ตอนที่ 230

พิธีกราบอาจารย์

ผ่านไปสามวัน

รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่

จี้เทียนซิงล่าถอยจากการปิดด่านบ่มเพาะตลอดช่วงสามวันและเดินออกจากห้องลับ

หลังจากพยายามอย่างหนักมาสามวันเขาก็รู้สึกได้ว่าจุดฝังเข็มและความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

บนตั่งโต๊ะภายในห้องมีชุดคลุมสีขาววางไว้อยู่

มันคืออาภรณ์ที่ฮั่นเฉียวเซิงเตรียมไว้ให้เขาล่วงหน้า

หลังจากจี้เทียนซิงทำกิจวัตรประจำวันเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อคลุมสีขาวเดินออกจากห้องและรีบไปที่ยอดเขาเมฆาสีชาด

วันนี้เป็นวันพิธีกราบอาจารย์

จากวันนี้ไปเขาจะเป็นลูกศิษย์ชั้นในและศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอย่างเป็นทางการ

จี้เทียนซินในชุดสีขาวบริสุทธิ์เดินออกไปด้วยความกระตือรือร้นและสร้างความอิจฉาเลื่อมใสให้แก่เหล่าศิษย์มากมาย

ทุกคนต่างก็เป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่มีความทะเยอทะยาน

ใครบ้างจะไม่อยากสวมชุดสีขาวที่พริ้วสะบัดตามสายลม ในมือถือกระบี่ ?

ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อคลุมสีฟ้าของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปและดูธรรมดามาก

มีเพียงจอมยุทธ์ในอาภรณ์ขาวเท่านั้นที่ดูเหมือนเป็นวีรบุรุษผู้สุภาพอ่อนโยนและมีชื่อเสียงมากกว่า

จี้เทียนซิงเดินไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเมฆาสีชาด

ระหว่างทางไม่รู้ว่ามีศิษย์ฝ่ายนอกมากน้อยเพียงใดที่จ้องมองเขาจากที่ไกลๆ

ทุกคนรู้ดีว่าวันนี้เป็นพิธีรับศิษย์และจี้เทียนซิงผู้นี้ก็กำลังจะมีฐานะที่พุ่งสูงขึ้น

หลังจากมาถึงยอดเขาเมฆาสีชาด  ทันทีที่จี้เทียนซิงมาถึงหน้าตำหนักฉิงเทียนเขาก็ถูกผู้อาวุโสสามฉุดลากไปด้านข้าง

อาวุโสสามผู้นี้เป็นชายชราร่างผอมที่ใจดี

เขาเป็นผู้รับผิดชอบในพิธีกรรมและงานเฉลิมฉลองของนิกาย

เขานำตัวจี้เทียนซิงไปที่วิหารเพื่ออบรมสั่งสอนอธิบายเกี่ยวกับพิธีการต่างๆในวันนี้

พิธีรับศิษย์วันนี้ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรมากนัก

แต่มันเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎข้อบังคับและต้องไม่มีความผิดพลาดโดยเด็ดขาด

จี้เทียนซิงพยักหน้าและฟังคำสั่งสอนของอาวุโสสามอย่างตั้งใจ

เขาพยายามจดจำพิธีการอันยุ่งยากซับซ้อนในใจอย่างเงียบๆ

ด้วยสติปัญญาและความทรงจำอันดีเลิศของเขา

มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำจดขั้นตอนทั้งหมด

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

พิธีก็ใกล้จะเริ่มขึ้น อาวุโสสามพยักหน้าให้สัญญาณและพาเขาไปที่ตำหนักฉิงเทียน

ภายในห้องใหญ่มีคนมากกว่า

30 คนที่มารวมตัวกัน พวกเขายืนแยกเป็นสองแถวและพูดคุยกันเอิกเกริกด้วยเสียงต่ำ

ดวงตาของจี้เทียนซิงกวาดผ่านทั่วห้องโถงใหญ่และจดจำผู้คนได้มากมาย

ในบรรดาคนเหล่านี้มิได้มีเพียงผู้อาวุโสทั้งเก้าเท่านั้น แต่ยังมีเซี่ยงหวู่จี้, ผู้ดูแล, ครูฝึกและศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในอีกห้าคนรวมอยู่ด้วย

!

นิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นมีศิษย์ระดับหัวกะทิอยู่หกคน

ขาดไปหนึ่งซึ่งก็คือเอี๋ยนเอ๋อร์ที่ไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีในวันนี้

และศิษย์ทั้งห้าที่อยู่ในห้องโถงตอนนี้ก็คือหยุนเหยา, ไป๋หวู่เชิน, ฮ่าวเมิ่งและชายหนุ่มรูปงามอีกสองคน

จี้เทียนซิงเคยเห็นหน้าไป๋หวู่เชินกับฮ่าวเมิ่งมาก่อนแล้ว

แต่เขาไม่เคยพบสองคนนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเพ่งความสนใจไปยังสองคนนี้ให้มากขึ้น

ซึ่งศิษย์สองคนนั้นก็มีท่าทางอยากรู้อยากเห็นเช่นกันและลอบมองเขาอยู่เป็นระยะๆ

เนื่องจากตอนนี้อยู่ในพิธีการที่เต็มไปด้วยผู้อาวุโสตัวเป้งๆมากมาย

สองคนนั้นจึงไม่ได้ทักทายจี้เทียนซิงและไม่เอ่ยปากพูดจาใดๆ

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างเลือนลางว่าสองคนนี้แม้ฉากหน้าจะดูสงบราบเรียบไร้อารมณ์

แต่แท้จริงแล้วพวกมันกลับมีกลิ่นอายของความเป็นศัตรูแฝงอยู่

จี้เทียนซิงมาถึงจุดนี้ด้วยสองแข้งสองขาของตนเองและไม่เคยสร้างศัตรูมาก่อน

มีแต่ผู้อื่นที่มองเขาเป็นศัตรูและเกลียดชังเขา

แต่ทว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

เขาไม่แปลกใจและไม่สับสน เขาคิดถึงผลลัพธ์นี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่ฉู่เทียนเซิงประกาศจะรับเขาเป็นศิษย์สายตรงเมื่อสามวันก่อนแล้ว

มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงสำหรับเขาหากจะพูดว่าตนเองนั้นได้ตกเป็นเป้าหมายเพ่งเล็งของสาธารณะชนในตอนนี้...

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงไม่แคร์สายตาผู้คนและเสียงซุบซิบนินทา

เขาจดจำในสิ่งที่หยุนเหยาเคยกล่าวไว้ในวันนั้นได้ดีและจะทำเช่นนั้น

!

หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็หอบกลิ่นอายอันแข็งกล้าเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่

เป็นอันว่าผู้คนที่เข้าร่วมพิธีก็ครบองค์ประชุมในที่สุด

ทันทีที่ถึงเวลา

ผู้อาวุโสทั้งสามคนจึงประกาศว่าพิธีรับศิษย์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

ผนังทางทิศเหนือของห้องโถงหลักในตำหนักฉิงเทียนมีภาพเหมือนของบรรพบุรุษนิกายสลักไว้อยู่

ใต้ภาพนั้นยังมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว

บนแท่นบูชามีอัญมณี, กระถางธูปทองสัมฤทธิ์

ผู้อาวุโสสามยืนอยู่ข้างแท่นบูชา

สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เสียงที่ประกาศเริ่มพิธีการของเขานั้นดังกังวานกึกก้องไปทั่วห้องโถง

สำนวนโวหารที่ร่ายยาวออกมาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อเชิดชูความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของผู้ก่อตั้งนิกายและกล่าวถึงความสำเร็จของประมุขนิกายที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัย

หลังจากร่ายโวหารจบแล้วอาวุโสสามก็ประกาศเสียงดังให้ทุกคนคารวะท่านบรรพบุรุษและประมุขนิกาย

ผู้คนในห้องโถงใหญ่เริ่มขยับตำแหน่งโดยมีฉู่เทียนเซิงกับเซี่ยงหวู่จี้ยืนอยู่แถวหน้าสุด

ผู้อาวุโสทั้งเก้ายืนอยู่ข้างหลัง ถัดไปก็เป็นเหล่าผู้ดูแล,พ่อบ้านและครูฝึก สุดท้ายก็เป็นศิษย์หัวกะทิ

ทุกคนมองไปที่รูปปั้นผู้ก่อตั้งและกราบไหว้บรรพบุรุษกับป้ายสถิตย์วิญญาณของประมุขนิกายรุ่นก่อนๆ

หลังจากจบขั้นตอนนี้

อาวุโสสามก็หยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาซึ่งเป็นบทปาฐกถาอันยืดยาวแขนงหนึ่ง

ซึ่งความหมายของปาฐกถาเหล่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอุทิศตนของประมุขนิกายและสมาชิกทุกคนที่บำเพ็ญตนเพื่อทำให้นิกายเจริญรุ่งเรืองสืบไป

ดังนั้น

ในวันนี้ประมุขนิกายรุ่นปัจจุบันจึงมีประสงค์ที่จะเฟ้นหาสายเลือดใหม่ผู้มีความสามารถ

เพื่อทำประโยชน์และเชิดชูนิกายให้เจริญรุ่งเรืองอีกไปชั่วกาลนาน

จี้เทียนซิงเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของนิกายอย่างเคร่งครัด

จากนั้นเขาก็ท่องบทปาฐกถาตามอาวุโสสาม

พิธีการอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม

จนกระทั่งจี้เทียนซิงเดินไปหาฉู่เทียนเซิงเพื่อกราบกรานเป็นอาจารย์  หลังจากพิธีการยกน้ำชาเสร็จสิ้นลง

อาวุโสสามก็ประกาศจบพิธี

นับจากนี้เป็นต้นไป

จี้เทียนซิงก็คือศิษย์สายตรงคนที่สามของฉู่เทียนเซิงประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์อย่างเป็นทางการ

!

เหล่าผู้อาวุโสและสมาชิกนิกายทุกคนต่างแสดงความยินดีกับฉู่เทียนเซิงอย่างเอิกเกริก

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตอบรับความยินดีจากทุกหมู่เหลา

แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะนำหยกสีดำที่มีขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากแหวนมิติและส่งมอบให้จี้เทียนซิงพลางกล่าวว่า

“เทียนซิงศิษย์ข้า นี่เป็นของขวัญจากอาจารย์  อาจารย์หวังว่าเจ้าหมั่นเพียรฝึกฝนและพยายามอย่างหนัก

อย่าได้ทำให้อาจารย์ต้องเสียหน้าแล้ว !”

จี้เทียนซิงนับหยกสีดำมาด้วยสีหน้าจริงจัง

เขาขอบคุณอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึมพลางตอบรับว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ

ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง!”

ฉู่เทียนเซิงยิ้มแย้มพลางแสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา

จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็มอบของขวัญให้จี้เทียนซิงและแสดงความยินดีกับเขา

ซึ่งผู้อาวุโสใหญ่เดิมทีก็รู้สึกประทับใจมันเป็นอย่างมากอยู่แล้ว

ดังนั้นของขวัญที่เขามอบให้นั้นจึงแทบจะประเมินค่าไม่ได้ มันมีทั้งเม็ดยาระดับล้ำลึกที่มีคุณภาพสูงสุดและหินวิญญาณถึงสิบก้อน !

เมื่อมีผู้อาวุโสใหญ่นำ

ดังนั้นอาวุโสคนอื่นๆจึงไม่น้อยหน้า

พวกเขาทยอยกันนำของของขวัญที่เตรียมเอาไว้มอบให้กับจี้เทียนซิงกันแน่นขนัด

ซึ่งของขวัญจากบุคลกลุ่มนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่ง

นอกจากนี้ประเพณีนี้ก็ถือเป็นแนวปฏิบัติของนิกายพันธมิตรสวรรค์อยู่แล้ว

การรับศิษย์สายตรงของประมุขคือเรื่องใหญ่ของนิกาย

แน่นอนว่าของกำนัลจากเหล่าอาวุโสใต้อาณัติย่อมไม่มีทางด้อยคุณค่า  ยังไม่หมดเท่านั้นแม้แต่เหล่าผู้ดูแล

ครูฝึกและเจ้าหน้าที่หลายคนที่คุ้นเคยกับจี้เทียนซิงก็ยังมอบของขวัญให้เช่นกัน

จี้เทียนซิงรับของขวัญจากทุกคนด้วยรอยยิ้มอันสุภาพและคารวะขอบคุณทุกคนอย่างนอบน้อม

หยุนเหยาที่อยู่ไม่ไกลได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมันและของขวัญล้นมือ

ดวงตาคู่งามของนางก็เปล่งประกายและเผยรอยยิ้มขึ้น

ส่วนไป๋หวู่เชินและศิษย์หัวกะทิอีกสองคนมีสีหน้าไร้อารมณ์

แววตาของพวกมันดูเย็นชาเล็กน้อย