นารีแวะเวียนไม่ขาดสาย
เช้าวันต่อมาจี้เทียนซิงหยุดการบ่มเพาะ เขาหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างและพบว่าวันนี้ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ มันมีฝนตกปรอยๆ
เสียงซาๆ
ของเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบใบไม้นอกหน้าต่างทำให้จิตใจของชายหนุ่มสงบลง
เขาเดินไปที่หน้าต่างและผลักเปิดมันออกไปเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
“มันก็ผ่านมานานพอสมควรนับตั้งแต่ที่ข้าเข้านิกายมา ข้าเอาแต่ฝึกฝนบ่มเพาะจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนสงบๆเช่นนี้มาก่อน”
จี้เทียนซิงกระซิบแผ่วเบากับตัวเอง
มุมปากกระตุกขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ
ในเวลานี้เองเขาได้เห็นว่าที่ประตูทางเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมีเงาร่างอรชรสายหนึ่งที่ถือร่มกระดาษสีเขียวอ่อนกำลังเดินเข้ามาในลานกว้างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
เรือนร่างในชุดสีเขียวเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง
ถึงแม้ว่าร่มกระดาษจะปกคลุมใบหน้าของหญิงสาวเอาไว้ แต่เรือนร่างของนางก็ทำให้จี้เทียนซิงรู้สึกคุ้นเคย
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นและคิดในใจ
สตรีผู้ถือร่มเดินเข้ามาในพื้นที่ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นในยามเช้าเช่นนี้เป็นใครกันแน่ ?
ขณะนั้นเองห้องที่อยู่ตรงข้ามกับจี้เทียนซิงก็ถูกผลักเปิดออกทันที
นั่นก็คือลู่หมิงหยางที่อยู่ในชุดคลุมสีฟ้าทะเล่อทะล่าออกจากห้องด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น
มันรีบตรงดิ่งไปหาสตรีถือร่มผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
มันยืนขวางทางสตรีผู้นั้นไว้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพลางกล่าวว่า
“ศิษย์น้องซวนซวน เจ้ามาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้อย่างไร
?”
“ข้างนอกฝนตก เจ้ามาหาผู้ใดหรือมีธุระกับใคร ? หรือว่าเจ้าจะฝากสิ่งของให้ใครไหม ข้าจัดการให้เองนะ !”
อารมณ์ของลู่หมิงหยางเต็มไปด้วยความยินดีที่ได้เห็นนาง
มันพูดไม่หยุดปากและไม่อาจปกปิดสีหน้าที่อ่อนโยนชื่นชมอีกฝ่ายออกมาได้
หญิงสาวในชุดกระโปรงเขียวถือร่มก็คือซวนซวนนั่นเอง
นางยกร่มกระดาษขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นวงหน้างามพิสุทธิ์
จากนั้นก็มองไปที่ลู่หมิงที่ยืนขวางทางอยู่
“ขออภัยด้วย ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน
โปรดหลีกทาง”
ซวนซวนมีสีหน้าสงบนิ่งและกล่าวอย่างไร้อารมณ์
นางเดินผ่านลู่หมิงหยางตรงไปที่ห้องของจี้เทียนซิงทันที
ลู่หมิงหยางอึ้งอิมกี่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ใบหน้าของมันแข็งค้างในพริบตา
มันยืนเหม่อตากละอองฝนอยู่ที่เดิม จ้องมองเงาหลังของซวนซวนที่เดินชดช้อยจากไป หัวใจของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสีย
เมื่อมันได้เห็นซวนซวนมุ่งหน้าไปที่ห้องของจี้เทียนซิง
ใบหน้าของมันก็กลายเป็นเศร้าหมองทันที แววตาแสดงออกถึงความเกลียดชัง
ซวนซวนหุบร่มอยู่ใต้ชายคาและวางมันลง
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นนางก็เห็นจี้เทียนซิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
จ้องมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ซวนซวนตกตะลึง
ใบหน้าอันงดงามเผยรอยยิ้มอ่อนโยนวูบหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เทียนซิง ท่านตื่นแล้วหรือ ? เหมือนท่านจะรู้ว่าข้ามาหา”
จี้เทียนซิงพยักหน้า
เขาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าซวนซวนมาหาตนเอง
เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วและเชื้อเชิญนางเข้ามาในห้อง
“ศิษย์น้องซวนซวน วันนี้ฝนลงเม็ด
เจ้าจะตากฝนมาหาข้าถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นทำไมกัน ? มีธุระสำคัญหรือ
?”
ซวนซวนพยักหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นและกล่าวว่า
“เมื่อคืนข้าได้ยินท่านปู่เล่าเรื่องการประลองหลงซานจึงได้ทราบว่าท่านเข้าร่วมการประลองเป็นตัวแทนของนิกายและได้รับบาดเจ็บมา ข้าคิดจะมาหาท่านตั้งแต่เมื่อคืน
แต่ก็เห็นว่ามันดึกมากแล้ว”
“ดังนั้นข้าจึงมาวันนี้แทน ไม่เพียงแค่มาแสดงความยินดีในชัยชนะของท่าน
แต่ยังนำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บมาให้ท่านด้วย”
หลังจากนั้นนางก็หยิบขวดหยกสีขาวออกจากแหวนมิติแล้ววางไว้ที่ด้านหน้าของจี้เทียนซิง
“ข้านำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บมาให้ท่านสองเม็ด เม็ดหนึ่งคือยาหยกน้ำค้างที่ข้าเป็นผู้ปรุงขึ้นมาเอง...”
จี้เทียนซิงทราบได้ทันทีว่าปู่ของซวนซวนก็คืออาวุโสใหญ่ผู้ที่มาส่งเขาเป็นการส่วนตัวเมื่อวานนี้นั่นเอง
เดิมทีเขาต้องการปฏิเสธแต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจของนางได้
สุดท้ายก็รับพวกมันมา นอกจากนี้ทรัพยากรบ่มเพาะที่สำรองไว้ก็เริ่มหร่อยหรอย
ตอนนี้แม้กระทั่งยารักษาอาการบาดเจ็บเขาก็ไม่มีเหลือแล้ว
ซวนซวนอุตส่าห์นำโอสถพวกนี้มาให้เขาถึงที่ตั้งแต่เช้า
ซึ่งมันตรงกับความต้องการเร่งด่วนในช่วงเวลานี้พอดี
“ศิษย์น้องซวนซวน ขอบใจเจ้ามากแล้ว” จี้เทียนซิงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
ซวนซวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในขณะที่พยักหน้า นางพูดคุยสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป นางก็เตรียมกลับ
ในขณะที่จี้เทียนซิงส่งนางออกจากห้อง
เขาก็พบว่าลู่หมิงหยางยังคงยืนอยู่กลางลานกว้าง
ถึงแม้มันจะเปียกปอนไปทั่วร่าง
มันกลับไม่รู้สึกรู้สา แววตาคู่นั้นเพียงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
จี้เทียนซิงขี้เกียจจะเสวนากับมันให้มากความ
เขาโบกมือลาซวนซวนจนกระทั่งนางออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจนเดินลับสายตาไป
เขาจึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้อง
หลังจากนั้นไม่นาน
ขณะที่เขากำลังเตรียมจะกินยาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านอยู่หรือเปล่า ?”
ระหว่างที่เกิดเสียงเคาะประตู
น้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลของจี้เค่อก็ดังลอดเข้ามาในห้อง จี้เทียนซิงเก็บยาอย่างรวดเร็วและเดินไปเปิดประตูก็เห็นจี้เค่อยืนอยู่
นางยังคงสวมชุดสีฟ้า
แต่มันถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์พิเศษของศิษย์สาวกแห่งหอวิญญาณโอสถ
นางมาโดยไม่ได้พกร่ม
เส้นผมและอาภรณ์เปียกปอนชุ่มโชกไปทั่ว กระโปรงยาวของนางนั้นเบาบางและแนบชิดไปกับเรือนร่างจนทำให้ส่วนโค้งเว้าอันน่าดึงดูดใจปรากฏขึ้น
ผิวขาวเนียนของนางยังสามารถมองเห็นได้รางๆชวนให้ผู้คนคิดฟุ้งซ่าน
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและรีบดึงนางเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
“เค่อเค่อ
เจ้ามันเด็กโง่นัก จากหอวิญญาณโอสถมาถึงที่นี่นั้นห่างไกลนับสิบไมล์
ไฉนไม่พกร่มมาด้วยเล่า ?”
ถึงแม้ปากจะตำหนิแต่จี้เทียนซิงก็รีบหยิบผ้าสะอาดช่วยเช็ดใบหน้าและผมเผ้าของนางอย่างเอาใจใส่
จี้เค่อไม่ได้สนใจเรื่องฝนที่ตกและร่างกายที่เปียกโชก
นางเพียงชอบที่จะได้เห็นจี้เทียนซิงดูแลเอาใจใส่นางเช่นนี้
ใบหน้างดงามของนางผุดยิ้มบางขึ้นและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“พี่ใหญ่เทียนซิงข้ารีบนำยารักษามาให้ท่านก็เลยลืมหยิบร่มมาด้วย...”
สำหรับจี้เค่อนั้น
นางมักจะทำอะไรป้ำๆเป๋อๆเช่นนี้อยู่เป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็ก
จี้เทียนซิงเห็นบ่อยจนไม่รู้สึกแปลกใจอะไรแล้ว
ดังนั้นเขาเพียงพยักหน้าและช่วยเช็ดตัวที่เปียกปอนให้นางต่อไป
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
จี้เค่อก็หยิบขวดหยกสามขวดออกมาจากแขนเสื้อและวางไว้ตรงหน้าจี้เทียนซิงพลางกล่าวว่า
“พี่ใหญ่เทียนซิง
นี่คือโอสถฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บที่ท่านผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถฝากข้ามามอบให้ท่าน”
“ขวดนี้คือเม็ดยามังกรดำ
มันได้ผลดีในการรักษาบาดแผลจากคมกระบี่ มันมีทั้งหมดสามเม็ด
ทุกๆสองวันให้ท่านกินหนึ่งเม็ด”
“ส่วนขวดนี้เป็นเม็ดยาบำรุงโลหิตซึ่งใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน มีทั้งหมดหกเม็ด ให้ท่านกินวันละหนึ่งเม็ดทุกคืน.... "
“แล้วก็ขวดนี้เป็นยาคืนปราณ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด
มันจะช่วยให้ท่านฟื้นฟูพลังลมปราณได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อจี้เทียนซิงได้ยินคำแนะนำเกี่ยวกับเม็ดยาแต่ละชนิดอย่างชำนิชำนาญของจี้เค่อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี
ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมาจี้เค่อจะหมั่นฝึกฝนวิถีโอสถในหอวิญญาณโอสถจนเรียนรู้อะไรได้มากมายพอสมควร
ชายหนุ่มยิ้มและรับยาทั้งหมดจากนางมา
จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ๆจนจี้เทียนซิงได้ทราบว่าจี้เค่อที่หันมาเอาดีทางด้านโอสถก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นซึ่งทำให้จี้เทียนซิงโล่งใจและสบายใจในที่สุด
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามจี้เค่อก็อำลากลับไป
ในขณะที่จี้เทียนซิงเดินออกไปส่งจี้เค่อข้างนอก
เขาก็เห็นลู่หมิงหยางยังคงยืนอย่างไร้วิญญาณอยู่ที่เดิม !
ชายหนุ่มไม่สนใจอีกฝ่ายและเดินเข้าห้องไป หลังจากกลับเข้ามาได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูนี้
จี้เทียนซิงก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและพึมพำกับตัวเองว่า
“วันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้น ฝนตกอยู่แท้ๆ คนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งก็มา แปลกดีแท้”
ทันทีที่เขาเดินไปเปิดประตูก็ได้เห็นสาวงามในชุดขาวบริสุทธิ์ผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ที่หน้าประตู
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved