กลิ่นอายที่ตกค้าง
หลังจากแยกทางกับชูไฮว่ซาน
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เดินเคียงคู่กันลึกเข้าไปตามเส้นชีพจรวิญญาณภูเขา
แสงสว่างในเหมืองนั้นแทบจะไม่มี
ส่วนบนกำแพงแต่ละด้านนั้นจะมีตะเกียงหินอยู่ในทุกๆสิบเมตร
พื้นดินและผนังถ้ำเป็นชั้นหินสีน้ำตาลเข้มและมีบางส่วนที่เผยให้เห็นชั้นของสินแร่ล้ำค่า
แร่หลากหลายสีสันเปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีของธาตุทั้งห้า
ซึ่งธาตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากผ่านไปแล้วหลายล้านปีเท่านั้น
ช่างฝีมือของนิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังทำการถลุงแร่และแยกรัศมีพลังที่บริสุทธิ์ของธาตุทั้งห้าออกมา
เพื่อเตรียมทำเป็นวัสดุสำหรับการหลอมอาวุธ
นอกจากนี้อัญมณีบางชนิดจะปรากฏขึ้นเพียงบางพื้นที่ที่มีความเข้มข้นบริสุทธิ์ของเส้นชีพจรวิญญาณสูง
อัญมณีเหล่านั้นประกอบไปพลังปราณอันหนาแน่นของธาตุทั้งห้าซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ มันใช้ในการบ่มเพาะบางวิชาและข่ายอาคม
สรุปแล้วเส้นชีพจรปฐพีนั้นนับว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากสำหรับทุกๆนิกาย
เพื่อขุดเส้นชีพจรใต้ดินของภูเขามังกร
ครั้งหนึ่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เคยทำเหมืองลึกนับร้อยแห่งมาก่อน
แต่หลังจากที่นิกายกระบี่ฟ้าเข้ายึดครอง
พวกมันก็ยิ่งขุดมากขึ้นจนเพิ่มจำนวนเหมืองเป็นเกือบสองร้อยแห่งและยังมีการขุดลึกลงไปยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก
เหมืองจำนวนมากเชื่อมต่อกันสร้างเป็นทางแยกที่สลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต
โชคดีที่ชูไฮว่ซานได้มอบแผนที่ทางเดินในเหมืองไว้ให้หยุนเหยาก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่หลงทาง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ทั้งสองคนก็เดินไปตามถนนในเหมืองที่ทั้งมืดและคดเคี้ยวนับสิบๆไมล์จนในที่สุดก็มาถึงที่เกิดเหตุ
นี่คือจุดสิ้นสุดของถนนเหมือง มันเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มีรัศมีเกือบ 100 เมตร มันเป็นเหมือนห้องโถงที่ว่างเปล่าและมืดมิด ทั่วกำแพงมีเส้นสายของแร่ธาตุที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
แร่แต่ละชั้นจะสลับกับชั้นหินสูง7-8 เมตรและแต่ละชั้นจะมีแร่ธาตุเกาะกุมกันอย่างหนาแน่นมากกว่าสามเมตร
มันปกคลุมไว้ด้วยแร่หลากหลายสีสัน
หยุนเหยามองไปรอบๆและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“ในช่วงที่เกิดเรื่องขึ้น ศิษย์รับใช้กว่าสิบคนที่มาขุดแร่ได้หายไปในบริเวณนี้”
จี้เทียนซิงมองไปรอบๆและเห็นพื้นที่เปิดโล่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
มันกระจัดกระจายไปด้วยสินแร่ที่เก็บมาแล้วตกหล่นอยู่รวมไปถึงรถลากไม้ไผ่ที่ไว้บรรทุกแร่
รถลากไม้ไผ่เหล่านั้นเต็มไปด้วยแร่ก้อนเล็กก้อนน้อยวางอยู่
มันดูเหมือนว่าเพิ่งจะขุดขึ้นมาได้ไม่นาน อีกทั้งชั้นแร่บนกำแพงหินก็มีร่องรอยการขุดเจาะอยู่หลายแห่ง
จี้เทียนซิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์รับใช้ทั้งสิบคน
ถึงแม้พวกเขาจะมิได้มีระดับพลังยุทธ์ที่สูงส่งจนพอที่จะเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้
แต่หากในช่วงเวลานั้นเกิดมียอดฝีมือบุกเข้ามาหมายจะจับตัวพวกเขา
พวกเขาย่อมวิ่งหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับตัวทั้งหมดโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”
“ศิษย์พี่ใหญ่
ข้าคิดว่าเบาะแสต้องอยู่ไม่ไกลเป็นแน่ พวกเราควรมองหาอย่างถี่ถ้วนในละแวกนี้”
สำหรับการวิเคราะห์ของจี้เทียนซิง
หยุนเหยาก็พยักหน้าและเห็นด้วย
พวกเขาสองคนเริ่มแยกย้ายกันไปตรวจสอบตั้งแต่ปลายถ้ำทั้งสองฝั่งและสอดส่องทุกจุดด้วยสายตาอันแหลมคม
ในระยะเวลาอันสั้นจี้เทียนซิงก็พบเบาะแส
เขาพบร่องรอยของการต่อสู้มากมายบน
กำแพงหิน
มันเต็มไปด้วยร่องรอยของคมกระบี่
หยุนเหยาก็พบเบาะแสเช่นเดียวกัน
มันคือร่องรอยที่บ่งบอกว่าเกิดการต่อสู้มากมายในบริเวณนี้
หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
พวกเขาก็วิเคราะห์ออกมาตรงกันว่า
“จากร่องรอยของการต่อสู้ที่เหลือหลงอยู่ในถ้ำ การต่อสู้มิได้รุนแรงมากนัก
มันใช้เวลาสั้นๆและจบลงอย่างรวดเร็ว”
“นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของบุคลที่ทำให้เหล่าศิษย์หายตัวไปนั้นเกินกว่าระดับปราณแท้ไปไกลโข
แถมยัง...มีมากกว่าหนึ่งคน ดังนั้นพวกมันจึงสามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวบรัดและรวดเร็วขนาดนี้”
“จากร่องรอยของการต่อสู้ในถ้ำและพลังปราณที่ตกค้างอยู่เล็กน้อย
ผู้ลงมือสมควรมีพลังในขอบเขตปราณจิตระดับสูง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้
สิ่งที่จี้เทียนซิงพิจารณาและคาดเดาเอาไว้ในใจก็คือ
มันต้องเป็นฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้า
อย่างไรก็ตาม
หลังจากหยุนเหยาเงียบไปครู่หนึ่งนางก็พบเบาะแสบางอย่างอีกครั้ง
“ศิษย์น้องเทียนซิง ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของเผ่าปีศาจ
เคยมียอดฝีมือเผ่าปีศาจเข้ามาที่นี่ !”
"ท่านว่าอะไรนะ ? กลิ่นไอของเผ่าปีศาจ
?!”
จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันที
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านี้เขาเคยร่วมมือกับหยุนเหยาปฏิบัติภารกิจของนิกายในการตามหาดวงวิญญาณของจี้หลิงที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าปีศาจกลับคืนมา
เขาเคยผนึกกำลังกับนางต่อต้านเผ่าปีศาจจนรับรู้ว่าหยุนเหยาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังสายเลือดกายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แสะมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นไอของทุกเผ่าพันธุ์
ในเมื่อหยุนเหยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของเผ่าพันธุ์ปีศาจในถ้ำ
ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่ายอดฝีมือเผ่ามารเคยอยู่ที่นี่แน่นอน
จี้เทียนซิงเริ่มสับสนและรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆทวีความซับซ้อนมากขึ้น
ความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็นเลือนราง
“มิใช่ฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้างั้นหรือ ? เป็นการลงมือของเผ่าปีศาจไปได้อย่างไร ? พวกมันไม่น่าจะมาสนใจภูเขามังกรแห่งนี้นี่นา พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
แม้กระทั่งหยุนเหยาก็ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
แววตาของนางเต็มไปด้วยความงุนงง
ทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์อื่นใด
ดังนั้นหยุนเหยาจึงเสนอว่า “จากร่องรอยที่เหลือ แสดงว่าศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนมิได้ตายที่นี่
พวกเขาคงถูกนำตัวไปสังหารที่อื่น พวกเราเดินไปสำรวจกันต่อเถอะ เผื่อว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและเดินออกจากถ้ำพร้อมนาง
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามถนนในเหมืองสายหนึ่ง จากนั้นก็ดิ่งลงลึกเข้าไปใต้พื้นดิน
ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่มันก็ยิ่งมืดมากขึ้นและมากขึ้น
นอกจากนี้เส้นทางก็ยิ่งแคบลง
จี้เทียนซิงมองดูแผนที่ของเส้นทางในเหมืองและพบว่าเส้นทางนี้เป็นทางที่ถูกขุดขึ้นมาใหม่ไม่ถึงสองปีด้วยฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้า เมื่อทั้งสองเดินไปตามทางเส้นใหม่นี้ได้ครู่หนึ่ง
หยุนเหยาก็ชะงักฝีเท้าเนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้ง
นางกล่าวกับจี้เทียนซิงว่า
“ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจแน่แล้ว ศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนถูกพาตัวไปจากที่นี่
พวกเราควรสำรวจเข้าไปลึกกว่านี้”
จี้เทียนซิงพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เดินไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกใจกลางภูเขา
ระหว่างทางทั้งสองยังคงพบร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเหล่าศิษย์ที่หายตัวไปอยู่เป็นระยะ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยามพวกเขาก็เดินลึกลงไปใต้พื้นดินหลายกิโลเมตร สุดท้าย ถนนเหมืองที่นิกายกระบี่ฟ้าเพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ก็สิ้นสุดลงที่นี่เช่นกันเพราะเบื้องหน้าคือหน้าผาสีดำ
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาหยุดยืนอยู่บนขอบหน้าผาและกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความกระตือรือร้น
ข้างหลังของพวกเขาคือถ้ำว่างเปล่าซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการทำเหมือง
บริเวณรอบๆมีสินแร่ที่เก็บรวบรวมเอาไว้กองอยู่กระจัดกระจาย
ส่วนเบื้องหน้าก็คือหน้าผากว้างประมาณหนึ่งร้อยเมตร
มันทั้งมืดมิดและสูงชันอย่างยิ่ง
เมื่อได้เห็นฉากนี้ทั้งคู่ก็แสดงสีหน้าสับสนและหันมาพูดคุยกัน
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? ไฉนถึงได้มีหน้าผาลึกใต้พื้นดิน ?”
“เส้นทางที่นิกายกระบี่ฟ้าขุดขึ้นมาใหม่นั้นสิ้นสุดลงที่หน้าผานี่
หากพวกเรามิได้มาสำรวจเรื่องที่เกิดขึ้น
ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดในนิกายทราบถึงสถานที่แห่งนี้”
“ศิษย์น้องเทียนซิง ที่นี่ยังคงมีกลิ่นอายของเผ่าปีศาจหลงเหลืออยู่
แถมยังหนาแน่นมาก ข้าเกรงว่าพวกมันกำลังหลบซ่อนอยู่ไม่ไกล เจ้าระวังตัวด้วย”
ทันทีที่หยุนเหยากล่าวเตือนจี้เทียนซิงจบประโยค เงาดำจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นในถ้ำว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาทันที
ฟุ่บ
! ฟุ่บ ! ฟุ่บ
! ฟุ่บ ! ฟุ่บ
!
เงาดำจำนวนห้าร่างพุ่งออกมาจากความมืดและตรงดิ่งเข้าหาทั้งสองอย่างกระหายเลือด จิตสังหารอันแรงกล้าของพวกมันแผ่ซ่านออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ
หยุนเหยาตื่นตัวในทันควัน
เมื่อฝ่ามือขาวนวลเนียนของนางสะบัดวูบกลางอากาศ กระบี่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
“ศิษย์น้องเทียนซิง ระวังตัวด้วย !”
นางหันหลังกลับไปมองที่เงาดำเหล่านั้นและโบกสะบัดคลื่นกระบี่ห้าสายในทันที
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved