฝ่ามือที่กว้างกว่าคนธรรมดาและมีผิวเป็นสีม่วงอ่อน ถึงแม้ว่าฝ่ามือนี้จะดูยาวเหมือนของสตรี แต่มันก็ใหญ่เกินไป หนำซ้ำยังดูใหญ่กว่าของจี้เทียนซิงด้วยซ้ำ

"นี่....มันอะไร ?!"

จี้เทียนซิงตกตะลึง

ร่างกายของเขาเริ่มตึงเครียดแต่ก็มิได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยและกลั้นหายใจ

วินาทีต่อมาร่างเพรียวบางในชุดคลุมสีดำก็บินออกจากหน้าผาและหยุดลงที่ขอบเหวอย่างเงียบงัน

ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมยาวสีดำสนิทที่โอบหุ้มร่างนั้นอยู่นั้นจะมีขนาดกว้างกว่าปกติเล็กน้อยและยังปิดซ่อนเรือนร่างถึง

90 %  แต่รูปร่างของผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำตัวนั้นก็สมส่วนรับรูปและสูงโปร่งอย่างเห็นได้ชัด

ชัดเจนแล้วว่าคนผู้นี้เป็นสตรีนางหนึ่ง

นอกจากนี้ความสูงของนางก็น่าทึ่งนัก

จี้เทียนซิงคำนวณในใจอย่างน้อยๆก็สูงเกือบสองเมตร !

ผิวของมือและลำคอของนางก็เป็นสีม่วงอ่อนและดูแปลกๆจากคนปกติ

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วทันทีและกระซิบกระซาบในใจ

“ผู้หญิงคนนี้สูงขนาดนี้ได้อย่างไร ? ผิวของนางก็ยังเป็นสีม่วงอ่อน เป็นโรค ? หรือโดนพิษ ?”

“ไม่สิ ! นางเป็นใคร

? ทำไมถึงพุ่งออกมาจากชั้นหินใต้หน้าผา

?”

ในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความสงสัยจึงแอบสังเกตมองนางอย่างตั้งใจ

“หืม ?”

ผู้หญิงในเสื้อคลุมสีดำสัมผัสได้ถึงลมหายใจของจี้เทียนซิงและหันไปมองที่ประตูห้องหินทันที

มันสายเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะหลบซ่อนตัว

เขาถูกผู้หญิงในชุดคำลุมดำพบตัวเสียแล้ว

“วูบ !”

เงาร่างสีดำเปล่งประกายวูบและสตรีเสื้อคลุมสีดำก็กลายร่างเป็นเหมือนหมวกควันสีดำ มันข้ามเป็นลำแสงระยะทางสิบเมตรและปรากฏขึ้นที่ประตูห้องหินในชั่วพริบตาราวกับภูติผี

นางยืนอยู่ด้านนอกประตูเหล็กห่างจากจี้เทียนซิงเพียงครึ่งเมตร  มีเพียงประตูเหล็กเท่านั้นที่ขวางกั้นระยะห่างของคนทั้งสองไว้

ด้วยระยะใกล้นี้ทำให้จี้เทียนซิงสามารถเห็นหน้าของนางได้ชัดเจนขึ้นทันที

แต่ทว่าใบหน้าของนางนั้นถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากเหล็กที่แผ่กลิ่นอายเยือกเย็นออกมา

ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นดวงตาคู่โตและมีสีแดงเข้มดั่งเลือดสดๆ

อีกทั้งยังเปล่งกลิ่นอายมรณะอันเย็นชาออกมา

“เรือนร่างสูงโปร่ง...  สีผิวแปลกประหลาด และดวงตาสีแดงดุจเลือด..  นางเป็นเผ่าพันธุ์อื่น ?!”

ทันใดนั้นจิตใจของจี้เทียนซิงก็พุ่งพล่านไปด้วยความคิดนี้อย่างตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันผู้หญิงในเสื้อคลุมดำก็ยื่นมือขวาออกมาโดยไร้คำพูด

มือนั้นเล็งเป้าไปที่ตำแหน่งศีรษะของจี้เทียนซิง

ฝ่ามือกว้างของนางกลายเป็นสีแดงเข้มและแผ่ซ่านพลังบางอย่างออกมารวมตัวกันเป็นมือสีแดงเลือดขนาดใหญ่

จี้เทียนซิงหนังตากระตุกวูบและตกตะลึง  เขาถอยหลังห้าก้าวโดยสัญชาตญาณทันที

"ปัง !"

มือสีแดงเข้มขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับราวเหล็กของประตูเหล็กสีดำทำให้เกิดเสียงทื่อดังสนั่น

ซึ่งราวเหล็กสีดำนี้มีความหนาเทียบเท่ากับแขนข้างหนึ่งของเด็กและทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งมาก

“เอี๊ยด.....เอี๊ยด.. !”

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงเห็นเต็มสองตาว่าราวเหล็กสีดำทั้งสามซี่ถูกบิดจนโค้งงอผิดรูปด้วยมือสีแดงเข้มของผู้หญิงชุดคลุมดำผู้นี้

!

ทันใดนั้น

ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง หัวใจกระตุกอย่างแรง “สวรรค์ ! พลังของนางช่างน่ากลัวนัก...  เกรงว่าจะเหนือล้ำกว่าขอบเขตปราณจิตไปไกลลิบ

หรือว่านางจะเป็นยอดฝีมือระดับปราณฟ้า ?!”

พลังยุทธ์ของผู้หญิงคนนี้ทำให้จี้เทียนซิงสัมผัสได้เลือนลางว่าแม้กระทั่งหยุนเหยาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

!

โชคดีที่เขาไหวตัวทันและถอยหนีออกมา

มิฉะนั้นศีรษะของเขาคงเละเป็นเต้าหู้ด้วยฝีมือนางไปแล้ว

"เจ้าเป็นใคร

เหตุใดถึงคิดทำร้ายข้า !?”

จี้เทียนซิงถอยร่นไปที่มุมห้องหินห่างจากผู้หญิงเสื้อคลุมดำเกือบสิบเมตรและถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

ดวงตาสีแดงเข้มของนางจ้องมาที่เขา

เผยให้เห็นเจตนาฆ่าฟันอันรุนแรง นางกล่าวเสียงเย็นจับจิตว่า  “ไม่มีเหตุผลสำหรับการกระทำ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหลบได้ด้วยซ้ำ”

“จะโทษก็โทษดวงของเจ้าที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางเถิด  ข้าจำเป็นต้องฆ่าเจ้า

จะได้ไม่มีใครเปิดเผยตำแหน่งของข้า !”

ผู้หญิงเสื้อคลุมดำกำลังตอบคำถามจี้เทียนซิงด้วยภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์

แต่สำเนียงของนางค่อนข้างแปลกแปร่งและฟังดูขัดหูเล็กน้อย

จี้เทียนซิงมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าผู้หญิงเสื้อคลุมดำผู้นี้เป็นเผ่าพันธุ์อื่นแน่นอน

!

ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่นางอย่างเย็นชาและตะโกนว่า

“เจ้ามันเป็นสตรีที่มีพิษร้ายนัก !  เราสองไม่รู้จักกันแต่เจ้าทำยังกับข้าเป็นศัตรูคู่แค้นที่ต้องฆ่ากันให้ตาย  ไร้เหตุผลสิ้นดี !”

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า

ข้าจะเปิดเผยเรื่องของเจ้าเพื่ออะไร ?”

ความหมายของจี้เทียนซิงค่อนข้างชัดเจน เขาไม่สนใจตัวตนของนางและไม่คิดจะบอกใครเรื่องที่นางแอบเข้ามาในถ้ำวายุทมิฬ

ตราบใดที่ผู้หญิงเสื้อคลุมดำนางนี้ไม่โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป หลังจากได้ยินคำพูดของเขาก็สมควรกลับไป

ทางใครทางมัน

นอกจากนี้จี้เทียนซิงยิ่งมิอาจต่อกรกับนางได้

เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ของนางสูงส่งเกินไปไร้ซึ่งหนทางชนะ

“หึหึ

แต่เจ้าเห็นข้าแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้ !” ผู้หญิงเสื้อคลุมดำแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา

วู้ม

!

ทันใดนั้นนางก็กลายเป็นหมอกสีดำสนิทและวูบร่างผ่านประตูเหล็กเข้าไปในห้องหินทันที

ดวงตาสีแดงเข้มของนางเปล่งประกายเจิดจ้าของรังสีฆ่าฟัน

นางเหยียดมือสีแดงเลือดขนาดใหญ่ออกไปอีกครั้งเพื่อจะคว้าจับศีรษะของจี้เทียนซิง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันรุนแรง

จี้เทียนซิงขมกรามแน่นและระเบิดพลังออกมา

“วายุอัสนีกระหน่ำ !”

“ เช้ง  เช้ง !”

จี้เทียนซิงปะทุปราณกระบี่ทองยาวสองเมตรครึ่งออกมา  หนึ่งซ้าย หนึ่งขวา

จากนั้นลำแสงกระบี่สีทองก็ผสานเข้ากับพายุเฮอริเคนที่รุนแรงจนกลายเป็นเส้นสายอัสนีขนาดครึ่งเมตร

และโจมตีเข้าใส่นาง

"เปรี้ยง !"

ประกายอัสนีถูกต้านรับไว้ด้วยมือสีแดงเลือดอันใหญ่โตจนเสียงทุ้มระเบิดออกมาดังสนั่น

***

(1)  ปี้กู่ [辟谷]  เป็นเทคนิคการถือศีลอดของชาวลัทธิเต๋า

[Daoist] ที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุ

"ชัยชนะ, ความเป็นอมตะ" ของชาวซีอาน

การหลีกเลี่ยงข้าวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางวัฒนธรรมของจีนหลายแง่มุม

ยกตัวอย่างเช่นการถือศีลอด   ข้อมูลจากวิกิ