ตอนที่ 272

การโจมตีในยามวิกาล

เมืองวิญญาณเพลิงภายใต้รัตติกาลนั้นเงียบสงบ

จี้เทียนซิงออกจากจัตุรัสเมืองแล้วเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมือง

หลังจากปิดประตูหน้าต่างลงเขาก็นั่งลงบนโต๊ะและหยิบแผนที่ออกมาจากแหวนมิติเพื่อดูและศึกษา

ในขณะที่เขาค่อยๆคลี่ม้วนกระดาษม้วนออกและดูแผนที่ของเทือกเขาหมอกเร้นลับ  ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว ดวงตาทอประกายสีสัน

เขาคาดไม่ถึงว่าโครงสร้างและภูมิประเทศของเทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นจะซับซ้อนเพียงนี้

แผนที่เรียงรายไปด้วยเส้นกากบาตราวกับแมงมุม

มันเป็นเส้นร่างภูมิประเทศและภูมิทัศน์ของเทือกเขา

เพียงแค่ผ่านๆก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันซับซ้อนยุ่งยาก

หากเข้าสู่เทือกเขาหมอกเร้นลับจริงๆต่อให้ถือแผนที่นี้ไว้ก็ใช่ว่าจะรู้เหนือรู้ใต้

จี้เทียนซิงรู้สึกประหลาดเล็กน้อยและขบคิดในใจอย่างเงียบงันว่า

“ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่บุกเข้าไปในเทือกเขาหมอกเร้นลับแล้วสุดท้ายก็ตกตาย

!”

“เทือกเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยภูมิประเทศที่ซับซ้อนอย่างมาก

มันราวกับเขาวงกตขนาดใหญ่และยังถูกปกคลุมไว้ด้วยชั้นหมอก ต่อให้มีแผนที่รายละเอียดก็ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ...

แต่โชคยังดีที่แผนที่ในมือของเขาไม่เพียงแค่แสดงรายละเอียดอันตรายในเทือกเขาเท่านั้น

แต่มันยังมีเส้นลากสีแดงอยู่หลายเส้น

เส้นสีแดงที่โดดเด่นก็คือเส้นทางเข้าออกเทือกเขาหมอกเร้นลับที่

‘น่าจะ’ ปลอดภัยที่สุด

จี้เทียนซิงดูแผนที่อย่างระมัดระวังและทำเครื่องหมายที่จุดอันตรายของแผนที่ตลอดจนเส้นทางที่จะเดินทางเข้าและออกทั้งหมด

หลังจากผ่านไปสองชั่วยามเขาก็จำแผนที่ทั้งหมดได้แล้วจึงเก็บมันไว้ในแหวนมิติ

ขณะนี้เป็นกลางดึกสงัด

ทั่วทั้งเมืองวิญญาณเพลิงต่างก็หลับสนิท

“แผนที่ของเทือกเขาหมอกเร้นลับข้าจดจำได้หมดแล้ว

วันพรุ่งนี้ข้าค่อยไปหาซื้อโอสถและสิ่งของจำเป็นในการเดินทาง

จากนั้นก็พร้อมเดินทางได้ทุกเมื่อ”

จี้เทียนซิงกระซิบพึมพำ

จากนั้นก็นั่งคุกเข่าแล้วเริ่มบ่มเพาะ

การต่อสู้ในถ้ำปีศาจเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เขาสามารถบรรเทาจุดฝังเข็มได้ทันทีในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว

กระบวนการนี้ทำให้เขาสามารถหาวิธีที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วและทำให้เข้าใจแก่นแท้ของวิถีใจกระบี่มากยิ่งขึ้น

ซึ่งวิธีการนี้ย่อมต้องผ่านการต่อสู้จริง

!

เมื่อผ่านการต่อสู้มากขึ้น

ผ่านร้อนผ่านหนาวและบททดสอบจากความเป็นความตายในช่วงวิกฤต

มันจะทำให้เขายิ่งเข้าถึงแก่นของวิถีใจกระบี่จนกลายเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์กระบี่ !

