เหลือเชื่อยิ่งนัก
!
“วายุอัสนีบาต !”
จี้เทียนซิงจับจ้องไปที่เงาร่างของอันหยิงที่กำลังวูบวาบไปมาเป็นหมอกเงา
พลันสำแดงกระบวนท่าที่สองของเพลงกระบี่ดาราเหินออกมา
กระบี่ทองคำสองเล่มที่มีความยาวสองเมตรปรากฏขึ้นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา
“ฟิ้ว ! ฟิ้ว
!”
เพียงชั่วลัดนิ้วเดียว
คลื่นกระบี่สองสายเปล่งประกายโบยบินออกไปไกลสิบเมตร
พวกมันผสานกันและเปลี่ยนเป็นอสุนีบาตสีทองที่ผ่าซัดไปยังอันหยิง
“ครืน ......
!”
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องราวกับสายฟ้าระเบิด
มันส่งเสียงดังคำรามไปทั่วลานประลอง
เปรี้ยง
!!
ยามอัสนีบาตสีทองขนาดใหญ่ฟาดลงมา
เงาหมอกสีเทาก็กระจัดกระจาย ณ จุดนั้นทันที
ปรากฏร่างแท้จริงของอันหยิงที่ถูกผ่าปลิวลอยละลิ่วตกกระแทกพื้นดินห่างออกไปนับสิบเมตร สภาพของมันตอนนี้เป็นตายยังไม่มีผู้ใดทราบ
อัสนีบาตสีทองที่กระทบพื้นดินจุดนั้นก่อเกิดเป็นหลุมลึกกว่าครึ่งเมตรและกว้างสองเมตร
!
ก้อนหินดินทรายจำนวนมากผสมกับฝุ่นละอองสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง
พื้นดินของลานประลองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว
ผู้ชมรอบๆต่างก็เป็นสักขีพยานในฉากนี้
พวกเขาทุกคนเบิกตากว้างราวกับเห็นผีและเผยสีหน้าที่เหลือเชื่อออกมา
เกือบหนึ่งพันคนในห้องโถง
ไม่มีเสียงดังเล็ดรอดออกมาอย่างที่ควรจะเป็น มีแต่ความเงียบงันเท่านั้น
ทุกคนตกตะลึง
!
ผู้ชมทั่วทั้งอัฒจันทร์เต็มไปด้วยสีหน้าที่ตะลึงและอธิบายไม่ถูก
พวกเขาจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สาม
สามารถแสดงพลังของเพลงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนี้ออกมาได้จริงหรือ ?
เขาสามารถโจมตีมนุษย์หมาป่าอันหยิงที่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทั่วร่างได้อย่างไร
?
ทั้งๆที่พลังรบโดยรวมของอันหยิงนั้นหากวัดจริงๆก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่หกถึงเจ็ดด้วยซ้ำ
!
เขาทำได้อย่างไร
?
มันช่างน่าเหลือเชื่อนัก!
ในขณะที่ทุกคนมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเหรอหราหวาดกลัว
ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปใกล้อันหยิงและมองดูมันด้วยสีหน้าราบเรียบ
มนุษย์หมาป่าอันหยิงตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเลือดและมีแผลกระบี่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าอก
รอยแผลนั้นผ่าลึกจนเห็นกระดูกหน้าอกขยายไปถึงหน้าท้องเป็นทางยาว
รอยแผลสดๆเปิดออกเห็นกระดูกสีขาว
ตามมาด้วยโลหิตสีแดงเข้มที่ยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่ทำให้จี้เทียนซิงประหลาดใจก็คือ
ถึงแม้ว่ามันจะมีสภาพสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ แต่มันกลับไม่ตกตายในทันที
มันอยู่ในอาการแทบสิ้นสติได้ทุกเมื่อ
ร่างกายบิดกระตุกโดยไม่รู้ตัวและกรงเล็บทั้งสองข้างยังคงตะกุยพื้นไม่หยุด
อย่างไรก็ตามมันสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้วย่อมไม่สามารถยืนหยัดขึ้นมาได้อีก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้เทียนซิงเป็นผู้ชนะอย่างเป็นเอกฉันท์
ในที่สุดผู้ชมเกือบพันคนที่อยู่ในพื้นที่รอบๆก็ฟื้นสติกลับมาได้ในที่สุด
โอ..........
อา เฮ !!!
ฝูงชนอุทานและตะโกนเพื่อพยายามระบายความตกใจและเหลือเชื่อ
มีหลายคนที่เสียเงินเดิมพันก้อนโต
ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยโทสะพลางคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
บางคนอุทาน
บางคนโห่ร้องอย่างสะใจ บางคนพูดว่าไม่น่าเชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมีทั้งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งน่าสมเพช
...
ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องจนแก้วหูแทบระเบิด
ที่มุมตะวันออกของอัฒจันทร์, หลิงซื่อไห่ทิ้งก้นลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
สองมือกำพนักพิงแขนไว้แน่น หน้าผากปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นจนแทบระเบิด
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
สีหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
“นี่..... เป็นไปได้อย่างไร!?”
“ไอ้เด็กระยำนั่นเพิ่งเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์ได้เพียงสองสามเดือนเท่านั้น
ไฉนมันถึงมีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สามได้ ? หนำซ้ำยังสามารถเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงแห่งเผ่าอสูรที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นที่ห้าได้
?!”
"ทำไม ? ทำไม !! ไอ้เด็กจี้เทียนซิงสวะพิการไร้ค่าเมื่อวันนั้น
บัดนี้มันกลับเติบโตได้อย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ เพราะอะไร !!”
ใบหน้าของหลิงซื่อไห่บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ
ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยหน้าอกพองโตแทบระเบิด เขาสบถด่าทอออกมาไม่หยุดปาก
เมื่อไม่นานนี้
ทันทีที่ได้เห็นจี้เทียนซิงในลานประลองเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้นเพราะคิดว่าจะได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของอีกฝ่ายที่ตกตายด้วยน้ำมือของอันหยิง
อย่างไรก็ตาม
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกินความคาดหมายของเขาไปไกลโข
จี้เทียนซิงเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงได้จริงๆ !
สิ่งนี้จะทำให้เขาเชื่อได้อย่างไร
? เขาจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร ?
หลังจากใช้เวลานานใบหน้าของหลิงซื่อไห่ก็สงบลง
ดวงตาของเขากลับคืนสู่ความเยือกเย็นฉายแววเศร้าสลด
เขามองจี้เทียนซิงและลอบสบภในใจลับๆ
“เดรัจฉานน้อย
ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเติบโตมาได้ถึงระดับนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว
เจ้าจะต้องตายในไม่ช้า !”
“ยามนี้เจ้าไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของนิกายพันธมิตรสวรรค์แต่อยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง
ทันทีที่ออกนอกเมืองจะเป็นวันตายของเจ้า !”
.........
ในเวลาเดียวกันเหลยเฉียนจวินก็เดินเข้ามาในลานประลองพร้อมกับลูกน้องในชุดเกราะทั้งสี่อย่างรวดเร็ว
พวกเขาเดินเข้าไปแบกร่างของอันหยิงที่บาดเจ็บจนหมดสติออกไปนอกลานประลอง
จากนั้นเหลยเฉียนจวินก็ยกมือขึ้นเพื่อแสดงท่าทางให้ผู้ชมสงบสติอารมณ์ลงและกล่าวว่า
"พวกท่านทั้งหลาย การที่เจ้าหนุ่มผู้นี้สามารถเอาชนะมนุษย์หมาป่าอันหยิงได้นั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของข้าเช่นกัน
ข้ารู้สึกประหลาดใจไม่แพ้ทุกท่าน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ข้าได้รับหน้าที่ดูแลการพนันจ้าวป่า
!”
“อย่างไรก็ตามเมื่อได้วางเดิมพันไปแล้วก็ย่อมต้องยอมรับการสูญเสีย
หากมีผู้ใดที่ฉวยโอกาสตอนชุลมุนเชิดหนีแล้วล่ะก็..... หึๆๆ…”
เขาไม่ได้พูดประโยคต่อมา
แต่ผู้ชมเกือบพันคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี
ในเมืองวิญญาณเพลิงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะสร้างปัญหาและหาเรื่องตึกพนันเหยี่ยวเวหา
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมฝังตัวเอง !
ผู้ชมหลายคนหมดเนื้อหมดตัว
พวกเขาเหล่านั้นเผยสีหน้าที่โศกเศร้าแต่ก็ไม่สามารถระบายความขุ่นเคืองออกมาได้
ทำได้เพียงแค่เก็บงำไว้ในใจเท่านั้น
การแสดงในคืนนี้จบลงในที่สุด
ผู้ดูแลกว่าสิบคนเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับผู้พิทักษ์นับร้อย
เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รอบๆและให้แน่ใจว่าผู้ชมจะเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบโดยไม่เกิดอุบัติเหตุ
เหลยเฉียนจวินหันมามองจี้เทียนซิง
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความชื่นชมพลางพยักหน้าให้เขา “น้องชาย เจ้าน่าทึ่งมาก
เพลงกระบี่ที่เจ้าใช้ล้มอันหยิงทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก !”
“ไปกันเถอะ ตามข้อตกลงของเรา
ข้าจะพาเจ้าไปพบเทียนอิงฟางจู้ หากเจ้ามีความปรารถนาใดๆไว้รอพบกับท่านหัวหน้าแล้วบอกท่านโดยตรงก็แล้วกัน”
“เชิญ !”
เหลยเฉียนจวินผายมือนำจี้เทียนซิงลงจากลานประลองและผ่านห้องลับเข้าไปพบเทียนอิงฟางจู้
การประลองเมื่อครู่นั้นจี้เทียนซิงทำร้ายอันหยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
บาดแผลรุนแรงขนาดนั้นแม้จะใช้เวลารักษาหกเดือนหรือหนึ่งปีก็ยังไม่แน่ว่าจะหายสนิทซึ่งตามหลักแล้วเหลยเฉียนจวินควรจะโกรธหรือไม่พอใจในฐานะผู้ดูแลบ่อน
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเขากลับอารมณ์ดีอย่างไม่ซ่อนเร้นใดๆ
อีกทั้งทัศนคติของเขาที่แสดงต่อจี้เทียนซิงก็ยังเต็มไปด้วยความกลมกลืน
ชายหนุ่มคาดเดาเหตุผลในใจว่า
อาจจะเป็นเพราะชัยชนะของเขาทำให้นักพนันจำนวนมากต้องเสียเงินเสียทองแทบสิ้นเนื้อประดาตัวให้กับตึกพนันเหยี่ยวเวหา
กล่าวได้ว่าค่ำคืนนี้หมู่ตึกพนันเหยี่ยวเวหาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว
ครึ่งชั่วยามต่อมาเหลยเฉียนจวินก็พาอีกฝ่ายผ่านส่วนที่ลึกที่สุดของห้องโถงและผ่านเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่ง
ในห้องโถงใหญ่ที่มีสว่างจ้า
เสียงเครื่องดนตรีอันนุ่มนวลและเสียงอันไพเราะของอิสตรีดังกระทบโสต
กลิ่นหอมของสุราและอาหารชั้นเลิศโชยมาแตะจมูก
เมื่อจี้เทียนซิงติดตามเหลยเฉียนจวินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลัง
เขาก็ได้เห็นว่ามีสตรีงดงามกว่าสิบคนที่สวมอาภรณ์เบาบางกำลังร่ายรำอยู่
เก้าอี้ใหญ่กลางห้องโถงมีชายร่างกำยำผมขาวพร้อมกับดาบใหญ่สีทองนั่งอยู่
สาวงามสองนางกำลังคล้องแขนซ้ายขวาของเขาไว้
พวกนางป้อนอาหารเครื่องดื่มให้เขาอย่างต่อเนื่องด้วยรอยยิ้มหวานอันเย้ายวน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved