สตรีลึกลับในชุดคลุมดำ
ก่อนที่หยุนเหยาจะจากไปก็ได้ทิ้งเม็ดยาใจสวรรค์สองเม็ดไว้ให้ เม็ดยานี้เป็นยาระดับล้ำลึกที่หาได้ยากยิ่ง
สรรพคุณของเม็ดยาทั้งสองไม่เพียงแค่ประทังชีวิตต่อให้แก่จี้เทียนซิงได้อีกครึ่งเดือน
แต่ยังเพิ่มพูนพลังบ่มเพาะให้เขาได้อีกมาก
เขาถือยาสองเม็ดไว้ในมือและยืนอยู่หน้าประตูห้องหินเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าถ้ำจะยังคงมืดมิดและลมหนาวก็ยังกัดเซาะผิวกายอยู่ แต่เขามิได้รู้สึกเดียวดายอีกต่อไป
หยุนเหยามาเยี่ยมและยังเชื่อในตัวเขา
มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอิบและเป็นแรงใจที่ผลักดันให้เขาสู้ต่อไป
หัวใจของเขาสงบลงอย่างแท้จริง
ต่อให้อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บและเงียบเหงา
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาสิ้นหวังหดหู่อีกต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับไปที่มุมแล้วหยิบเม็ดยาวิญญาณโลหิตออกมาเพื่อบ่มเพาะต่อไป
เวลาผ่านไปอีกสองวัน
จี้เทียนซิงดูดซับพลังของเม็ดยาจนทำให้ความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจนอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตปราณแท้ขั้นที่
7
ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกฝนปี้กู่*(1)ก็ประสบความสำเร็จเล็กน้อยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาเจ็ดวัน
แต่เขาก็ไม่รู้สึกหิวและปราณแท้ก็ยังไหลเวียนได้อย่างสะดวกและไหลลื่นจนถึงจุดที่ดึงออกมาใช้ได้ตามใจชอบ
กลางดึกของคืนนั้น
ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังนั่งสมาธิที่มุมห้อง
เขาก็ได้ยินเสียงเบาบางสายหนึ่งจากหน้าผาไม่ไกลออกไป มันเป็นเสียงแซ่กๆ
ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นลมใต้หน้าผาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงก้อนหินตกลงมาจากหน้าผา
ครั้งนี้จี้เทียนซิงได้ยินอย่างชัดเจนและตื่นตัวขึ้นในทันที
“บริเวณนี้มีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น
อีกทั้งหน้าผาก็ลึกและด้านล่างเป็นเหวลึก ทำไมถึงมีเสียงการเคลื่อนไหว ?
หรือ...จะเป็นสัตว์อสูรที่คลานลงมาจากบนหน้าผา ?”
ท่ามกลางความมืด
เขาไม่เข้าใจสถานการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้นจึงคาดเดาความเป็นไปได้มากมาย
ฟุ่บ !
เขาพุ่งไปที่ประตูเหล็กและแนบใบหน้าบนราวเหล็กเพื่อพยายามมองออกไปที่หน้าผา ซึ่งหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรก็ยังคงมืดมิดและมีลมหนาวออกมาอย่างต่อเนื่อง
จี้เทียนซิงยืนนิ่งอยู่ที่ประตูเหล็กเพ่งสายตาจ้องมองไปที่หน้าผาอย่างเงียบๆ โดยปกติแล้วคนทั่วไปไม่อาจมองทะลุความมืดได้
แต่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในเขตแดนปราณแท้ขั้นที่ 6 สายตาของเขาหากตั้งใจจริงๆจะสามารถมองได้ชัดเจนกว่าคนธรรมดาหลายสิบเท่า
เขาเพ่งความสนใจไปที่หน้าผาและเห็นชั้นหินที่ขอบหน้าผา หลังจากนั้นประมาณสิบลมหายใจ ภายใต้หน้าผาอันเงียบงันก็มีมือข้างหนึ่งขยายออก
!
มันเป็นฝ่ามือที่กว้างกว่าคนธรรมดาและมีผิวเป็นสีม่วงอ่อน ถึงแม้ว่าฝ่ามือนี้จะดูยาวเหมือนของสตรี แต่มันก็ใหญ่เกินไป หนำซ้ำยังดูใหญ่กว่าของจี้เทียนซิงด้วยซ้ำ
"นี่....มันอะไร ?!"
จี้เทียนซิงตกตะลึง
ร่างกายของเขาเริ่มตึงเครียดแต่ก็มิได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยและกลั้นหายใจ
วินาทีต่อมาร่างเพรียวบางในชุดคลุมสีดำก็บินออกจากหน้าผาและหยุดลงที่ขอบเหวอย่างเงียบงัน
ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมยาวสีดำสนิทที่โอบหุ้มร่างนั้นอยู่นั้นจะมีขนาดกว้างกว่าปกติเล็กน้อยและยังปิดซ่อนเรือนร่างถึง
90 % แต่รูปร่างของผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำตัวนั้นก็สมส่วนรับรูปและสูงโปร่งอย่างเห็นได้ชัด
ชัดเจนแล้วว่าคนผู้นี้เป็นสตรีนางหนึ่ง
นอกจากนี้ความสูงของนางก็น่าทึ่งนัก
จี้เทียนซิงคำนวณในใจอย่างน้อยๆก็สูงเกือบสองเมตร !
ผิวของมือและลำคอของนางก็เป็นสีม่วงอ่อนและดูแปลกๆจากคนปกติ
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วทันทีและกระซิบกระซาบในใจ
“ผู้หญิงคนนี้สูงขนาดนี้ได้อย่างไร ? ผิวของนางก็ยังเป็นสีม่วงอ่อน เป็นโรค ? หรือโดนพิษ ?”
“ไม่สิ ! นางเป็นใคร
? ทำไมถึงพุ่งออกมาจากชั้นหินใต้หน้าผา
?”
ในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความสงสัยจึงแอบสังเกตมองนางอย่างตั้งใจ
“หืม ?”
ผู้หญิงในเสื้อคลุมสีดำสัมผัสได้ถึงลมหายใจของจี้เทียนซิงและหันไปมองที่ประตูห้องหินทันที
มันสายเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะหลบซ่อนตัว
เขาถูกผู้หญิงในชุดคำลุมดำพบตัวเสียแล้ว
“วูบ !”
เงาร่างสีดำเปล่งประกายวูบและสตรีเสื้อคลุมสีดำก็กลายร่างเป็นเหมือนหมวกควันสีดำ มันข้ามเป็นลำแสงระยะทางสิบเมตรและปรากฏขึ้นที่ประตูห้องหินในชั่วพริบตาราวกับภูติผี
นางยืนอยู่ด้านนอกประตูเหล็กห่างจากจี้เทียนซิงเพียงครึ่งเมตร มีเพียงประตูเหล็กเท่านั้นที่ขวางกั้นระยะห่างของคนทั้งสองไว้
ด้วยระยะใกล้นี้ทำให้จี้เทียนซิงสามารถเห็นหน้าของนางได้ชัดเจนขึ้นทันที
แต่ทว่าใบหน้าของนางนั้นถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากเหล็กที่แผ่กลิ่นอายเยือกเย็นออกมา
ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นดวงตาคู่โตและมีสีแดงเข้มดั่งเลือดสดๆ
อีกทั้งยังเปล่งกลิ่นอายมรณะอันเย็นชาออกมา
“เรือนร่างสูงโปร่ง... สีผิวแปลกประหลาด และดวงตาสีแดงดุจเลือด.. นางเป็นเผ่าพันธุ์อื่น ?!”
ทันใดนั้นจิตใจของจี้เทียนซิงก็พุ่งพล่านไปด้วยความคิดนี้อย่างตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันผู้หญิงในเสื้อคลุมดำก็ยื่นมือขวาออกมาโดยไร้คำพูด
มือนั้นเล็งเป้าไปที่ตำแหน่งศีรษะของจี้เทียนซิง
ฝ่ามือกว้างของนางกลายเป็นสีแดงเข้มและแผ่ซ่านพลังบางอย่างออกมารวมตัวกันเป็นมือสีแดงเลือดขนาดใหญ่
จี้เทียนซิงหนังตากระตุกวูบและตกตะลึง เขาถอยหลังห้าก้าวโดยสัญชาตญาณทันที
"ปัง !"
มือสีแดงเข้มขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับราวเหล็กของประตูเหล็กสีดำทำให้เกิดเสียงทื่อดังสนั่น
ซึ่งราวเหล็กสีดำนี้มีความหนาเทียบเท่ากับแขนข้างหนึ่งของเด็กและทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งมาก
“เอี๊ยด.....เอี๊ยด.. !”
อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงเห็นเต็มสองตาว่าราวเหล็กสีดำทั้งสามซี่ถูกบิดจนโค้งงอผิดรูปด้วยมือสีแดงเข้มของผู้หญิงชุดคลุมดำผู้นี้
!
ทันใดนั้น
ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง หัวใจกระตุกอย่างแรง “สวรรค์ ! พลังของนางช่างน่ากลัวนัก... เกรงว่าจะเหนือล้ำกว่าขอบเขตปราณจิตไปไกลลิบ
หรือว่านางจะเป็นยอดฝีมือระดับปราณฟ้า ?!”
พลังยุทธ์ของผู้หญิงคนนี้ทำให้จี้เทียนซิงสัมผัสได้เลือนลางว่าแม้กระทั่งหยุนเหยาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
!
โชคดีที่เขาไหวตัวทันและถอยหนีออกมา
มิฉะนั้นศีรษะของเขาคงเละเป็นเต้าหู้ด้วยฝีมือนางไปแล้ว
"เจ้าเป็นใคร
เหตุใดถึงคิดทำร้ายข้า !?”
จี้เทียนซิงถอยร่นไปที่มุมห้องหินห่างจากผู้หญิงเสื้อคลุมดำเกือบสิบเมตรและถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ดวงตาสีแดงเข้มของนางจ้องมาที่เขา
เผยให้เห็นเจตนาฆ่าฟันอันรุนแรง นางกล่าวเสียงเย็นจับจิตว่า “ไม่มีเหตุผลสำหรับการกระทำ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหลบได้ด้วยซ้ำ”
“จะโทษก็โทษดวงของเจ้าที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางเถิด ข้าจำเป็นต้องฆ่าเจ้า
จะได้ไม่มีใครเปิดเผยตำแหน่งของข้า !”
ผู้หญิงเสื้อคลุมดำกำลังตอบคำถามจี้เทียนซิงด้วยภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่สำเนียงของนางค่อนข้างแปลกแปร่งและฟังดูขัดหูเล็กน้อย
จี้เทียนซิงมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าผู้หญิงเสื้อคลุมดำผู้นี้เป็นเผ่าพันธุ์อื่นแน่นอน
!
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่นางอย่างเย็นชาและตะโกนว่า
“เจ้ามันเป็นสตรีที่มีพิษร้ายนัก ! เราสองไม่รู้จักกันแต่เจ้าทำยังกับข้าเป็นศัตรูคู่แค้นที่ต้องฆ่ากันให้ตาย ไร้เหตุผลสิ้นดี !”
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า
ข้าจะเปิดเผยเรื่องของเจ้าเพื่ออะไร ?”
ความหมายของจี้เทียนซิงค่อนข้างชัดเจน เขาไม่สนใจตัวตนของนางและไม่คิดจะบอกใครเรื่องที่นางแอบเข้ามาในถ้ำวายุทมิฬ
ตราบใดที่ผู้หญิงเสื้อคลุมดำนางนี้ไม่โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป หลังจากได้ยินคำพูดของเขาก็สมควรกลับไป
ทางใครทางมัน
นอกจากนี้จี้เทียนซิงยิ่งมิอาจต่อกรกับนางได้
เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ของนางสูงส่งเกินไปไร้ซึ่งหนทางชนะ
“หึหึ
แต่เจ้าเห็นข้าแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้ !” ผู้หญิงเสื้อคลุมดำแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา
วู้ม
!
ทันใดนั้นนางก็กลายเป็นหมอกสีดำสนิทและวูบร่างผ่านประตูเหล็กเข้าไปในห้องหินทันที
ดวงตาสีแดงเข้มของนางเปล่งประกายเจิดจ้าของรังสีฆ่าฟัน
นางเหยียดมือสีแดงเลือดขนาดใหญ่ออกไปอีกครั้งเพื่อจะคว้าจับศีรษะของจี้เทียนซิง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันรุนแรง
จี้เทียนซิงขมกรามแน่นและระเบิดพลังออกมา
“วายุอัสนีกระหน่ำ !”
“ เช้ง เช้ง !”
จี้เทียนซิงปะทุปราณกระบี่ทองยาวสองเมตรครึ่งออกมา หนึ่งซ้าย หนึ่งขวา
จากนั้นลำแสงกระบี่สีทองก็ผสานเข้ากับพายุเฮอริเคนที่รุนแรงจนกลายเป็นเส้นสายอัสนีขนาดครึ่งเมตร
และโจมตีเข้าใส่นาง
"เปรี้ยง !"
ประกายอัสนีถูกต้านรับไว้ด้วยมือสีแดงเลือดอันใหญ่โตจนเสียงทุ้มระเบิดออกมาดังสนั่น
***
(1) ปี้กู่ [辟谷] เป็นเทคนิคการถือศีลอดของชาวลัทธิเต๋า
[Daoist] ที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุ
"ชัยชนะ, ความเป็นอมตะ" ของชาวซีอาน
การหลีกเลี่ยงข้าวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางวัฒนธรรมของจีนหลายแง่มุม
ยกตัวอย่างเช่นการถือศีลอด ข้อมูลจากวิกิ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved