ตอนที่ 207

กลิ่นอายที่ตกค้าง

หลังจากแยกทางกับชูไฮว่ซาน

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เดินเคียงคู่กันลึกเข้าไปตามเส้นชีพจรวิญญาณภูเขา

แสงสว่างในเหมืองนั้นแทบจะไม่มี

ส่วนบนกำแพงแต่ละด้านนั้นจะมีตะเกียงหินอยู่ในทุกๆสิบเมตร

พื้นดินและผนังถ้ำเป็นชั้นหินสีน้ำตาลเข้มและมีบางส่วนที่เผยให้เห็นชั้นของสินแร่ล้ำค่า

แร่หลากหลายสีสันเปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีของธาตุทั้งห้า

ซึ่งธาตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากผ่านไปแล้วหลายล้านปีเท่านั้น

ช่างฝีมือของนิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังทำการถลุงแร่และแยกรัศมีพลังที่บริสุทธิ์ของธาตุทั้งห้าออกมา

เพื่อเตรียมทำเป็นวัสดุสำหรับการหลอมอาวุธ

นอกจากนี้อัญมณีบางชนิดจะปรากฏขึ้นเพียงบางพื้นที่ที่มีความเข้มข้นบริสุทธิ์ของเส้นชีพจรวิญญาณสูง

อัญมณีเหล่านั้นประกอบไปพลังปราณอันหนาแน่นของธาตุทั้งห้าซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์  มันใช้ในการบ่มเพาะบางวิชาและข่ายอาคม

สรุปแล้วเส้นชีพจรปฐพีนั้นนับว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากสำหรับทุกๆนิกาย

เพื่อขุดเส้นชีพจรใต้ดินของภูเขามังกร

ครั้งหนึ่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เคยทำเหมืองลึกนับร้อยแห่งมาก่อน

แต่หลังจากที่นิกายกระบี่ฟ้าเข้ายึดครอง

พวกมันก็ยิ่งขุดมากขึ้นจนเพิ่มจำนวนเหมืองเป็นเกือบสองร้อยแห่งและยังมีการขุดลึกลงไปยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก

เหมืองจำนวนมากเชื่อมต่อกันสร้างเป็นทางแยกที่สลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต

โชคดีที่ชูไฮว่ซานได้มอบแผนที่ทางเดินในเหมืองไว้ให้หยุนเหยาก่อนหน้านี้แล้ว

ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่หลงทาง

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ทั้งสองคนก็เดินไปตามถนนในเหมืองที่ทั้งมืดและคดเคี้ยวนับสิบๆไมล์จนในที่สุดก็มาถึงที่เกิดเหตุ

นี่คือจุดสิ้นสุดของถนนเหมือง มันเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มีรัศมีเกือบ 100 เมตร มันเป็นเหมือนห้องโถงที่ว่างเปล่าและมืดมิด ทั่วกำแพงมีเส้นสายของแร่ธาตุที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

แร่แต่ละชั้นจะสลับกับชั้นหินสูง7-8 เมตรและแต่ละชั้นจะมีแร่ธาตุเกาะกุมกันอย่างหนาแน่นมากกว่าสามเมตร

มันปกคลุมไว้ด้วยแร่หลากหลายสีสัน

หยุนเหยามองไปรอบๆและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ในช่วงที่เกิดเรื่องขึ้น ศิษย์รับใช้กว่าสิบคนที่มาขุดแร่ได้หายไปในบริเวณนี้”

จี้เทียนซิงมองไปรอบๆและเห็นพื้นที่เปิดโล่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป

มันกระจัดกระจายไปด้วยสินแร่ที่เก็บมาแล้วตกหล่นอยู่รวมไปถึงรถลากไม้ไผ่ที่ไว้บรรทุกแร่

รถลากไม้ไผ่เหล่านั้นเต็มไปด้วยแร่ก้อนเล็กก้อนน้อยวางอยู่

มันดูเหมือนว่าเพิ่งจะขุดขึ้นมาได้ไม่นาน อีกทั้งชั้นแร่บนกำแพงหินก็มีร่องรอยการขุดเจาะอยู่หลายแห่ง

จี้เทียนซิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์รับใช้ทั้งสิบคน

ถึงแม้พวกเขาจะมิได้มีระดับพลังยุทธ์ที่สูงส่งจนพอที่จะเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้

แต่หากในช่วงเวลานั้นเกิดมียอดฝีมือบุกเข้ามาหมายจะจับตัวพวกเขา

พวกเขาย่อมวิ่งหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับตัวทั้งหมดโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”

“ศิษย์พี่ใหญ่

ข้าคิดว่าเบาะแสต้องอยู่ไม่ไกลเป็นแน่ พวกเราควรมองหาอย่างถี่ถ้วนในละแวกนี้”

สำหรับการวิเคราะห์ของจี้เทียนซิง

หยุนเหยาก็พยักหน้าและเห็นด้วย

พวกเขาสองคนเริ่มแยกย้ายกันไปตรวจสอบตั้งแต่ปลายถ้ำทั้งสองฝั่งและสอดส่องทุกจุดด้วยสายตาอันแหลมคม

ในระยะเวลาอันสั้นจี้เทียนซิงก็พบเบาะแส

เขาพบร่องรอยของการต่อสู้มากมายบน

กำแพงหิน

มันเต็มไปด้วยร่องรอยของคมกระบี่

หยุนเหยาก็พบเบาะแสเช่นเดียวกัน

มันคือร่องรอยที่บ่งบอกว่าเกิดการต่อสู้มากมายในบริเวณนี้

หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

พวกเขาก็วิเคราะห์ออกมาตรงกันว่า

“จากร่องรอยของการต่อสู้ที่เหลือหลงอยู่ในถ้ำ การต่อสู้มิได้รุนแรงมากนัก

มันใช้เวลาสั้นๆและจบลงอย่างรวดเร็ว”

“นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของบุคลที่ทำให้เหล่าศิษย์หายตัวไปนั้นเกินกว่าระดับปราณแท้ไปไกลโข

แถมยัง...มีมากกว่าหนึ่งคน  ดังนั้นพวกมันจึงสามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวบรัดและรวดเร็วขนาดนี้”

“จากร่องรอยของการต่อสู้ในถ้ำและพลังปราณที่ตกค้างอยู่เล็กน้อย

ผู้ลงมือสมควรมีพลังในขอบเขตปราณจิตระดับสูง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้

สิ่งที่จี้เทียนซิงพิจารณาและคาดเดาเอาไว้ในใจก็คือ

มันต้องเป็นฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้า

อย่างไรก็ตาม

หลังจากหยุนเหยาเงียบไปครู่หนึ่งนางก็พบเบาะแสบางอย่างอีกครั้ง

“ศิษย์น้องเทียนซิง ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของเผ่าปีศาจ

เคยมียอดฝีมือเผ่าปีศาจเข้ามาที่นี่ !”

"ท่านว่าอะไรนะ ? กลิ่นไอของเผ่าปีศาจ

?!”

จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันที

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

ก่อนหน้านี้เขาเคยร่วมมือกับหยุนเหยาปฏิบัติภารกิจของนิกายในการตามหาดวงวิญญาณของจี้หลิงที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าปีศาจกลับคืนมา

เขาเคยผนึกกำลังกับนางต่อต้านเผ่าปีศาจจนรับรู้ว่าหยุนเหยาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังสายเลือดกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แสะมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นไอของทุกเผ่าพันธุ์

ในเมื่อหยุนเหยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของเผ่าพันธุ์ปีศาจในถ้ำ

ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่ายอดฝีมือเผ่ามารเคยอยู่ที่นี่แน่นอน

จี้เทียนซิงเริ่มสับสนและรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆทวีความซับซ้อนมากขึ้น

ความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็นเลือนราง

“มิใช่ฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้างั้นหรือ ? เป็นการลงมือของเผ่าปีศาจไปได้อย่างไร ? พวกมันไม่น่าจะมาสนใจภูเขามังกรแห่งนี้นี่นา  พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”

แม้กระทั่งหยุนเหยาก็ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

แววตาของนางเต็มไปด้วยความงุนงง

ทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์อื่นใด

ดังนั้นหยุนเหยาจึงเสนอว่า “จากร่องรอยที่เหลือ แสดงว่าศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนมิได้ตายที่นี่

พวกเขาคงถูกนำตัวไปสังหารที่อื่น พวกเราเดินไปสำรวจกันต่อเถอะ เผื่อว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและเดินออกจากถ้ำพร้อมนาง

พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามถนนในเหมืองสายหนึ่ง จากนั้นก็ดิ่งลงลึกเข้าไปใต้พื้นดิน

ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่มันก็ยิ่งมืดมากขึ้นและมากขึ้น

นอกจากนี้เส้นทางก็ยิ่งแคบลง

จี้เทียนซิงมองดูแผนที่ของเส้นทางในเหมืองและพบว่าเส้นทางนี้เป็นทางที่ถูกขุดขึ้นมาใหม่ไม่ถึงสองปีด้วยฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้า   เมื่อทั้งสองเดินไปตามทางเส้นใหม่นี้ได้ครู่หนึ่ง

หยุนเหยาก็ชะงักฝีเท้าเนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้ง

นางกล่าวกับจี้เทียนซิงว่า

“ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจแน่แล้ว  ศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนถูกพาตัวไปจากที่นี่

พวกเราควรสำรวจเข้าไปลึกกว่านี้”

จี้เทียนซิงพยักหน้า

จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เดินไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกใจกลางภูเขา

ระหว่างทางทั้งสองยังคงพบร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเหล่าศิษย์ที่หายตัวไปอยู่เป็นระยะ

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยามพวกเขาก็เดินลึกลงไปใต้พื้นดินหลายกิโลเมตร  สุดท้าย ถนนเหมืองที่นิกายกระบี่ฟ้าเพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ก็สิ้นสุดลงที่นี่เช่นกันเพราะเบื้องหน้าคือหน้าผาสีดำ

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาหยุดยืนอยู่บนขอบหน้าผาและกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความกระตือรือร้น

ข้างหลังของพวกเขาคือถ้ำว่างเปล่าซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการทำเหมือง

บริเวณรอบๆมีสินแร่ที่เก็บรวบรวมเอาไว้กองอยู่กระจัดกระจาย

ส่วนเบื้องหน้าก็คือหน้าผากว้างประมาณหนึ่งร้อยเมตร

มันทั้งมืดมิดและสูงชันอย่างยิ่ง

เมื่อได้เห็นฉากนี้ทั้งคู่ก็แสดงสีหน้าสับสนและหันมาพูดคุยกัน

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ?  ไฉนถึงได้มีหน้าผาลึกใต้พื้นดิน ?”

“เส้นทางที่นิกายกระบี่ฟ้าขุดขึ้นมาใหม่นั้นสิ้นสุดลงที่หน้าผานี่

หากพวกเรามิได้มาสำรวจเรื่องที่เกิดขึ้น

ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดในนิกายทราบถึงสถานที่แห่งนี้”

“ศิษย์น้องเทียนซิง ที่นี่ยังคงมีกลิ่นอายของเผ่าปีศาจหลงเหลืออยู่

แถมยังหนาแน่นมาก ข้าเกรงว่าพวกมันกำลังหลบซ่อนอยู่ไม่ไกล เจ้าระวังตัวด้วย”

ทันทีที่หยุนเหยากล่าวเตือนจี้เทียนซิงจบประโยค  เงาดำจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นในถ้ำว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาทันที

ฟุ่บ

! ฟุ่บ ! ฟุ่บ

! ฟุ่บ ! ฟุ่บ

!

เงาดำจำนวนห้าร่างพุ่งออกมาจากความมืดและตรงดิ่งเข้าหาทั้งสองอย่างกระหายเลือด   จิตสังหารอันแรงกล้าของพวกมันแผ่ซ่านออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ

หยุนเหยาตื่นตัวในทันควัน

เมื่อฝ่ามือขาวนวลเนียนของนางสะบัดวูบกลางอากาศ  กระบี่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

“ศิษย์น้องเทียนซิง ระวังตัวด้วย !”

นางหันหลังกลับไปมองที่เงาดำเหล่านั้นและโบกสะบัดคลื่นกระบี่ห้าสายในทันที