ตอนที่ 202

นารีแวะเวียนไม่ขาดสาย

เช้าวันต่อมาจี้เทียนซิงหยุดการบ่มเพาะ เขาหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างและพบว่าวันนี้ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์  มันมีฝนตกปรอยๆ

เสียงซาๆ

ของเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบใบไม้นอกหน้าต่างทำให้จิตใจของชายหนุ่มสงบลง

เขาเดินไปที่หน้าต่างและผลักเปิดมันออกไปเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์

“มันก็ผ่านมานานพอสมควรนับตั้งแต่ที่ข้าเข้านิกายมา  ข้าเอาแต่ฝึกฝนบ่มเพาะจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนสงบๆเช่นนี้มาก่อน”

จี้เทียนซิงกระซิบแผ่วเบากับตัวเอง

มุมปากกระตุกขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ

ในเวลานี้เองเขาได้เห็นว่าที่ประตูทางเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมีเงาร่างอรชรสายหนึ่งที่ถือร่มกระดาษสีเขียวอ่อนกำลังเดินเข้ามาในลานกว้างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

เรือนร่างในชุดสีเขียวเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง

ถึงแม้ว่าร่มกระดาษจะปกคลุมใบหน้าของหญิงสาวเอาไว้ แต่เรือนร่างของนางก็ทำให้จี้เทียนซิงรู้สึกคุ้นเคย

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นและคิดในใจ

สตรีผู้ถือร่มเดินเข้ามาในพื้นที่ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นในยามเช้าเช่นนี้เป็นใครกันแน่ ?

ขณะนั้นเองห้องที่อยู่ตรงข้ามกับจี้เทียนซิงก็ถูกผลักเปิดออกทันที

นั่นก็คือลู่หมิงหยางที่อยู่ในชุดคลุมสีฟ้าทะเล่อทะล่าออกจากห้องด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น

มันรีบตรงดิ่งไปหาสตรีถือร่มผู้นั้นอย่างรวดเร็ว

มันยืนขวางทางสตรีผู้นั้นไว้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องซวนซวน เจ้ามาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้อย่างไร

?”

“ข้างนอกฝนตก เจ้ามาหาผู้ใดหรือมีธุระกับใคร ? หรือว่าเจ้าจะฝากสิ่งของให้ใครไหม ข้าจัดการให้เองนะ !”

อารมณ์ของลู่หมิงหยางเต็มไปด้วยความยินดีที่ได้เห็นนาง

มันพูดไม่หยุดปากและไม่อาจปกปิดสีหน้าที่อ่อนโยนชื่นชมอีกฝ่ายออกมาได้

หญิงสาวในชุดกระโปรงเขียวถือร่มก็คือซวนซวนนั่นเอง

นางยกร่มกระดาษขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นวงหน้างามพิสุทธิ์

จากนั้นก็มองไปที่ลู่หมิงที่ยืนขวางทางอยู่

“ขออภัยด้วย ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน

โปรดหลีกทาง”

ซวนซวนมีสีหน้าสงบนิ่งและกล่าวอย่างไร้อารมณ์

นางเดินผ่านลู่หมิงหยางตรงไปที่ห้องของจี้เทียนซิงทันที

ลู่หมิงหยางอึ้งอิมกี่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ  ใบหน้าของมันแข็งค้างในพริบตา

มันยืนเหม่อตากละอองฝนอยู่ที่เดิม จ้องมองเงาหลังของซวนซวนที่เดินชดช้อยจากไป  หัวใจของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสีย

เมื่อมันได้เห็นซวนซวนมุ่งหน้าไปที่ห้องของจี้เทียนซิง

ใบหน้าของมันก็กลายเป็นเศร้าหมองทันที แววตาแสดงออกถึงความเกลียดชัง

ซวนซวนหุบร่มอยู่ใต้ชายคาและวางมันลง

ทันทีที่เงยหน้าขึ้นนางก็เห็นจี้เทียนซิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

จ้องมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

ซวนซวนตกตะลึง

ใบหน้าอันงดงามเผยรอยยิ้มอ่อนโยนวูบหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เทียนซิง ท่านตื่นแล้วหรือ ? เหมือนท่านจะรู้ว่าข้ามาหา”

จี้เทียนซิงพยักหน้า

เขาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าซวนซวนมาหาตนเอง

เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วและเชื้อเชิญนางเข้ามาในห้อง

“ศิษย์น้องซวนซวน วันนี้ฝนลงเม็ด

เจ้าจะตากฝนมาหาข้าถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นทำไมกัน ? มีธุระสำคัญหรือ

?”

ซวนซวนพยักหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นและกล่าวว่า

“เมื่อคืนข้าได้ยินท่านปู่เล่าเรื่องการประลองหลงซานจึงได้ทราบว่าท่านเข้าร่วมการประลองเป็นตัวแทนของนิกายและได้รับบาดเจ็บมา  ข้าคิดจะมาหาท่านตั้งแต่เมื่อคืน

แต่ก็เห็นว่ามันดึกมากแล้ว”

“ดังนั้นข้าจึงมาวันนี้แทน ไม่เพียงแค่มาแสดงความยินดีในชัยชนะของท่าน

แต่ยังนำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บมาให้ท่านด้วย”

หลังจากนั้นนางก็หยิบขวดหยกสีขาวออกจากแหวนมิติแล้ววางไว้ที่ด้านหน้าของจี้เทียนซิง

“ข้านำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บมาให้ท่านสองเม็ด เม็ดหนึ่งคือยาหยกน้ำค้างที่ข้าเป็นผู้ปรุงขึ้นมาเอง...”

จี้เทียนซิงทราบได้ทันทีว่าปู่ของซวนซวนก็คืออาวุโสใหญ่ผู้ที่มาส่งเขาเป็นการส่วนตัวเมื่อวานนี้นั่นเอง

เดิมทีเขาต้องการปฏิเสธแต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจของนางได้

สุดท้ายก็รับพวกมันมา นอกจากนี้ทรัพยากรบ่มเพาะที่สำรองไว้ก็เริ่มหร่อยหรอย

ตอนนี้แม้กระทั่งยารักษาอาการบาดเจ็บเขาก็ไม่มีเหลือแล้ว

ซวนซวนอุตส่าห์นำโอสถพวกนี้มาให้เขาถึงที่ตั้งแต่เช้า

ซึ่งมันตรงกับความต้องการเร่งด่วนในช่วงเวลานี้พอดี

“ศิษย์น้องซวนซวน ขอบใจเจ้ามากแล้ว” จี้เทียนซิงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

ซวนซวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในขณะที่พยักหน้า  นางพูดคุยสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง

จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป นางก็เตรียมกลับ

ในขณะที่จี้เทียนซิงส่งนางออกจากห้อง

เขาก็พบว่าลู่หมิงหยางยังคงยืนอยู่กลางลานกว้าง

ถึงแม้มันจะเปียกปอนไปทั่วร่าง

มันกลับไม่รู้สึกรู้สา แววตาคู่นั้นเพียงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

จี้เทียนซิงขี้เกียจจะเสวนากับมันให้มากความ

เขาโบกมือลาซวนซวนจนกระทั่งนางออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจนเดินลับสายตาไป

เขาจึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้อง

หลังจากนั้นไม่นาน

ขณะที่เขากำลังเตรียมจะกินยาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านอยู่หรือเปล่า ?”

ระหว่างที่เกิดเสียงเคาะประตู

น้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลของจี้เค่อก็ดังลอดเข้ามาในห้อง จี้เทียนซิงเก็บยาอย่างรวดเร็วและเดินไปเปิดประตูก็เห็นจี้เค่อยืนอยู่

นางยังคงสวมชุดสีฟ้า

แต่มันถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์พิเศษของศิษย์สาวกแห่งหอวิญญาณโอสถ

นางมาโดยไม่ได้พกร่ม

เส้นผมและอาภรณ์เปียกปอนชุ่มโชกไปทั่ว  กระโปรงยาวของนางนั้นเบาบางและแนบชิดไปกับเรือนร่างจนทำให้ส่วนโค้งเว้าอันน่าดึงดูดใจปรากฏขึ้น

ผิวขาวเนียนของนางยังสามารถมองเห็นได้รางๆชวนให้ผู้คนคิดฟุ้งซ่าน

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและรีบดึงนางเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ

“เค่อเค่อ

เจ้ามันเด็กโง่นัก จากหอวิญญาณโอสถมาถึงที่นี่นั้นห่างไกลนับสิบไมล์

ไฉนไม่พกร่มมาด้วยเล่า ?”

ถึงแม้ปากจะตำหนิแต่จี้เทียนซิงก็รีบหยิบผ้าสะอาดช่วยเช็ดใบหน้าและผมเผ้าของนางอย่างเอาใจใส่

จี้เค่อไม่ได้สนใจเรื่องฝนที่ตกและร่างกายที่เปียกโชก

นางเพียงชอบที่จะได้เห็นจี้เทียนซิงดูแลเอาใจใส่นางเช่นนี้

ใบหน้างดงามของนางผุดยิ้มบางขึ้นและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิงข้ารีบนำยารักษามาให้ท่านก็เลยลืมหยิบร่มมาด้วย...”

สำหรับจี้เค่อนั้น

นางมักจะทำอะไรป้ำๆเป๋อๆเช่นนี้อยู่เป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็ก

จี้เทียนซิงเห็นบ่อยจนไม่รู้สึกแปลกใจอะไรแล้ว

ดังนั้นเขาเพียงพยักหน้าและช่วยเช็ดตัวที่เปียกปอนให้นางต่อไป

หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง

จี้เค่อก็หยิบขวดหยกสามขวดออกมาจากแขนเสื้อและวางไว้ตรงหน้าจี้เทียนซิงพลางกล่าวว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง

นี่คือโอสถฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บที่ท่านผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถฝากข้ามามอบให้ท่าน”

“ขวดนี้คือเม็ดยามังกรดำ

มันได้ผลดีในการรักษาบาดแผลจากคมกระบี่ มันมีทั้งหมดสามเม็ด

ทุกๆสองวันให้ท่านกินหนึ่งเม็ด”

“ส่วนขวดนี้เป็นเม็ดยาบำรุงโลหิตซึ่งใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน มีทั้งหมดหกเม็ด ให้ท่านกินวันละหนึ่งเม็ดทุกคืน.... "

“แล้วก็ขวดนี้เป็นยาคืนปราณ มีทั้งหมดสิบสองเม็ด

มันจะช่วยให้ท่านฟื้นฟูพลังลมปราณได้อย่างรวดเร็ว”

เมื่อจี้เทียนซิงได้ยินคำแนะนำเกี่ยวกับเม็ดยาแต่ละชนิดอย่างชำนิชำนาญของจี้เค่อ  เขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี

ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมาจี้เค่อจะหมั่นฝึกฝนวิถีโอสถในหอวิญญาณโอสถจนเรียนรู้อะไรได้มากมายพอสมควร

ชายหนุ่มยิ้มและรับยาทั้งหมดจากนางมา

จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ๆจนจี้เทียนซิงได้ทราบว่าจี้เค่อที่หันมาเอาดีทางด้านโอสถก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี  ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นซึ่งทำให้จี้เทียนซิงโล่งใจและสบายใจในที่สุด

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามจี้เค่อก็อำลากลับไป

ในขณะที่จี้เทียนซิงเดินออกไปส่งจี้เค่อข้างนอก

เขาก็เห็นลู่หมิงหยางยังคงยืนอย่างไร้วิญญาณอยู่ที่เดิม !

ชายหนุ่มไม่สนใจอีกฝ่ายและเดินเข้าห้องไป  หลังจากกลับเข้ามาได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูนี้

จี้เทียนซิงก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและพึมพำกับตัวเองว่า

“วันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้น ฝนตกอยู่แท้ๆ  คนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งก็มา แปลกดีแท้”

ทันทีที่เขาเดินไปเปิดประตูก็ได้เห็นสาวงามในชุดขาวบริสุทธิ์ผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ที่หน้าประตู