ตอนที่ 253

สี่มหาจักรพรรดิ

!

บรรยากาศภายในข่ายปราณเริ่มกลายเป็นเคร่งเครียด

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและนิกายอื่นๆเริ่มมีท่าทีก้าวร้าว

จี้เทียนซิงลุกขึ้นพูดเพื่อออกหน้าแทนหยุนเหยา

ทว่าน่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่มีน้ำหนักพอ

ประมุขทั้งหลายย่อมไม่มีผู้ใดแยแสกับคำพูดของเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้

สุ่ยเยวี่ยประมุขนิกายฤทัยจันทราจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหันไปมองรอบๆเพื่อชิงพูดขึ้นว่า “ท่านประมุขทั้งหลายฟังคำพูดของหญิงชราอย่างข้าสักเล็กน้อย ข่าวนี้เป็นเรื่องฉุกละหุกเกินไปสำหรับหยุนเหยา

แน่นอนว่านางยังไม่พร้อม อีกทั้งประมุขฉู่ก็มิได้อยู่ที่นี่จึงไม่มีผู้ใดช่วยนางออกความเห็น  ดังนั้นแล้วคำแนะนำของพวกท่านดูท่าจะไร้ประโยชน์ในตอนนี้”

นางกระแทกไม้เท้าในมือและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“เรื่องราวขอให้สิ้นสุดในวันนี้

ปล่อยให้นางกลับไปคุยกับอาจารย์ของนางก่อนก็ยังมิสายเกินไปที่จะตัดสินใจ ข้าเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของประมุขฉู่และหยุนเหยา

พวกเขาย่อมมีตัวเลือกที่ชาญฉลาดและเหมาะสม”

“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้จะดีที่สุด” จ้าวสำนักหลิวเหอก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขนิกายอื่นๆอีกหลายคนไม่ได้พูดอะไรอีก

ทุกคนคล้อยตามความคิดเห็นของสุ่ยเยวี่ย

จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่น

ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของดินแดนดาราบรรพกาล

หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม

แทบจะพูดได้ว่าการประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าประกาศเสียงดังว่าการประชุมสภาแปดนิกายครั้งนี้จบสิ้นลง

หลังจากเสร็จพิธีการ

ประมุขนิกายและศิษย์สายตรงของแต่ละนิกายก็ทยอยลุกจากที่นั่งและเดินออกจากเวทีแห่งดวงดารา

แต่ก็ยังมีประมุขนิกายอีกหลายคนที่ยังคงอยู่และกระซิบกระซาบพูดคุยกันบางอย่าง

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงย่อมอยู่ในกลุ่มคนที่เตรียมอำลาจากไป

อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่คิดอยู่ต่อเพื่อชมดาวและทิวทัศน์อันงดงาม

ทั้งสองโค้งคารวะให้สุ่ยเยวี่ย, เหยียนจากเหมินและฉีจงจู จากนั้นก็เดินผละจากเวทีแห่งดวงดาราไปที่กระเรียนวิญญาณ

...........

กระเรียนวิญญาณบินไปบนท้องนภายามราตรีเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงยืนเคียงคู่กันอยู่บนกลางหลังของมัน

สีหน้าของพวกเขาเย็นชาและดูกดดันเล็กน้อย

ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีฝ่ายใดเริ่มปริปาก

ดวงตาจ้องมองไปเบื้องหน้าผ่านหมู่เมฆและท้องฟ้ายามค่ำคืน

พวกเขาต่างก็จมอยู่ในภวังค์ของตนเอง

หลังจากนั้นไม่นานหยุนเหยาก็หันไปมองด้านข้างของจี้เทียนซิงพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง

ปกติเจ้าเป็นคนหนักแน่นเยือกเย็นและรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไฉนคืนนี้เจ้าถึงได้ลุกขึ้นแสดงท่าทางเกรี้ยวกราดต่อเหล่าประมุขนิกายเช่นนั้นได้

? เจ้าไม่กลัวพวกเขามีโทสะแล้วลงมือต่อเจ้าหรือ ?”

ที่จริงแล้วเมื่อตอนที่จี้เทียนซิงก้าวออกมาพูดแทนนางและประณามประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขคนอื่นๆ

นางรู้สึกประทับใจแต่ก็เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาด้วย

จี้เทียนซิงส่ายหัวด้วยสีหน้าสงบราบเรียบพลางกล่าวว่า

“ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขคนอื่นๆมีความคิดและสำนึกที่เลวร้าย

ชวนให้ผู้คนผิดหวังและรู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก !”

“พวกเขาอุกอาจมากที่กล้าบีบบังคับให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องลำบากใจ

แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆได้

ดังนั้นข้าก็เลยระบายออกไปด้วยความขุ่นเคือง หึ ! คนสารเลวพวกนี้

จำเป็นต้องไว้หน้าด้วยหรือ ?"

ดวงตาคู่งามที่กระจ่างใสของหยุนเหยาจ้องมองไปที่ใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย

นางเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าสงบราบเรียบว่า “เจ้า...  ไม่ต้องการให้ข้าเป็นนางสนมของโอรสสวรรค์  ใช่ไหม ?”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว !”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หลังพูดออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด

ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตนเองออกอาการเกินไป อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าคำพูดของหยุนเหยาแฝงความนัยบางประการ

เขาเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของหยุนเหยาเปล่งประกายและมีสีสันแปลกๆ

ทันใดนั้นเองหัวใจของเขาก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะจากการถูกนางจ้องมอง

เขารีบเก็บอาการอย่างรวดเร็วและหลบสายตาอันลุ่มลึกของนาง

หันหน้าไปอีกข้างอย่างสำรวม จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่หลงใหลวิทยายุทธ์

นี่คือสิ่งที่ทุกคนทราบดี ท่านมีทางเลือกและวิธีการของตัวเอง

ไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของผู้อื่น ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากับพวกประมุขที่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ล้วนเป็นพวกหน้าซื่อใจคด พวกเขาทำตัวน่าชังยิ่งนักที่บอกให้ท่านเป็นผู้เสียสละ”

“อืม”

หยุนเหยาเพียงแค่พยักหน้ารับคำและไม่ได้พูดอะไรอีก

จากนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบงัน

ไม่มีฝ่ายใดปริปากพูด

จนกระทั่งผ่านไปหกชั่วยามก็เป็นเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น

ในที่สุดกระเรียนวิญญาณก็นำพวกเขาทั้งสองคนกลับมาส่งถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้อย่างปลอดภัย

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงรีบไปที่ยอดเขาเมฆาสีชาดจึงให้กระเรียนวิญญาณลงจอดที่ด้านนอกตำหนักฉิงเทียน

จากนั้นก็ดิ่งตรงไปที่ห้องโถงหลัก

ยามเฝ้าประตูโถงหลักต่างก็คารวะทักทายพวกเขาทั้งสองคนอย่างนอบน้อม หยุนเหยาแจ้งต่อยามว่าต้องการพบประมุขเพื่อรายงานเรื่องสำคัญ  ยามพยักหน้ารับคำและเดินเข้าไปรายงาน

ทั้งสองเข้าไปในห้องโถงของตำหนักฉิงเทียนและรออยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งฉู่เทียนเซิงมาถึง

“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์ประมุข !”

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงและกำหมัดคารวะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและเอ่ยปากถามด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า

“การประชุมสภาแปดนิกายเป็นอย่างไรบ้าง ? ประมุขทั้งหลายมารวมตัวกันปรึกษาปัญหาอะไรกันบ้างเล่า ?”

หยุนเหยารีบรายงานแผนการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ฉู่เทียนเซิงฟังโดยละเอียด

หลังจากฟังจบแล้วฉู่เทียนเซิงก็พยักหน้าและกล่าวว่า

“ดีมาก เผ่าปีศาจกบดานคอยเล่นงานพวกเราอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลมานานเกินไป

พวกมันสมควรถูกทำลายโดยเร็วที่สุด”

“ส่วนเรื่องที่ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและแนวร่วมของมันแสดงท่าทางเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ในเมื่อแผนการนี้มีเพียงสุ่ยเยวี่ย

เหยียนจางเหมินและฉีจงจูเท่านั้นที่เห็นด้วยและคิดร่วมมือ  ดังนั้นเจ้าต้องจัดการอย่างละเอียดรอบคอบนะหยุนเหยา”

หยุนเหยาพยักหน้าหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ศิษย์ทราบแล้วท่านอาจารย์ !”

ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่หยุนเหยากับจี้เทียนซิง

จากนั้นก็ถามต่อไปว่า “นอกเหนือจากแผนการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจ  ...... เรื่องนั้น  พวกเจ้าทราบแล้วใช่หรือไม่ ?”

ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันทันที

ฉู่เทียนเซิงถามหยุนเหยาว่า

“หยุนเหยา แล้วเจ้าวางแผนอย่างไรกับเรื่องนี้ ?”

หยุนเหยายอบกายคารวะและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“ศิษย์ต้องการไล่ตามไปให้ถึงจุดสูงสุดของมรรคายุทธ์และไม่มีความตั้งใจที่จะพูดถึงการแต่งงานแม้แต่น้อย”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและเผยให้เห็นสีหน้าที่เข้าอกเข้าใจ

เขาคืออาจารย์ของหยุนเหยา

แน่นอนว่าย่อมรู้นิสัยศิษย์เอกของตนเองเป็นอย่างดีและคาดเดาได้แต่แรกว่านางจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

เขาขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“หยุนเหยา การเลือกเฟ้นนางสนมของโอรสสวรรค์

อาจารย์จะไม่ก้าวล่วงความคิดของเจ้าและจะไม่บีบบังคับ

เรื่องนี้ให้เจ้าคิดพิจารณาเอง”

“อย่างไรก็ตาม อาจารย์มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื่องหลังของทวีปลมปราณฟ้าและสถานะของอาณาจักรเรา”

ต้องบอกว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของฉู่เทียนเซิงก็ยิ่งกลายเป็นจริงจังมากขึ้น

“ทวีปลมปราณฟ้ามีห้าเขตใหญ่ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น

เหนือ ใต้ ออก ตก และเขตศูนย์กลาง(จ้งโจว)

จ้งโจวเป็นแกนกลางของแผ่นดินใหญ่และเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด มันถูกควบคุมโดยมหาจักรพรรดิทั้งสี่

พวกเขาคือตี้จวินที่เป็นสุดยอดฝีมือและเป็นผู้นำของแต่ละชาติพันธุ์

ซึ่งประกอบไปด้วย เขตใต้มหาจักรพรรดิเหรินซู, เขตตะวันออกมหาจักรพรรดิสุ่ยจู, เขตเหนือมหาจักรพรรดิปีศาจ, เขตตะวันตกมหาจักรพรรดิอสูร”

“โดยที่เขตใต้ของแผ่นดินใหญ่เป็นดินแดนของมนุษยชาติ

มีทั้งหมดเก้าอาณาจักร, จักรวรรดิราชวงศ์ยิบย่อยอีกนับร้อย, สำนักนิกายนับหมื่นและประชากรหลายพันล้านคน ดังนั้นเขตใต้ก็คือที่พักพิงของเผ่าพันธุ์มนุษย์  ด้วยการสนับสนุนและปกป้องของตี้จวิน

เก้าอาณาจักรจึงมีแต่สันติสุขและเงียบสงบมาโดยตลอด

ไร้ซึ่งการบุกรุกอย่างรุนแรงของพวกปีศาจ.....”