และด้วยความเข้าใจนี้

เขาจึงกล้าเดิมพันด้วยชีวิตอย่างไร้ความลังเลในการท้าทายมนุษย์หมาป่าอันหยิง

การกระทำของเขาในคืนนี้เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

เขาสามารถฝึกฝนตัวเองในการต่อสู้เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งและยังได้รับรางวัลจากตึกพนันเหยี่ยวเวหาอีกด้วย

ผลที่ออกมาเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเขามีทั้งความกล้าหาญและเฉลียวฉลาด

ช่วงเวลาที่เขาต่อสู้กับอันหยิง

ทักษะเอาชีวิตรอดของเขาได้ปะทุขึ้นอีกครั้งซึ่งทำให้จุดฝังเข็มเกือบจะถูกบรรเทาอีกจุดหนึ่ง

แต่โชคไม่ดีที่ความแข็งแกร่งของมนุษย์หมาป่าอันหยิงนั้นเทียบเท่ากับเขาและการต่อสู้จึงจบลงอย่างรวดเร็ว

หากใช้เวลานานกว่านี้เล็กน้อย

สถานการณ์ของเขาก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้นและแน่นอนว่าเขาย่อมสามารถบรรเทาจุดฝังเข็มเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งถึงสองจุดได้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้น

นอกจากการพัฒนาความแข็งแกร่งผ่านการต่อสู้แล้ว เขายังต้องบ่มเพาะอย่างหนักควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

เพราะโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นเราผู้ฝึกยุทธ์เปรียบได้ดั่งเรือน้อยที่กำลังต้านกระแสน้ำ

หากไม่หมั่นพายไปข้างหน้าก็มีแต่จะถดถอยหย่อนยาน

..........

เวลาผ่านไปอีกสี่ชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

ท้องฟ้านอกหน้าต่างสว่างไสวและวันใหม่กำลังมา

จี้เทียนซิงหยุดการบ่มเพาะและเดินออกจากโรงเตี๊ยมหลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย

เขาไปที่จตุรัสตงเชิงอีกครั้งและเดินไปรอบๆเพื่อมองหาร้านค้าและซื้อสิ่งของที่จำเป็น

เขาใช้หินวิญญาณทั้งหมดสิบก้อนซื้อโอสถรักษา

เม็ดยาฟื้นฟู ม้วนอาคมพิเศษและของเบ็ดเตล็ดอีกอีกเล็กน้อย

เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพเขาก็ผละจากจตุรัสตงเชินและเดินไปที่ประตูเมืองวิญญาณเพลิง

ประตูยังคงปิดอยู่และมีทหารยามหลายคนคอยปกป้องอย่างแข็งขัน

หลังจากจี้เทียนซิงแสดงป้ายยืนยันตัวตนแล้วทหารยามก็เปิดประตูให้เขาออกจากเมืองแต่โดยดี

เขาเดินไปตามถนนทางเดินสีดำใต้ประตูเมืองจากนั้นก็ไปยังแผ่นหินสีดำที่อยู่ห่างออกไป

100 เมตร

เมื่อเขาใช้ป้ายยืนยันทาบบนแผ่นหินสีดำ

ข่ายอาคมลวงตาก็ปิดตัวลง ฉากเบื้องหน้าเปลี่ยนไปและทำให้เขากลับมาอยู่กว้างทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่อีกครั้ง

เขาปล่อยเฉียนเยวี่ยออกจากถุงมิติ

มันพุ่งออกมาเป็นประกายแสงสีฟ้าและขยายร่างขึ้นกว่าสามเมตรในทันที

“เฉียนเยวี่ย เจ้าพาข้าบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างออกไปราวๆสองพันไมล์ที

ที่นั่นคือเทือกเขาหมอกเร้นลับ”

กล่าวจบจี้เทียนซิงก็กระโดดขึ้นบนหลังของมันและนั่งลง

“จัดไป”

เฉียนเยวี่ยกล่าวตอบพร้อมกับผงกศีรษะ

มันกระพือปีกทันทีและเหินขึ้นฟ้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ความเร็วของมันจัดว่าไม่มากนักและยังห่างไกลจากความเร็วในการบินของกระเรียนวิญญาณของหยุนเหยา

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงมิได้รีบร้อนเดินทาง

อีกทั้งพลังและความแข็งแกร่งของเฉียนเยวี่ยนั้นกำลังค่อยๆฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ

อีกไม่นานความเร็วในการบินของมันจะมากขึ้นกว่านี้หลายเท่า

............

จี้เทียนซิงขี่หลังเฉียนเยวี่ย

ใบหน้าปะทะสายลมบนท้องฟ้า ดวงตากวาดมองไปทั่วภูเขาด้านล่างในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ

แผนที่ภูมิประเทศของเทือกเขาหมอกเร้นลับผุดขึ้นในใจ

เขาครุ่นคิดอย่างเงียบงันถึงวิธีการและแผนการในการเข้าสู่ภูเขา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยามพระอาทิตย์ตกดิน เฉียนเยวี่ยก็บินมาได้ครึ่งทางแล้ว

การเดินทางติดต่อกันเป็นเวลานานสูบกินพลังกายมากมาย

มันจำเป็นต้องหยุดพักเพื่อฟื้นฟูก่อนที่จะบินต่อไป

จี้เทียนซิงบอกให้มันลงจอดบนเทือกเขาหนึ่ง

และหยุดลงบนยอดเขาสูงจากพื้นดินนับนับพันฟุต

ในรัศมีร้อยไมล์รอบๆพื้นที่นั้นเป็นเทือกเขาไร้ผู้อยู่อาศัย

ทิวเขาเป็นป่าดั้งเดิมและยอดเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่านรวมไปถึงพื้นดินก็เต็มไปด้วยใบไม้หนาเตอะ

จี้เทียนซิงพบพื้นหญ้าเปิดโล่งในเชิงเขาจึงจัดวางข่ายอาคมง่ายๆด้วยก้อนหินไม่กี่ก้อน

นี่เป็นเพียงข่ายอาคมล้ำลึกระดับต่ำที่ไม่สามารถต้านทานยอดฝีมือระดับปราณจิตได้เลย

แต่มันสามารถกันแดดกันฝนและปกป้องเขาจากสัตว์อสูรทั่วไป

เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาก็นั่งขัดสมาธิบนแผ่นหินและหลับตาลง

ส่วนเฉียนเยวี่ยก็หดตัวลงจนมีขนาดเท่าลูกแมวและกลับไปในถุงมิติเพื่อพักผ่อน

คืนนี้พวกเขาต้องการพักผ่อนที่นี่ก่อนหนึ่งคืน

จากนั้นรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางต่อไป เพราะอย่างไรเสียเขาก็มีเวลาเหลือเฟือจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร

ในตอนกลางคืน

การเดินทางในเทือกเขานั้นไม่เพียงแค่เป็นไปได้อย่างเชื่องช้า

แต่ยังเปี่ยมไปด้วยอันตราย มันจะตกเป็นดึงดูดให้สัตว์อสูรจำนวนมากมาจู่โจม ดังนั้นการหยุดพักจนถึงรุ่งเช้าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

............

ภูเขาในยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง

ในบางครั้งจะมีเสียงร่ำร้องโหยหวนของเหล่าสัตว์อสูรดังออกมาจากที่ไกลๆซึ่งเพิ่มความลักลับอันตรายให้กับรัติกาลอันมืดมิดบนภูเขา

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวโปรยไปด้วยแสงปกคลุมร่างของจี้เทียนซิง

จิตใจของเขาเงียบสงบลงและเข้าสู่สภาวะการบ่มเพาะอย่างตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนี้เองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กน้อยจากเชิงเขา เขาถูกปลุกจากภวังค์และหยุดการบ่มเพาะทันที

ดวงตาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาหันศีรษะมองไปรอบๆและหรี่ตาลงเพ่งมองไปในป่าทึบที่ไกลออกไปราวๆร้อยเมตร  ที่จุดนั้นมีแสงเย็นวาบปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ในทันที

มันเป็นแสงเย็นจากกระบี่ระดับล้ำลึก !

มีบางคนกำลังเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบงัน

!