ตอนที่ 270

เหลือเชื่อยิ่งนัก

!

“วายุอัสนีบาต !”

จี้เทียนซิงจับจ้องไปที่เงาร่างของอันหยิงที่กำลังวูบวาบไปมาเป็นหมอกเงา

พลันสำแดงกระบวนท่าที่สองของเพลงกระบี่ดาราเหินออกมา

กระบี่ทองคำสองเล่มที่มีความยาวสองเมตรปรากฏขึ้นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา

“ฟิ้ว ! ฟิ้ว

!”

เพียงชั่วลัดนิ้วเดียว

คลื่นกระบี่สองสายเปล่งประกายโบยบินออกไปไกลสิบเมตร

พวกมันผสานกันและเปลี่ยนเป็นอสุนีบาตสีทองที่ผ่าซัดไปยังอันหยิง

“ครืน ......

!”

เสียงกัมปนาทดังกึกก้องราวกับสายฟ้าระเบิด

มันส่งเสียงดังคำรามไปทั่วลานประลอง

เปรี้ยง

!!

ยามอัสนีบาตสีทองขนาดใหญ่ฟาดลงมา

เงาหมอกสีเทาก็กระจัดกระจาย ณ จุดนั้นทันที

ปรากฏร่างแท้จริงของอันหยิงที่ถูกผ่าปลิวลอยละลิ่วตกกระแทกพื้นดินห่างออกไปนับสิบเมตร  สภาพของมันตอนนี้เป็นตายยังไม่มีผู้ใดทราบ

อัสนีบาตสีทองที่กระทบพื้นดินจุดนั้นก่อเกิดเป็นหลุมลึกกว่าครึ่งเมตรและกว้างสองเมตร

!

ก้อนหินดินทรายจำนวนมากผสมกับฝุ่นละอองสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง

พื้นดินของลานประลองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว

ผู้ชมรอบๆต่างก็เป็นสักขีพยานในฉากนี้

พวกเขาทุกคนเบิกตากว้างราวกับเห็นผีและเผยสีหน้าที่เหลือเชื่อออกมา

เกือบหนึ่งพันคนในห้องโถง

ไม่มีเสียงดังเล็ดรอดออกมาอย่างที่ควรจะเป็น มีแต่ความเงียบงันเท่านั้น

ทุกคนตกตะลึง

!

ผู้ชมทั่วทั้งอัฒจันทร์เต็มไปด้วยสีหน้าที่ตะลึงและอธิบายไม่ถูก

พวกเขาจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สาม

สามารถแสดงพลังของเพลงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนี้ออกมาได้จริงหรือ ?

เขาสามารถโจมตีมนุษย์หมาป่าอันหยิงที่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทั่วร่างได้อย่างไร

?

ทั้งๆที่พลังรบโดยรวมของอันหยิงนั้นหากวัดจริงๆก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่หกถึงเจ็ดด้วยซ้ำ

!

เขาทำได้อย่างไร

?

มันช่างน่าเหลือเชื่อนัก!

ในขณะที่ทุกคนมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเหรอหราหวาดกลัว

ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปใกล้อันหยิงและมองดูมันด้วยสีหน้าราบเรียบ

มนุษย์หมาป่าอันหยิงตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเลือดและมีแผลกระบี่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าอก

รอยแผลนั้นผ่าลึกจนเห็นกระดูกหน้าอกขยายไปถึงหน้าท้องเป็นทางยาว

รอยแผลสดๆเปิดออกเห็นกระดูกสีขาว

ตามมาด้วยโลหิตสีแดงเข้มที่ยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่ทำให้จี้เทียนซิงประหลาดใจก็คือ

ถึงแม้ว่ามันจะมีสภาพสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ แต่มันกลับไม่ตกตายในทันที

มันอยู่ในอาการแทบสิ้นสติได้ทุกเมื่อ

ร่างกายบิดกระตุกโดยไม่รู้ตัวและกรงเล็บทั้งสองข้างยังคงตะกุยพื้นไม่หยุด

อย่างไรก็ตามมันสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้วย่อมไม่สามารถยืนหยัดขึ้นมาได้อีก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้เทียนซิงเป็นผู้ชนะอย่างเป็นเอกฉันท์

ในที่สุดผู้ชมเกือบพันคนที่อยู่ในพื้นที่รอบๆก็ฟื้นสติกลับมาได้ในที่สุด

โอ..........

อา      เฮ !!!

ฝูงชนอุทานและตะโกนเพื่อพยายามระบายความตกใจและเหลือเชื่อ

มีหลายคนที่เสียเงินเดิมพันก้อนโต

ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยโทสะพลางคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง

บางคนอุทาน

บางคนโห่ร้องอย่างสะใจ บางคนพูดว่าไม่น่าเชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมีทั้งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งน่าสมเพช

...

ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องจนแก้วหูแทบระเบิด

ที่มุมตะวันออกของอัฒจันทร์, หลิงซื่อไห่ทิ้งก้นลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง

สองมือกำพนักพิงแขนไว้แน่น หน้าผากปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นจนแทบระเบิด

ดวงตาของเขาเบิกกว้างและจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

สีหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

“นี่..... เป็นไปได้อย่างไร!?”

“ไอ้เด็กระยำนั่นเพิ่งเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์ได้เพียงสองสามเดือนเท่านั้น

ไฉนมันถึงมีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สามได้ ? หนำซ้ำยังสามารถเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงแห่งเผ่าอสูรที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นที่ห้าได้

?!”

"ทำไม ? ทำไม  !!  ไอ้เด็กจี้เทียนซิงสวะพิการไร้ค่าเมื่อวันนั้น

บัดนี้มันกลับเติบโตได้อย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ เพราะอะไร !!”

ใบหน้าของหลิงซื่อไห่บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ

ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยหน้าอกพองโตแทบระเบิด เขาสบถด่าทอออกมาไม่หยุดปาก

เมื่อไม่นานนี้

ทันทีที่ได้เห็นจี้เทียนซิงในลานประลองเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้นเพราะคิดว่าจะได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของอีกฝ่ายที่ตกตายด้วยน้ำมือของอันหยิง

อย่างไรก็ตาม

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกินความคาดหมายของเขาไปไกลโข

จี้เทียนซิงเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงได้จริงๆ !

สิ่งนี้จะทำให้เขาเชื่อได้อย่างไร

? เขาจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร ?

หลังจากใช้เวลานานใบหน้าของหลิงซื่อไห่ก็สงบลง

ดวงตาของเขากลับคืนสู่ความเยือกเย็นฉายแววเศร้าสลด

เขามองจี้เทียนซิงและลอบสบภในใจลับๆ

“เดรัจฉานน้อย

ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเติบโตมาได้ถึงระดับนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว

เจ้าจะต้องตายในไม่ช้า !”

“ยามนี้เจ้าไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของนิกายพันธมิตรสวรรค์แต่อยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง

ทันทีที่ออกนอกเมืองจะเป็นวันตายของเจ้า !”

.........

ในเวลาเดียวกันเหลยเฉียนจวินก็เดินเข้ามาในลานประลองพร้อมกับลูกน้องในชุดเกราะทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

พวกเขาเดินเข้าไปแบกร่างของอันหยิงที่บาดเจ็บจนหมดสติออกไปนอกลานประลอง

จากนั้นเหลยเฉียนจวินก็ยกมือขึ้นเพื่อแสดงท่าทางให้ผู้ชมสงบสติอารมณ์ลงและกล่าวว่า

"พวกท่านทั้งหลาย การที่เจ้าหนุ่มผู้นี้สามารถเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงได้นั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของข้าเช่นกัน

ข้ารู้สึกประหลาดใจไม่แพ้ทุกท่าน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ข้าได้รับหน้าที่ดูแลการพนันจ้าวป่า

!”

“อย่างไรก็ตามเมื่อได้วางเดิมพันไปแล้วก็ย่อมต้องยอมรับการสูญเสีย

หากมีผู้ใดที่ฉวยโอกาสตอนชุลมุนเชิดหนีแล้วล่ะก็.....  หึๆๆ…”

เขาไม่ได้พูดประโยคต่อมา

แต่ผู้ชมเกือบพันคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี

ในเมืองวิญญาณเพลิงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะสร้างปัญหาและหาเรื่องตึกพนันเหยี่ยวเวหา

ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมฝังตัวเอง !

ผู้ชมหลายคนหมดเนื้อหมดตัว

พวกเขาเหล่านั้นเผยสีหน้าที่โศกเศร้าแต่ก็ไม่สามารถระบายความขุ่นเคืองออกมาได้

ทำได้เพียงแค่เก็บงำไว้ในใจเท่านั้น

การแสดงในคืนนี้จบลงในที่สุด

ผู้ดูแลกว่าสิบคนเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับผู้พิทักษ์นับร้อย

เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รอบๆและให้แน่ใจว่าผู้ชมจะเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบโดยไม่เกิดอุบัติเหตุ

เหลยเฉียนจวินหันมามองจี้เทียนซิง

ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความชื่นชมพลางพยักหน้าให้เขา “น้องชาย เจ้าน่าทึ่งมาก

เพลงกระบี่ที่เจ้าใช้ล้มอันหยิงทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก !”

“ไปกันเถอะ ตามข้อตกลงของเรา

ข้าจะพาเจ้าไปพบเทียนอิงฟางจู้ หากเจ้ามีความปรารถนาใดๆไว้รอพบกับท่านหัวหน้าแล้วบอกท่านโดยตรงก็แล้วกัน”

“เชิญ !”

เหลยเฉียนจวินผายมือนำจี้เทียนซิงลงจากลานประลองและผ่านห้องลับเข้าไปพบเทียนอิงฟางจู้

การประลองเมื่อครู่นั้นจี้เทียนซิงทำร้ายอันหยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

บาดแผลรุนแรงขนาดนั้นแม้จะใช้เวลารักษาหกเดือนหรือหนึ่งปีก็ยังไม่แน่ว่าจะหายสนิทซึ่งตามหลักแล้วเหลยเฉียนจวินควรจะโกรธหรือไม่พอใจในฐานะผู้ดูแลบ่อน

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเขากลับอารมณ์ดีอย่างไม่ซ่อนเร้นใดๆ

อีกทั้งทัศนคติของเขาที่แสดงต่อจี้เทียนซิงก็ยังเต็มไปด้วยความกลมกลืน

ชายหนุ่มคาดเดาเหตุผลในใจว่า

อาจจะเป็นเพราะชัยชนะของเขาทำให้นักพนันจำนวนมากต้องเสียเงินเสียทองแทบสิ้นเนื้อประดาตัวให้กับตึกพนันเหยี่ยวเวหา

กล่าวได้ว่าค่ำคืนนี้หมู่ตึกพนันเหยี่ยวเวหาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว

ครึ่งชั่วยามต่อมาเหลยเฉียนจวินก็พาอีกฝ่ายผ่านส่วนที่ลึกที่สุดของห้องโถงและผ่านเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่ง

ในห้องโถงใหญ่ที่มีสว่างจ้า

เสียงเครื่องดนตรีอันนุ่มนวลและเสียงอันไพเราะของอิสตรีดังกระทบโสต

กลิ่นหอมของสุราและอาหารชั้นเลิศโชยมาแตะจมูก

เมื่อจี้เทียนซิงติดตามเหลยเฉียนจวินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลัง

เขาก็ได้เห็นว่ามีสตรีงดงามกว่าสิบคนที่สวมอาภรณ์เบาบางกำลังร่ายรำอยู่

เก้าอี้ใหญ่กลางห้องโถงมีชายร่างกำยำผมขาวพร้อมกับดาบใหญ่สีทองนั่งอยู่

สาวงามสองนางกำลังคล้องแขนซ้ายขวาของเขาไว้

พวกนางป้อนอาหารเครื่องดื่มให้เขาอย่างต่อเนื่องด้วยรอยยิ้มหวานอันเย้ายวน