ภูเขาอู๋หยา
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง
อาวุโสอู๋ก็ตะลึงทันที เขาขมวดคิ้วพลางหันหน้าไปจ้องอีกฝ่ายและถามว่า “จี้เทียนซิง เจ้าพูดจริงเช่นนั้นหรือ ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ภายในห้าวันข้าจะนำสัตว์อสูรวิญญาณระดับสามมาชดใช้ให้ท่านให้จงได้”
อาวุโสอู๋เงียบไปและครุ่นคิดในใจลับๆ หากเขาต้องการที่จะลงโทษจี้เทียนซิงตามกฏของนิกาย
ไม่เพียงแค่ทำให้เรื่องราวไม่ดีขึ้น แต่มันอาจจะทำให้ประมุขนิกายไม่พอใจที่ลงโทษศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่าน
ดังนั้นตอนนี้จึงมีวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถลดทอนบรรยากาศกระอักกระอ่วนได้มากที่สุด
อาวุโสอู่พยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“จี้เทียนซิง เจ้าเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข
แน่นอนว่าข้าย่อมไว้ใจเจ้าได้
เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าห้าวัน
จงจับสัตว์อสูรวิญญาณระดับสามกลับมาชดใช้ให้ข้าให้ได้ ในช่วงนี้สัตว์เลี้ยงของเจ้าเฉียนเยวี่ยก็จะต้องถูกกักตัวไว้ในตำหนักหลิงโซ่วของข้าก่อน”
“หลังจากผ่านไปห้าวัน
หากเจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จก็จงอย่าตำหนิที่ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าตามกฎของนิกาย”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“ขอบคุณมาก ท่านอาวุโสอู๋ เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ขอรับ”
อาวุโสอู๋ผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หากต้องการจับสัตว์อสูร
เจ้าต้องไปยังภูเขาอู๋หยา(ไร้สิ้นสุด) ที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยไมล์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนิกาย
มันมีเส้นชีพจรวิญญาณที่ภูเขานั้น”
“ภูเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูร
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนิกายเราจะจับพวกมันมาจากที่นั่น”
จี้เทียนซิงจดจำคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเงียบงันและกำหมัดคารวะ
“ขอบคุณท่านอาวุโสอู๋ที่ชี้แนะ”
ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงปลอบประโลมเฉียนเยวี่ยอยู่หลายคำและบอกให้มันอดทนรอคอยอยู่ที่นี่ จากนั้นเขาก็เดินออกจากตำหนักหลิงโซ่ว
.........
ไม่นานหลังจากที่จี้เทียนซิงเดินจากไป ณ มุมหนึ่งนอกตำหนักหลิงโซ่วได้มีชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีขาวโผล่ออกมา
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือไป๋หวู่เชินนั่นเอง
เขามองไปที่ห้องโถงหลักของตำหนักหลิงโซ่วและดูทิศทางที่จี้เทียนซิงค่อยๆเดินลับตาไป มุมปากเชิดขึ้นอย่างอวดดีและกระซิบว่า
“จี้เทียนซิงเอ๋ยจี้เทียนซิง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าที่มีน้อยนิดเพียงนี้
แต่กลับกล้าไปภูเขาอู๋หยาเพื่อจับสัตว์อสูรวิญญาณงั้นหรือ ? เฮอะ ! ไปแล้วก็อย่าได้กลับมาเป็นดีที่สุด”
“ข้านี่ล่ะเป็นผู้ใช้เข็มบินโจมตีใส่เสือดาวมายาจนมันคลั่งไปโจมตีเจ้าจิ้งจอกผีตัวนั้น.....
น่าเสียดายที่มันแข็งแกร่งกว่าที่คิดถึงไม่ถูกเสือดาวมายาฆ่าตายซะก่อน”
หลังจากกระซิบกับตัวเอง
ไป๋หวู่เชินก็หันหลังออกจากสวนหลิงโซ่วอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันจี้เทียนซิงก็กลับมาถึงตำหนักเทียนซิง
เขาเรียกสาวใช้และศิษย์รับใช้ให้มาพบและกล่าวเตือนว่า “ข้าต้องออกไปทำธุระข้างนอกสัก 3-5 วัน
ระหว่างนี้ให้พวกเจ้าคอยดูแลตำหนักให้ดี หากมีผู้ใดมาหาข้าก็ให้บอกไปว่าอีก 5
วันข้าจะกลับมา”
หลังจากอธิบายคำสั่งเสร็จสิ้น
จี้เทียนซิงก็ออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
......
บนยอดเขาเมฆาสีชาดในตำหนักหลังหนึ่ง
ฉู่เทียนเซิงกำลังจัดการเอกสารภายในนิกาย
ฟุ่บ
!
ในเวลานี้เองผู้พิทักษ์รุ่นเยาว์ที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็เดินเข้ามารอยงานด้วยความเคารพว่า
“เรียนท่านประมุข
เกิดเรื่องขึ้นกับจี้เทียนซิงขอรับ”
ฉู่เทียนเซิงวางเอกสารลงและขมวดคิ้วพลางถามอย่างเคร่งเครียดว่า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
ผู้พิทักษ์เดินเข้ามาใกล้ฉู่เทียนเซิงและกระซิบว่า
“ไม่นานนี้ผู้อาวุโสอู๋แห่งตำหนักหลิงโซ่วเรียกตัวจี้เทียนซิงเข้าพบ......”
หลังจากฟังรายงานการของผู้พิทักษ์
ฉู่เทียนเซิงก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ในเมื่อสัตว์อสูรที่เขาเลี้ยงไว้ถูกฆ่า
ตามกฎแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องรับผิดชอบแทน
อาวุโสอู๋ทำตามกฎแต่ก็ไม่อยากลงโทษสถานหนักจึงให้โอกาสจี้เทียนซิงหาสัตว์อสูรมาคืนให้กับสวนหลิงโซ่ว
อืม.....”
“ปล่อยเขาไป
เรื่องนี้ให้เขาจัดการหาทางเอาตัวรอดเอง
แม้นว่าบนภูเขาอู๋หยาจะเต็มไปด้วยอันตรายและมีความเสี่ยงสูงมาก
แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงศิษย์สายตรงของข้าฉู่เทียนเซิง หากปัญหาเล็กจ้อยแค่นี้ก็ยังไม่สามารถแก้ได้
อีกหน่อยจะดูแลตัวเองได้อย่างไร
เจ้าไม่ต้องติดตามปกป้องเขาแล้วในช่วงนี้”
ผู้พิทักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกระซิบถามว่า
“แต่ว่าท่านประมุขขอรับ จี้เทียนซิงไปยังภูเขาอู๋หยา
มิใช่ว่าจะเป็นการรบกวนคุณชายน้อยหรือขอรับ.......?”
ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและส่ายหัวพลางกล่าวว่า
“บนภูเขามีมหาข่ายปราณคอยปกปักษ์อยู่
สมควรไม่เป็นเรื่องร้ายแรง”
"ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ"
ผู้พิทักษ์หนุ่มพยักหน้าและเดินออกจากห้องตำรา
...............
ฟุ่บ
!
ฟุ่บ
!
ฟุ่บ
!
จี้เทียนซิงพุ่งทะยานออกไปด้วยย่างก้าวไร้เงาโดยโคจรพลังปราณเพื่อหนุนเนื่องเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง
ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก
มันดุจดั่งเส้นสายวายุที่พัดผ่านขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า
ระหว่างเดินทางเขาก็พยายามคิดวิเคราะห์ในใจอย่างลับๆ
“ถึงแม้เฉียนเยวี่ยจะเจ้าเล่ห์ซุกซน
แต่มันก็ไม่เคยสร้างปัญหาอย่างจงใจ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะฆ่าเสือดาวมายาโดยเจตนา”
“ก่อนหน้านี้มันพูดว่าระหว่างเดินเล่นในสวนหลิงโซ่วก็ถูกเสือดาวมายาที่กำลังบ้าคลั่งโจมตีกะทันหัน
เรื่องนี้หากคิดดูดีๆก็แปลก... สัตว์อสูรวิญญาณในสวนหลิงโซ่วต่างก็ถูกเลี้ยงมานานหลายปีโดยคนของตำหนักหลิงโซ่ว
พวกมันเชื่องและเชื่อฟัง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล”
“เรื่องนี้ย่อมมีเงื่อนงำแน่นอน...
หลังจากที่ข้าหาสัตว์อสูรระดับสามมาชดใช้ให้สวนหลิงโซ่วแล้ว
ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง !”
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
จี้เทียนซิงโมงก็ข้ามภูเขาและแม่น้ำลำธารมาร่วมสองร้อยไมล์ และในที่สุดเขาก็มาถึงที่ภูเขาอู๋หยา
ในเวลานี้ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำและพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
เขายืนอยู่ที่เชิงเขาอู๋หยาและทอดสายตามองขึ้นไปบนภูเขาไร้สิ้นสุดที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์
ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีสัน
เขาอู๋หยาเป็นภูเขาที่มีเส้นชีพจรวิญญาณที่อยู่ใกล้นิกายพันธมิตรสวรรค์มากที่สุด
เทือกเขาแห่งนี้มีความยาวหลายสิบไมล์
มันเต็มไปภูเขาสูงชันและขุนเขาอันเขียวชอุ่มมากมาย
อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไอพลังฟ้าดินที่แข็งกล้า
ที่เชิงเขามีแม่น้ำที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง
แม่น้ำใสแจ๋วและมีฝูงปลาแหวกว่ายที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่ไกลจากนั้นมีกวางสีเหลืองสามตัวและนกสีขาวอยู่หลายตัวที่มาดื่มน้ำริมแม่น้ำ
เมื่อมีคนมา
กวางสีเหลืองทั้งสามตัวก็รีบออกจากแม่น้ำทันที
มีนกสีขาวบางตัวที่ไม่กลัวคน หลังจากดื่มน้ำเสร็จพวกมันก็ไล่จับแมลงริมแม่น้ำอย่างสบายใจ
“ภูเขานี้เต็มไปด้วยพืชพรรณอันเขียวชอุ่มและรัศมีพลังฟ้าดินที่แข็งกล้า
สมแล้วที่มีเส้นชีพจรวิญญาณ ที่นี่ไม่เพียงแค่มีสัตว์วิญญาณเท่านั้นแต่มันยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรและสัตว์ร้ายจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในภูเขา”
“หวังว่าข้าจะโชคดีพอที่จะจับสัตว์วิญญาณระดับสามได้ภายในห้าวัน...”
จี้เทียนซิงจ้องมองไปยังภูเขาอู๋หยาครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินทางขึ้นเขา
ทันทีที่เข้าสู่ป่าทึบพระอาทิตย์ก็ตกดินและแสงที่เคยสาดส่องก็ถูกต้นไม้หนาทึบบดบัง
ในป่ามีเพียงแสงสลัวๆและพื้นดินชื้นแฉะ
จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าและพยายามที่จะไม่ส่งเสียง
จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
ระหว่างทางเขาก็แผ่สัมผัสวิญญาณสอดส่องร่องรอยของสัตว์อสูรในภูเขาอย่างกระตือรือร้น
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปในที่สุด ป่านั้นกลายเป็นมืดสนิทและหดหู่ เสียงสัตว์ป่าดังระงมไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ยามพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นเวลาที่สัตว์ทุกชนิดออกมาทำกิจกรรมหรือหาอาหารและเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเช่นกัน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved