ตอนที่ 107

ลอบลับคมจนก้าวหน้า

“สมุนไพรเหล่านี้คือหญ้าวิญญาณโลหิต...

ส่วนนั่นเป็นหญ้าหยางเชา…”

“สมุนไพรนับโหลเหล่านี้คือดอกไม้ใจปีศาจที่มีพิษสูงและไม่สามารถสัมผัสต้องด้วยมือ…”

จี้เทียนซิงยืนอยู่บนหลังคาและงอตัวลงเพื่อระบุสมุนไพรแต่ละประเภทและเก็บมันอย่างระมัดระวังที่สุด

เขาได้ศึกษาพวกมันจากตำราพันโอสถมาก่อน

ตอนนี้เขาสามารถรับรู้ถึงคุณสมบัติของสมุนไพรได้มากกว่าหนึ่งพันชนิด

ดังนั้นสมุนไพรนับหมื่นต้นบางส่วนจึงมิได้แปลกใหม่อันใดสำหรับเขา

ในการเด็ดดอกไม้ใจปีศาจนับสิบๆต้น

เขาต้องฉีกเสื้อผ้าบางส่วนมาหุ้มไว้ที่มือเพื่อไม่ให้สัมผัสโดนมัน

หลังจากนั้นไม่นาน

มือซ้ายของเขาก็เต็มไปด้วยสมุนไพรนับสิบชนิดส่วนมือขวาก็เต็มไปด้วยดอกไม้ใจปีศาจ

เมื่อไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้มากกว่านี้เขาจึงกระโดดลงมาจากหลังคาเพื่อนำพวกมันไปไว้ในห้องเก็บโอสถ

ห้องโอสถอยู่ถัดจากห้องโถง

มันเป็นห้องที่กว้างขวางและสว่างมาก

เมื่อเข้ามาถึงจี้เทียนซิงก็ได้เห็นเตาปรุงยา

3 เตาที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป เตาปรุงยาขนาดเล็กที่สุดมีขนาดพอๆกับอ่างล้างหน้าและทำจากทองเหลืองผสมวัสดุอื่นๆ

ส่วนเตาปรุงยาที่ใหญ่ที่สุดเป็นสีดำและสูงกว่า

3 เมตร มันดูแปลกตาและน่าหลงใหลไม่น้อย

ผนังทั้งสี่ด้านของห้องโอสถมีตะแกรงหลากหลายขนาด

ซึ่งเป็นชื่อของสมุนไพรแต่ละชนิด  พื้นที่สีเข้มบนผนังทั้งสี่ด้านนั้นรวมกันแล้วมีป้ายชื่อมากกว่า

3,600 ป้ายเพื่อแยกเก็บสมุนไพรมากกว่า 3,600 ชิ้น

เห็นได้ชัดว่านี่คือตู้เก็บโอสถของห้องโอสถนั่นเอง

จี้เทียนซิงจ้องไปที่อักษรนับไม่ถ้วนบนกำแพงร่วมครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะหาจุดที่ควรจะเก็บสมุนไพรที่ตนเองถือมาได้

จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องโอสถและกระโดดขึ้นไปบนหลังคาทางทิศตะวันตกและกระทำเช่นเดิมต่อไป

ถึงแม้ว่าเขาจะจดจำสมุนไพรส่วนใหญ่ได้แล้ว

แต่ยังมีส่วนน้อยที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน เขาทำได้เพียงเปิดตำราพันโอสถเพื่อเปรียบเทียบและระบุสมุนไพรที่ไม่รู้จัก

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันและแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ใกล้จะน้อยลงเรื่อยๆ

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปจี้เทียนซิงก็เก็บเกี่ยวสมุนไพรได้มากกว่า

400 ชนิดและระบุประเภทของพวกมันได้มากขึ้นอีก 50 กว่าชนิด

ในอัตราความเร็วนี้หากเขาต้องการเก็บสมุนไพรนับหมื่นบนหลังคาให้หมด

อย่างน้อยก็ต้องกินเวลาถึง 3 วัน และในระหว่างนี้เขาก็ได้พบสมุนไพรสองชนิดที่ไม่รู้จักจึงทำได้เพียงไล่เปิดหาข้อมูลของมันในตำราพันโอสถอย่างอดทน

ขณะนั้นเองเสียงของเซี่ยงหวู่จี้ก็ดังมาจากห้องโถงและตะโกนอย่างร้อนอกร้อนใจ

“เฮ้ย เจ้าหนู !

เจ้าทำงานเชื่องช้าเช่นนี้กี่ชาติถึงจะเสร็จ”

จี้เทียนซิงก็เป็นกังวลไม่น้อยและรู้สึกหงุดหงิด

เขาตอบกลับไปว่า “ผู้อาวุโส ข้าก็พยายามเต็มที่แล้วไง ท่านจะอะไรนักหนา มันมีสมุนไพรบางประเภทที่ข้าไม่รู้จัก

ข้ากลัวจะเก็บมันผิดวิธีจึงต้องเปิดหาข้อมูลในตำราเพื่อระบุประเภทของมัน”

เซี่ยงหวู่จี้แสยะยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“อะไรของเจ้า

ทั้งๆที่มีตำราพันโอสถในมือแต่กลับไม่รู้จักเห็ดห้าแสงวิญญาณ ? นี่เจ้าอ่านตำราละเอียดหรือเปล่า ?”

“เห็ดห้าแสงวิญญาณนั้นเติบโตในหินที่แห้งและมีแดดจัด มันแฝงด้วยธาตุดินและธาตุไฟ

เป็นสมุนไพรหลักที่ใช้ในการปรับแต่งโอสถบางชนิด ส่วนวิธีเก็บมันเจ้าก็ต้อง....…”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยงหวู่จี้จะฟังไม่เข้าหู

แต่เขาก็อธิบายชื่อสมุนไพรและคุณสมบัติของมันให้จี้เทียนซิงฟังอย่างละเอียดยิบ

ด้วยคำอธิบายของเขาทำให้จี้เทียนซิงประหยัดเวลาในการค้นตำราได้ถึงครึ่งชั่วโมง

เขาฟังทุกคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้และจดจำลักษณะตลอดจนประสิทธิภาพของเห็ดห้าแสงวิญญาณ

ต่อจากนั้นความเร็วในการเก็บสมุนไพรของเขาก็เพิ่มมากขึ้น

เขาเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้หลายพันชนิดและระบุสมุนไพรได้มากขึ้นอีก 70 ชนิด

อย่างไรก็ตาม

เขาได้พบสมุนไพรที่ไม่รู้จักอีกนับโหลซึ่งทำให้งานของเขาช้าลงอีกครั้ง

เขาต้องการถามเซี่ยงหวู่จี้

แต่เมื่อนึกถึงน้ำเสียงและอารมณ์ที่แปรปรวนของอีกฝ่าย

เขาจึงล้มเลิกความคิดนั้นและพยายามเปิดหาในตำราแทน

ครึ่งชั่วโมงต่อจี้เทียนซิงก็อ่านเจอสมุนไพรประเภทหนึ่งที่เรียกว่าดอกไม้วิญญาณปีศาจซึ่งคล้ายต้นที่อยู่ในมือของเขามาก

แต่ทว่าหลังจากที่เขาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าสมุนไพรในมือกลับไม่ใช่ดอกไม้วิญญาณปีศาจ

แต่คล้ายกันมากจนแทบแยกไม่ออก

ด้วยความสิ้นหวัง

จี้เทียนซิงจึงพลิกตำราอย่างละเอียดไปเรื่อยๆอย่างไร้หนทาง จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่พบเบาะแสของสมุนไพรที่อยู่ในมือ

ขณะนั้นเองเสียงของเซี่ยงหวู่จี้ก็ดังขึ้นจากห้องโถง

“เจ้าหนู อย่ามั่วเสียเวลาหาเลย

ต่อให้เปิดทุกหน้าอ่านทุกตัวอักษร เจ้าก็ไม่มีวันพบคำตอบหรอก !”

“สมุนไพรในมือของเจ้าล้ำค่ายิ่ง

มันเรียกว่าหญ้าเพลิงเทวะ สมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในตำราพันโอสถของนิกาย

และไม่มีให้เห็นในสวนวิญญาณโอสถอีกด้วย…”

จี้เทียนซิงฟังอย่างเงียบงันและจดจำลักษณะของหญ้าเพลิงเทวะจากคำอธิบายที่เซี่ยงหวู่จี้พูด

......

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวร่วมสี่ชั่วโมงแล้ว

ในเวลานี้พระอาทิตย์ตกดิน

ฟ้ามืดครึ้มและรัตติกาลกำลังจะมาเยือน

จี้เทียนซิงพยายามสุดชีวิตแล้วร่วมสี่ชั่วโมง

เขารวบรวมสมุนไพรได้มากกว่า 5,000 ชนิดและระบุประเภทได้มากกว่า 700 ชนิด

ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามจนสายตัวแทบขาดก็ยังลุล่วงไปแค่หนึ่งในสามเท่านั้น

อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและเริ่มตื่นตัวขึ้น

เขาไม่รู้ว่าชายชราจะลงโทษอย่างไรอีกในเมื่อเขาทำไม่เสร็จตามกำหนด

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

เซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องโถงพร้อมกับเฉียนเยวี่ยมาที่ลานกว้าง

เขาชำเลืองมองไปที่สวนสมุนไพรบนหลังคาและกล่าวอย่างสงบว่า

“ฟ้ามืดแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อนที่หอยุทธ์ได้แล้ว

พรุ่งนี้ค่อยมาทำงานต่อ”

จี้เทียนซิงรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าเซี่ยงหวู่จี้จะไม่โกรธ  เขาลังเลเล็กน้อยและถามว่า "ผู้อาวุโส

สมุนไพรเหล่านั้นยังคงเหลืออยู่บนหลังคาไม่น้อย ตกกลางคืนจะมีน้ำค้างหยด  หากปล่อยไว้เช่นนี้ข้าเกรงว่า...."

คำพูดของจี้เทียนซิงยังไม่ทันจะจบประโยค

เขาก็ได้เห็นภาพที่น่าตกใจ

เซี่ยงหวู่จี้โบกมือวูบอย่างลวกๆและเกิดพลังไร้สภาพสายหนึ่งห่อหุ้มสมุนไพรนับไม่ถ้วนบนหลังคาเอาไว้

สมุนไพรกว่า

10,000 ต้นลอยมาเบื้องหน้าเซี่ยงหวู่จี้และพวกมันก็พุ่งเข้าสู่แหวนที่มือซ้ายของชายชราเหมือนน้ำไหล

เพียงชั่วครู่เดียวเซี่ยงหวู่จี้ก็เก็บสมุนไพรนับหมื่นต้นจากบนหลังคาจนหมดเกลี้ยง

กระบวนอันน่าอัศจรรย์นี้ดูง่ายดายมากสำหรับชายชรา ไม่ต่างอะไรกับการกินข้าวดื่มน้ำ

หลังจากเก็บสมุนไพรทั้งหมดแล้วเซี่ยงหวู่จี้ก็หันไปหาเฉียนเยวี่ยและพากันเดินเข้าตำหนักใน

จี้เทียนซิงดวงตาเบิกกว้างมองไปที่เงาหลังของเซี่ยงหวู่จี้ด้วยความตะลึง  หลังจากนั้นครู่ใหญ่ๆถึงคืนสติกลับมาได้

“อา... ! ตาเฒ่าเหม็นเน่าผู้นี้

!”

“เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถเก็บสมุนไพรเองได้ด้วยคลื่นพลัง

แต่เขากลับสั่งให้ข้ากระโดดไปมาบนหลังคา เขาจงใจชัดๆ บัดซบที่สุด !”

จี้เทียนซิงหงุดหงิดมากที่รู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว

เขากำหมัดแน่นและคำรามอยู่ในใจ

จากนั้นไม่นานเซี่ยงหวู่จี้กับเฉียนเยวี่ยก็ลับตาหายไปในส่วนลึกของตำหนัก

จี้เทียนซิงทำได้เพียงเก็บความโกรธไว้ในใจและเดินออกจากตำหนักไท่อันอย่างเหนื่อยล้า

เมื่อเขากลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็มืดมากแล้ว

เขาล้มตัวลงนอนทันทีและแทบไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วเดียว

วันนี้ช่วงเช้าในตำหนักไท่อันเขาก็ถูกคลื่นกระบี่อันน่าตกตะลึงของชายชราไล่กวดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด

และเผาผลาญพลังลมปราณเกือบหมดสิ้น

จากนั้นเขาก็ถูกสั่งให้รับผิดชอบความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ  เขาต้องกระโดดขึ้นหลังคาไม่รู้กี่ร้อยรอบเพื่อเก็บสมุนไพร

เขาอ่อนเพลียและเหนื่อยล้ามาก

โชคดีที่หลังจากได้กินอาหารค่ำ

เขาก็รู้สึกฟื้นฟูพละกำลังขึ้นมาได้เล็กน้อย

เมื่อกินเสร็จเขาก็นั่งที่โต๊ะและทำสมาธิกับเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้อย่างเงียบๆในใจ

“กวาดพื้นในตำหนักไท่อันไม่ทันไรก็ต้องเหนื่อยล้าจนกระดูกแทบแตกสลาย

แต่มันก็แลกมาด้วยการที่สามารถจดจำสมุนไพรได้นับพันชนิด

แถมยังได้รู้จักสมุนไพรหายากอีกสองชนิดที่ไม่ได้บันทึกไว้ในตำราพันโอสถ”

“ตาแก่เหม็นเน่านั่นโจมตีข้าด้วยคลื่นกระบี่ไม่ยั้งแถมสั่งให้โคจรลมปราณต่อเนื่องกระโดดขึ้นลงหลังคาอีกหลายร้อยรอบ  มันน่าหงุดหงิดแต่กลับส่งผลดีต่อข้าไม่น้อย ปฏิกิริยาตอบสนองและความเร็วของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก หากข้าเก็บตัวบ่มเพาะอยู่แต่ในห้องลับคงไม่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วขนาดนี้  ตาแก่นั่นปากร้ายแต่ใจดีไม่น้อยแหะ....”