สี่มหาจักรพรรดิ
!
บรรยากาศภายในข่ายปราณเริ่มกลายเป็นเคร่งเครียด
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและนิกายอื่นๆเริ่มมีท่าทีก้าวร้าว
จี้เทียนซิงลุกขึ้นพูดเพื่อออกหน้าแทนหยุนเหยา
ทว่าน่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่มีน้ำหนักพอ
ประมุขทั้งหลายย่อมไม่มีผู้ใดแยแสกับคำพูดของเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้
สุ่ยเยวี่ยประมุขนิกายฤทัยจันทราจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหันไปมองรอบๆเพื่อชิงพูดขึ้นว่า “ท่านประมุขทั้งหลายฟังคำพูดของหญิงชราอย่างข้าสักเล็กน้อย ข่าวนี้เป็นเรื่องฉุกละหุกเกินไปสำหรับหยุนเหยา
แน่นอนว่านางยังไม่พร้อม อีกทั้งประมุขฉู่ก็มิได้อยู่ที่นี่จึงไม่มีผู้ใดช่วยนางออกความเห็น ดังนั้นแล้วคำแนะนำของพวกท่านดูท่าจะไร้ประโยชน์ในตอนนี้”
นางกระแทกไม้เท้าในมือและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เรื่องราวขอให้สิ้นสุดในวันนี้
ปล่อยให้นางกลับไปคุยกับอาจารย์ของนางก่อนก็ยังมิสายเกินไปที่จะตัดสินใจ ข้าเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของประมุขฉู่และหยุนเหยา
พวกเขาย่อมมีตัวเลือกที่ชาญฉลาดและเหมาะสม”
“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้จะดีที่สุด” จ้าวสำนักหลิวเหอก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขนิกายอื่นๆอีกหลายคนไม่ได้พูดอะไรอีก
ทุกคนคล้อยตามความคิดเห็นของสุ่ยเยวี่ย
จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่น
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของดินแดนดาราบรรพกาล
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม
แทบจะพูดได้ว่าการประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าประกาศเสียงดังว่าการประชุมสภาแปดนิกายครั้งนี้จบสิ้นลง
หลังจากเสร็จพิธีการ
ประมุขนิกายและศิษย์สายตรงของแต่ละนิกายก็ทยอยลุกจากที่นั่งและเดินออกจากเวทีแห่งดวงดารา
แต่ก็ยังมีประมุขนิกายอีกหลายคนที่ยังคงอยู่และกระซิบกระซาบพูดคุยกันบางอย่าง
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงย่อมอยู่ในกลุ่มคนที่เตรียมอำลาจากไป
อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่คิดอยู่ต่อเพื่อชมดาวและทิวทัศน์อันงดงาม
ทั้งสองโค้งคารวะให้สุ่ยเยวี่ย, เหยียนจากเหมินและฉีจงจู จากนั้นก็เดินผละจากเวทีแห่งดวงดาราไปที่กระเรียนวิญญาณ
...........
กระเรียนวิญญาณบินไปบนท้องนภายามราตรีเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงยืนเคียงคู่กันอยู่บนกลางหลังของมัน
สีหน้าของพวกเขาเย็นชาและดูกดดันเล็กน้อย
ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีฝ่ายใดเริ่มปริปาก
ดวงตาจ้องมองไปเบื้องหน้าผ่านหมู่เมฆและท้องฟ้ายามค่ำคืน
พวกเขาต่างก็จมอยู่ในภวังค์ของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นานหยุนเหยาก็หันไปมองด้านข้างของจี้เทียนซิงพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง
ปกติเจ้าเป็นคนหนักแน่นเยือกเย็นและรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไฉนคืนนี้เจ้าถึงได้ลุกขึ้นแสดงท่าทางเกรี้ยวกราดต่อเหล่าประมุขนิกายเช่นนั้นได้
? เจ้าไม่กลัวพวกเขามีโทสะแล้วลงมือต่อเจ้าหรือ ?”
ที่จริงแล้วเมื่อตอนที่จี้เทียนซิงก้าวออกมาพูดแทนนางและประณามประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขคนอื่นๆ
นางรู้สึกประทับใจแต่ก็เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาด้วย
จี้เทียนซิงส่ายหัวด้วยสีหน้าสงบราบเรียบพลางกล่าวว่า
“ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขคนอื่นๆมีความคิดและสำนึกที่เลวร้าย
ชวนให้ผู้คนผิดหวังและรู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก !”
“พวกเขาอุกอาจมากที่กล้าบีบบังคับให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องลำบากใจ
แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆได้
ดังนั้นข้าก็เลยระบายออกไปด้วยความขุ่นเคือง หึ ! คนสารเลวพวกนี้
จำเป็นต้องไว้หน้าด้วยหรือ ?"
ดวงตาคู่งามที่กระจ่างใสของหยุนเหยาจ้องมองไปที่ใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย
นางเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าสงบราบเรียบว่า “เจ้า... ไม่ต้องการให้ข้าเป็นนางสนมของโอรสสวรรค์ ใช่ไหม ?”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลังพูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตนเองออกอาการเกินไป อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าคำพูดของหยุนเหยาแฝงความนัยบางประการ
เขาเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของหยุนเหยาเปล่งประกายและมีสีสันแปลกๆ
ทันใดนั้นเองหัวใจของเขาก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะจากการถูกนางจ้องมอง
เขารีบเก็บอาการอย่างรวดเร็วและหลบสายตาอันลุ่มลึกของนาง
หันหน้าไปอีกข้างอย่างสำรวม จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่หลงใหลวิทยายุทธ์
นี่คือสิ่งที่ทุกคนทราบดี ท่านมีทางเลือกและวิธีการของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของผู้อื่น ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากับพวกประมุขที่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ล้วนเป็นพวกหน้าซื่อใจคด พวกเขาทำตัวน่าชังยิ่งนักที่บอกให้ท่านเป็นผู้เสียสละ”
“อืม”
หยุนเหยาเพียงแค่พยักหน้ารับคำและไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบงัน
ไม่มีฝ่ายใดปริปากพูด
จนกระทั่งผ่านไปหกชั่วยามก็เป็นเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น
ในที่สุดกระเรียนวิญญาณก็นำพวกเขาทั้งสองคนกลับมาส่งถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้อย่างปลอดภัย
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงรีบไปที่ยอดเขาเมฆาสีชาดจึงให้กระเรียนวิญญาณลงจอดที่ด้านนอกตำหนักฉิงเทียน
จากนั้นก็ดิ่งตรงไปที่ห้องโถงหลัก
ยามเฝ้าประตูโถงหลักต่างก็คารวะทักทายพวกเขาทั้งสองคนอย่างนอบน้อม หยุนเหยาแจ้งต่อยามว่าต้องการพบประมุขเพื่อรายงานเรื่องสำคัญ ยามพยักหน้ารับคำและเดินเข้าไปรายงาน
ทั้งสองเข้าไปในห้องโถงของตำหนักฉิงเทียนและรออยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งฉู่เทียนเซิงมาถึง
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์ประมุข !”
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงและกำหมัดคารวะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและเอ่ยปากถามด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า
“การประชุมสภาแปดนิกายเป็นอย่างไรบ้าง ? ประมุขทั้งหลายมารวมตัวกันปรึกษาปัญหาอะไรกันบ้างเล่า ?”
หยุนเหยารีบรายงานแผนการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ฉู่เทียนเซิงฟังโดยละเอียด
หลังจากฟังจบแล้วฉู่เทียนเซิงก็พยักหน้าและกล่าวว่า
“ดีมาก เผ่าปีศาจกบดานคอยเล่นงานพวกเราอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลมานานเกินไป
พวกมันสมควรถูกทำลายโดยเร็วที่สุด”
“ส่วนเรื่องที่ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและแนวร่วมของมันแสดงท่าทางเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในเมื่อแผนการนี้มีเพียงสุ่ยเยวี่ย
เหยียนจางเหมินและฉีจงจูเท่านั้นที่เห็นด้วยและคิดร่วมมือ ดังนั้นเจ้าต้องจัดการอย่างละเอียดรอบคอบนะหยุนเหยา”
หยุนเหยาพยักหน้าหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ศิษย์ทราบแล้วท่านอาจารย์ !”
ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่หยุนเหยากับจี้เทียนซิง
จากนั้นก็ถามต่อไปว่า “นอกเหนือจากแผนการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจ ...... เรื่องนั้น พวกเจ้าทราบแล้วใช่หรือไม่ ?”
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันทันที
ฉู่เทียนเซิงถามหยุนเหยาว่า
“หยุนเหยา แล้วเจ้าวางแผนอย่างไรกับเรื่องนี้ ?”
หยุนเหยายอบกายคารวะและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ศิษย์ต้องการไล่ตามไปให้ถึงจุดสูงสุดของมรรคายุทธ์และไม่มีความตั้งใจที่จะพูดถึงการแต่งงานแม้แต่น้อย”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและเผยให้เห็นสีหน้าที่เข้าอกเข้าใจ
เขาคืออาจารย์ของหยุนเหยา
แน่นอนว่าย่อมรู้นิสัยศิษย์เอกของตนเองเป็นอย่างดีและคาดเดาได้แต่แรกว่านางจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
เขาขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“หยุนเหยา การเลือกเฟ้นนางสนมของโอรสสวรรค์
อาจารย์จะไม่ก้าวล่วงความคิดของเจ้าและจะไม่บีบบังคับ
เรื่องนี้ให้เจ้าคิดพิจารณาเอง”
“อย่างไรก็ตาม อาจารย์มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื่องหลังของทวีปลมปราณฟ้าและสถานะของอาณาจักรเรา”
ต้องบอกว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของฉู่เทียนเซิงก็ยิ่งกลายเป็นจริงจังมากขึ้น
“ทวีปลมปราณฟ้ามีห้าเขตใหญ่ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น
เหนือ ใต้ ออก ตก และเขตศูนย์กลาง(จ้งโจว)
จ้งโจวเป็นแกนกลางของแผ่นดินใหญ่และเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด มันถูกควบคุมโดยมหาจักรพรรดิทั้งสี่
พวกเขาคือตี้จวินที่เป็นสุดยอดฝีมือและเป็นผู้นำของแต่ละชาติพันธุ์
ซึ่งประกอบไปด้วย เขตใต้มหาจักรพรรดิเหรินซู, เขตตะวันออกมหาจักรพรรดิสุ่ยจู, เขตเหนือมหาจักรพรรดิปีศาจ, เขตตะวันตกมหาจักรพรรดิอสูร”
“โดยที่เขตใต้ของแผ่นดินใหญ่เป็นดินแดนของมนุษยชาติ
มีทั้งหมดเก้าอาณาจักร, จักรวรรดิราชวงศ์ยิบย่อยอีกนับร้อย, สำนักนิกายนับหมื่นและประชากรหลายพันล้านคน ดังนั้นเขตใต้ก็คือที่พักพิงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยการสนับสนุนและปกป้องของตี้จวิน
เก้าอาณาจักรจึงมีแต่สันติสุขและเงียบสงบมาโดยตลอด
ไร้ซึ่งการบุกรุกอย่างรุนแรงของพวกปีศาจ.....”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved