ตอนที่ 237

ภูเขาอู๋หยา

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

อาวุโสอู๋ก็ตะลึงทันที เขาขมวดคิ้วพลางหันหน้าไปจ้องอีกฝ่ายและถามว่า “จี้เทียนซิง เจ้าพูดจริงเช่นนั้นหรือ ?”

ชายหนุ่มพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ภายในห้าวันข้าจะนำสัตว์อสูรวิญญาณระดับสามมาชดใช้ให้ท่านให้จงได้”

อาวุโสอู๋เงียบไปและครุ่นคิดในใจลับๆ หากเขาต้องการที่จะลงโทษจี้เทียนซิงตามกฏของนิกาย

ไม่เพียงแค่ทำให้เรื่องราวไม่ดีขึ้น แต่มันอาจจะทำให้ประมุขนิกายไม่พอใจที่ลงโทษศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่าน

ดังนั้นตอนนี้จึงมีวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถลดทอนบรรยากาศกระอักกระอ่วนได้มากที่สุด

อาวุโสอู่พยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“จี้เทียนซิง เจ้าเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

แน่นอนว่าข้าย่อมไว้ใจเจ้าได้

เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าห้าวัน

จงจับสัตว์อสูรวิญญาณระดับสามกลับมาชดใช้ให้ข้าให้ได้  ในช่วงนี้สัตว์เลี้ยงของเจ้าเฉียนเยวี่ยก็จะต้องถูกกักตัวไว้ในตำหนักหลิงโซ่วของข้าก่อน”

“หลังจากผ่านไปห้าวัน

หากเจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จก็จงอย่าตำหนิที่ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าตามกฎของนิกาย”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“ขอบคุณมาก ท่านอาวุโสอู๋ เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ขอรับ”

อาวุโสอู๋ผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“หากต้องการจับสัตว์อสูร

เจ้าต้องไปยังภูเขาอู๋หยา(ไร้สิ้นสุด) ที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยไมล์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนิกาย

มันมีเส้นชีพจรวิญญาณที่ภูเขานั้น”

“ภูเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูร

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนิกายเราจะจับพวกมันมาจากที่นั่น”

จี้เทียนซิงจดจำคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเงียบงันและกำหมัดคารวะ

“ขอบคุณท่านอาวุโสอู๋ที่ชี้แนะ”

ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงปลอบประโลมเฉียนเยวี่ยอยู่หลายคำและบอกให้มันอดทนรอคอยอยู่ที่นี่  จากนั้นเขาก็เดินออกจากตำหนักหลิงโซ่ว

.........

ไม่นานหลังจากที่จี้เทียนซิงเดินจากไป  ณ มุมหนึ่งนอกตำหนักหลิงโซ่วได้มีชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีขาวโผล่ออกมา

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือไป๋หวู่เชินนั่นเอง

เขามองไปที่ห้องโถงหลักของตำหนักหลิงโซ่วและดูทิศทางที่จี้เทียนซิงค่อยๆเดินลับตาไป  มุมปากเชิดขึ้นอย่างอวดดีและกระซิบว่า

“จี้เทียนซิงเอ๋ยจี้เทียนซิง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าที่มีน้อยนิดเพียงนี้

แต่กลับกล้าไปภูเขาอู๋หยาเพื่อจับสัตว์อสูรวิญญาณงั้นหรือ ? เฮอะ ! ไปแล้วก็อย่าได้กลับมาเป็นดีที่สุด”

“ข้านี่ล่ะเป็นผู้ใช้เข็มบินโจมตีใส่เสือดาวมายาจนมันคลั่งไปโจมตีเจ้าจิ้งจอกผีตัวนั้น.....

น่าเสียดายที่มันแข็งแกร่งกว่าที่คิดถึงไม่ถูกเสือดาวมายาฆ่าตายซะก่อน”

หลังจากกระซิบกับตัวเอง

ไป๋หวู่เชินก็หันหลังออกจากสวนหลิงโซ่วอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันจี้เทียนซิงก็กลับมาถึงตำหนักเทียนซิง

เขาเรียกสาวใช้และศิษย์รับใช้ให้มาพบและกล่าวเตือนว่า “ข้าต้องออกไปทำธุระข้างนอกสัก 3-5 วัน

ระหว่างนี้ให้พวกเจ้าคอยดูแลตำหนักให้ดี หากมีผู้ใดมาหาข้าก็ให้บอกไปว่าอีก 5

วันข้าจะกลับมา”

หลังจากอธิบายคำสั่งเสร็จสิ้น

จี้เทียนซิงก็ออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

......

บนยอดเขาเมฆาสีชาดในตำหนักหลังหนึ่ง

ฉู่เทียนเซิงกำลังจัดการเอกสารภายในนิกาย

ฟุ่บ

!

ในเวลานี้เองผู้พิทักษ์รุ่นเยาว์ที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็เดินเข้ามารอยงานด้วยความเคารพว่า

“เรียนท่านประมุข

เกิดเรื่องขึ้นกับจี้เทียนซิงขอรับ”

ฉู่เทียนเซิงวางเอกสารลงและขมวดคิ้วพลางถามอย่างเคร่งเครียดว่า

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

ผู้พิทักษ์เดินเข้ามาใกล้ฉู่เทียนเซิงและกระซิบว่า

“ไม่นานนี้ผู้อาวุโสอู๋แห่งตำหนักหลิงโซ่วเรียกตัวจี้เทียนซิงเข้าพบ......”

หลังจากฟังรายงานการของผู้พิทักษ์

ฉู่เทียนเซิงก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ในเมื่อสัตว์อสูรที่เขาเลี้ยงไว้ถูกฆ่า

ตามกฎแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องรับผิดชอบแทน

อาวุโสอู๋ทำตามกฎแต่ก็ไม่อยากลงโทษสถานหนักจึงให้โอกาสจี้เทียนซิงหาสัตว์อสูรมาคืนให้กับสวนหลิงโซ่ว

อืม.....”

“ปล่อยเขาไป

เรื่องนี้ให้เขาจัดการหาทางเอาตัวรอดเอง

แม้นว่าบนภูเขาอู๋หยาจะเต็มไปด้วยอันตรายและมีความเสี่ยงสูงมาก

แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงศิษย์สายตรงของข้าฉู่เทียนเซิง หากปัญหาเล็กจ้อยแค่นี้ก็ยังไม่สามารถแก้ได้

อีกหน่อยจะดูแลตัวเองได้อย่างไร

เจ้าไม่ต้องติดตามปกป้องเขาแล้วในช่วงนี้”

ผู้พิทักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกระซิบถามว่า

“แต่ว่าท่านประมุขขอรับ จี้เทียนซิงไปยังภูเขาอู๋หยา

มิใช่ว่าจะเป็นการรบกวนคุณชายน้อยหรือขอรับ.......?”

ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและส่ายหัวพลางกล่าวว่า

“บนภูเขามีมหาข่ายปราณคอยปกปักษ์อยู่

สมควรไม่เป็นเรื่องร้ายแรง”

"ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ"

ผู้พิทักษ์หนุ่มพยักหน้าและเดินออกจากห้องตำรา

...............

ฟุ่บ

!

ฟุ่บ

!

ฟุ่บ

!

จี้เทียนซิงพุ่งทะยานออกไปด้วยย่างก้าวไร้เงาโดยโคจรพลังปราณเพื่อหนุนเนื่องเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง

ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก

มันดุจดั่งเส้นสายวายุที่พัดผ่านขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า

ระหว่างเดินทางเขาก็พยายามคิดวิเคราะห์ในใจอย่างลับๆ

“ถึงแม้เฉียนเยวี่ยจะเจ้าเล่ห์ซุกซน

แต่มันก็ไม่เคยสร้างปัญหาอย่างจงใจ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะฆ่าเสือดาวมายาโดยเจตนา”

“ก่อนหน้านี้มันพูดว่าระหว่างเดินเล่นในสวนหลิงโซ่วก็ถูกเสือดาวมายาที่กำลังบ้าคลั่งโจมตีกะทันหัน

เรื่องนี้หากคิดดูดีๆก็แปลก... สัตว์อสูรวิญญาณในสวนหลิงโซ่วต่างก็ถูกเลี้ยงมานานหลายปีโดยคนของตำหนักหลิงโซ่ว

พวกมันเชื่องและเชื่อฟัง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล”

“เรื่องนี้ย่อมมีเงื่อนงำแน่นอน...

หลังจากที่ข้าหาสัตว์อสูรระดับสามมาชดใช้ให้สวนหลิงโซ่วแล้ว

ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง !”

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

จี้เทียนซิงโมงก็ข้ามภูเขาและแม่น้ำลำธารมาร่วมสองร้อยไมล์ และในที่สุดเขาก็มาถึงที่ภูเขาอู๋หยา

ในเวลานี้ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำและพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

เขายืนอยู่ที่เชิงเขาอู๋หยาและทอดสายตามองขึ้นไปบนภูเขาไร้สิ้นสุดที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์

ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีสัน

เขาอู๋หยาเป็นภูเขาที่มีเส้นชีพจรวิญญาณที่อยู่ใกล้นิกายพันธมิตรสวรรค์มากที่สุด

เทือกเขาแห่งนี้มีความยาวหลายสิบไมล์

มันเต็มไปภูเขาสูงชันและขุนเขาอันเขียวชอุ่มมากมาย

อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไอพลังฟ้าดินที่แข็งกล้า

ที่เชิงเขามีแม่น้ำที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง

แม่น้ำใสแจ๋วและมีฝูงปลาแหวกว่ายที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ไม่ไกลจากนั้นมีกวางสีเหลืองสามตัวและนกสีขาวอยู่หลายตัวที่มาดื่มน้ำริมแม่น้ำ

เมื่อมีคนมา

กวางสีเหลืองทั้งสามตัวก็รีบออกจากแม่น้ำทันที

มีนกสีขาวบางตัวที่ไม่กลัวคน หลังจากดื่มน้ำเสร็จพวกมันก็ไล่จับแมลงริมแม่น้ำอย่างสบายใจ

“ภูเขานี้เต็มไปด้วยพืชพรรณอันเขียวชอุ่มและรัศมีพลังฟ้าดินที่แข็งกล้า

สมแล้วที่มีเส้นชีพจรวิญญาณ ที่นี่ไม่เพียงแค่มีสัตว์วิญญาณเท่านั้นแต่มันยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรและสัตว์ร้ายจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในภูเขา”

“หวังว่าข้าจะโชคดีพอที่จะจับสัตว์วิญญาณระดับสามได้ภายในห้าวัน...”

จี้เทียนซิงจ้องมองไปยังภูเขาอู๋หยาครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินทางขึ้นเขา

ทันทีที่เข้าสู่ป่าทึบพระอาทิตย์ก็ตกดินและแสงที่เคยสาดส่องก็ถูกต้นไม้หนาทึบบดบัง

ในป่ามีเพียงแสงสลัวๆและพื้นดินชื้นแฉะ

จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าและพยายามที่จะไม่ส่งเสียง

จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา

ระหว่างทางเขาก็แผ่สัมผัสวิญญาณสอดส่องร่องรอยของสัตว์อสูรในภูเขาอย่างกระตือรือร้น

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปในที่สุด ป่านั้นกลายเป็นมืดสนิทและหดหู่ เสียงสัตว์ป่าดังระงมไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ยามพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นเวลาที่สัตว์ทุกชนิดออกมาทำกิจกรรมหรือหาอาหารและเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเช่นกัน