ตอนที่ 301

ถึงตาเจ้าแล้ว

!

ถังอี้ลั่วถูกปกคลุมไปด้วยโลหิตเปรอะเปื้อนและเดินโซเซลงจากเวที

เมื่อหน้านี้ไม่กี่ชั่วยาม

มันยังเป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่ได้รับการชื่นชมจากเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วน

แต่ในขณะนี้มันจบสิ้นแล้ว

แพ้พ่ายเสียหน้า ขืนอยู่ระแวกนี้ต่อไปก็รังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน

มันก้มศีรษะลงลอดตัวผ่านฝูงชนและออกจากจัตุรัสฝ่ายในไปอย่างเงียบๆ

ศิษย์สาวกหลายคนมองไปที่เงาหลังของมันด้วยรอยยิ้ม

บ้างก็พูดคุยกันด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่สายตาของคนส่วนใหญ่กลับรั้งรวมกันที่ตัวจี้เทียนซิงกลางเวที

สายตาของฝูงชนที่จ้องมองดูเขาล้วนเปล่งประกายร้อนแรงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสงสัย

การปะทะกันของผู้ฝึกยุทธ์ มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติยศความสนใจ

การยกย่องนับถือและความยำเกรงจากผู้คน

ใครจะไปสนใจเรื่องความรู้สึกของผู้แพ้กันเล่า

?

ในเวลานี้เองผู้อาวุโสเยหงก็ยกมือขึ้นและประกาศเสียงดัง

“การจัดอันรายชื่อขั้นสวรรค์ในรอบแรกได้สิ้นสุด จี้เทียนซิงคือผู้ชนะ !”

“นับจากนี้ไปจี้เทียนซิงอยู่ในอันดับที่สามของรายชื่อ

ส่วนถังอี้ลั่วตกลงไปอยู่อันดับสี่!”

เมื่อเสียงของเย่หงลดลง

เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็กระซิบกระซาบกัน

“นะ... น่ากลัวเกินไปแล้ว

! เจ้าหนุ่มจี้เทียนซิงผู้นี้เข้านิกายฝ่ายในมานานแค่ไหนกันเชียว

?

เพียงระยะเวลาสั้นๆมันกลับติดอันดับสามในรายชื่อขั้นสวรรค์ !”

“ชายผู้นี้น่าจะเป็นอัจฉริยะที่ไต่สามอันดับแรกได้รวดเร็วที่สุดในรายการนี้แล้วกระมัง”

“จี้เทียนซิงเข้านิกายมาได้ไม่ถึงครึ่งปี มันได้กลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

อีกทั้งยังติดสามอันดับแรกในเวลารวดเร็วยิ่ง นี่มันปีศาจชัดๆ !”

“เขาเพิ่งจะเอาชนะไป๋หวู่เชิน

ตามมาด้วยถังอี้ลั่ว การเอาชนะอัจฉริยะระดับสูงสองคนติดต่อกันได้เช่นนี้

เหลือเชื่อนัก !”

“พวกเจ้าคิดว่าจี้เทียนซิงจะท้าทายอันดับต่อไปหรือไม่

?”

“เพ้ย ตลกเหรอ ?  ศิษย์พี่เฉินซู่ที่อยู่อันดับสองในรายชื่อขั้นสวรรค์

มีพลังยุทธ์ในระดับปราณจิตขั้นที่เก้า เหนือกว่าถังอี้ลั่วมากมายนัก !”

“จี้เทียนซิงต่อสู้สองคนติดต่อกันในรวดเดียว

ต่อให้มันกล้าแกร่งเพียงใดก็ใช่ว่าจะล้มสามยอดฝีมือติดต่อกันได้  เช่นนั้นคงไม่ใช่มนุษย์แล้ว?”

ในระหว่างที่ทุกคนรอบๆกำลังซิบซุบถกเถียงกัน

จี้เทียนซิงก็หันหน้าไปมองเฉินซู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางกล่าวว่า “ต่อไป เจ้า !”

เพียงสามคำง่ายๆที่ฟังดูกดขี่ยิ่ง

เหมือนมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นได้คว้าหมับเจ้าที่ดวงใจของทุกคนในทันที

การถกเถียงทั้งหมดมาถึงจุดจบอย่างฉับพลันและทั่วทั้งจตุรัสใหญ่พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

ศิษย์สาวกหลายร้อยคนแสดงออกอย่างน่าตกใจ

พวกเขาเบิกตากว้างและอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ

“สวรรค์ !!!  หมอนี่มันจัดหนักถึงขั้นท้าทายอันดับสองเลย ?”

“จี้เทียนซิงประกาศท้าอัจฉริยะสามคนติดต่อกันหรือ

? นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว !”

“มันยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ? สู้มาสองรอบติดกันมิใช่ว่าสูญสิ้นพลังลมปราณไปอักโขแล้วหรือ

มันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือไร ?!”

“มันบ้าไปแล้ว ! ข้าเพิ่งแซวเล่นอยู่หมาดๆ

แต่ก็ไม่คิดว่าจี้เทียนซิงจะกล้าท้าทายอัจฉริยะถึงสามคนติดต่อกัน !”

“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ …มีละครดีๆให้ได้ชมอีกแล้ว

การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ปีนี้ เป็นรายการที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

!”

“จี้เทียนซิง เจ้าคนประหลาดผู้นี้มีหัวใจเสริมใยเหล็กหรือไง

มันสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า !”

ทั่วทั้งจัตุรัสกลายเป็นเดือดพล่าน

ศิษย์หลายร้อยคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

แม้กระทั่งผู้อาวุโสและผู้ดูแลทั้งหมดต่างก็เผยสีหน้าซับซ้อนพลางส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาต่อกัน

มีเพียงฉู่เทียนเซิงและหยุนเหยาที่อยู่บนบัลลังก์หลักทางทิศเหนือเท่านั้นที่ดวงตาเปล่งประกายอย่างลุ่มลึก

สายตาของคนทั้งสองจ้องมองไปกลางเวทีด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปาก

เย่หงผู้เป็นประธานและกรรมการชะงักไปวูบหนึ่ง

คนเหลือบมองจี้เทียนซิงอย่างลึกซึ้งแต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา

จากนั้นก็หันหลังเดินลงจากเวที

จากนั้นภายใต้สายตาของทุกคน

เฉินซู่ก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีแล้วยืนอยู่ห่างจากจี้เทียนซิงสิบเมตร

สีหน้าท่าทางการแสดงออกของมันดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

ไร้ซึ่งความมั่นอกมั่นใจและความยโสโอหังของอัจฉริยะระดับสูงอย่างที่ควรจะเป็น

มันไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้น

ถังอี้ลั่วกล่าวได้ถูกต้องแล้ว

หากมันเอาชนะจี้เทียนซิงไม่ได้ เหยื่อรายต่อไปก็คือเฉินซู่ !

คำพูดของถังอี้ลั่วได้รับการยืนยันในที่สุด

อารมณ์ของเฉินซู่นั้นกลายเป็นซับซ้อนมาก

แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

อีกทั้งยังรู้สึกสำนึกเสียใจอยู่ภายในใจ

มันรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าพลังฝีมือของจี้เทียนซิงนับว่าผิดปกติจากคนทั่วไป

มันไม่ควรแสดงท่าทีเย้ยหยันเสียดสีอีกฝ่ายแต่แรก

ทว่า

อดีตย่อมมิอาจกลับไปแก้ไข มันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงมัน

เฉินซู่สูดหายใจลึก

คิ้วขมวดแน่น ในใจเร่งครุ่นคิดหาวิธีโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมมิให้จี้เทียนซิงใช้ฝ่ามือเพลิงนั่น

รวมไปถึงการคิดนวณมิให้อีกฝ่ายได้ใช้กระบี่อันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองรูปแบบอีกด้วย

ในฐานะอัจฉริยะอันดับสองในรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เฉินซู่มีพลังปราณในขอบเขตปราณจิตขั้นที่เก้า

แน่นอนว่ามันย่อมดูออกว่ากระบี่ของจี้เทียนซิงนั้นผิดแผกพิศดารยิ่ง

ต่อให้เป็นกระบี่คุณสูงสุดในระดับลึกลับก็ไม่มีทางฟาดฟันออกมาเป็นมายามังกรที่ชัดเจนขนาดนั้นได้

อีกทั้งยังเป็นวิชากระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าวิชากระบี่ทั่วๆไป

กระบี่สีดำของจี้เทียนซิงเล่มนั้น

แน่ชัดแล้วว่ามันเป็นกระบี่ชั้นเลิศที่เหนือล้ำกว่าระดับล้ำลึกไปไกลโข !

ในเวลานี้เอง

จี้เทียนซิงเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ไร้ซึ่งวาจาหรือความคิดลงมือ

คนพลันกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “ศิษย์พี่เฉิน

ชักกระบี่เถิด !”

สายตาของเฉินซู่กลับมารวมศูนย์

ใบหน้าของมันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสอพลอและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ช้าก่อนศิษย์น้องจี้

ข้ากับเจ้ามิได้มีความแค้นบาดหมางหรือเป็นปฏิปักษ์อันใดต่อกัน

หนำซ้ำข้ายังรู้สึกชื่นชมเจ้าไม่น้อย”

“การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์นี้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนชี้แนะระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องเท่านั้น

พวกเรามิเห็นจำเป็นจะต้องหนักมือ ดังนั้นเพื่อมิให้เป็นการทำลายมิตรภาพอันดีระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก

เจ้ากับข้าสู้กันโดยไม่ใช้พลังภายนอก ไม่ใช้กระบี่หรืออาวุธใดๆ

เราจะประลองกันด้วยมือเปล่า เจ้าคิดว่าไง ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซู่

จี้เทียนซิงก็นิ่งเงียบ ศิษย์สาวกหลายร้อยคนในจัตุรัสแสดงสีหน้าแปลกๆพลางกระซิบกระซาบกัน

“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? ดูเหมือนศิษย์พี่เฉินจะกินไม่เข้าคายไม่ออกซะงั้น !”

"ใช่ ! การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ก่อนหน้านี้

เขาแทบอดใจไม่ไหวที่จะทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อได้อันดับดีๆ  เพ้ย !

มาวันนี้กลับตีหน้าซื่อพูดถึงเรื่องมิตรภาพของศิษย์ร่วมสำนัก !”

“จะว่าไปจี้เทียนซิงเอาชนะศิษย์พี่ไป๋และศิษย์พี่ถังได้อย่างง่ายดายด้วยเพลงฝ่ามือและเพลงกระบี่  แต่หากว่ามันไม่ใช้อาวุธพวกนั้น

ข้าเกรงว่าคงมิใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่เฉินแน่นอน”

ศิษย์หลายร้อยคนจับกลุ่มพูดคุยกันให้แซ่ด

มีหลายคนรู้สึกมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น

คนเหล่านี้รอดูเฉินซู่ร่วงหล่นตามหลังไป๋หวู่เชินและถังอี้ลั่ว

อย่างไรก็ตาม

ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่รู้สึกว่าจี้เทียนซิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซู่แน่นอนถ้าไม่มีกระบี่เล่มนั้นเป็นตัวซ่วย

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน

จี้เทียนซิงพลันเอ่ยปากขึ้น

เขาเลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองเฉินซู่ด้วยแววตาหยอกเย้า

“ไม่ให้ข้าใช้เพลงฝ่ามือและไม่ให้ข้าใช้กระบี่

นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่เฉินต้องการ ?”

เฉินซู่เป็นใบ้

สีหน้าของมันดูอึดอัดคับข้อง สองแก้วร้อนผ่าวด้วยความอับอาย

มันไม่กล้าจ้องหน้าจี้เทียนซิงตรงๆ

เจ้าตัวรู้แน่ชัดว่าหลังจากกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกไป

ทุกคนจะต้องลอบหัวเราะมันในใจ

แต่ทว่ามันไม่มีทางเลือก

มันไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะสามารถรับมือกับหัตถ์เปลวอัคคีหรือกระบี่มังกรดำของอีกฝ่ายได้

ในขณะที่เฉินซู่เงียบไปและเต็มไปด้วยสีหน้าอับอาย

จี้เทียนซิงยกยิ้มมุมปากพลันเก็บกระบี่กลับไป คนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ย่อมได้

เมื่อศิษย์พี่ขอมาผู้น้องก็ยินดีสนอง !”