ตอนที่ 331

ตอนที่

331 บทเรียนที่ไม่มีวันลืมเลือน

“ค่อก....ค่อก..

!”

ซื่อเหวินหยูนอนอยู่บนพื้นชุมโชกไปด้วยเลือด มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเพลงกระบี่ดาราเหินสองกระบวนท่าติดต่อกันของจี้เทียนซิง

มันพยายามลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่สั่นสะท้าน

สองมือใช้กระบี่ช่วยค้ำยันเพื่อยืนให้มั่นคง

นอกจากความโกรธแล้ว

มันยังเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อ

มันคิดไม่ถึงว่าหลังจากฟื้นฟูพลังกลับมาถึงเก้าส่วนก็ยังพ่ายแพ้จี้เทียนซิงอย่างง่ายดาย

หลังจากรับสองกระบวนท่าหลังเข้าไป

มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผลลัพธ์นี้มันไม่อาจทำใจเชื่อและยอมรับได้

!

เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวมาข้างหน้า

ทั่วร่างแผ่ซ่านจิตสังหารออกมา ซื่อเหวินหยูก็รู้สึกหนังศีรษะชาด้าน

สันหลังเย็นวูบ

มันจ้องไปที่จี้เทียนซิงและคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

“จี้เทียนซิง

! เจ้าคิดจะทำบ้าอะไร  เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือไง ?!"

"นี่คือหอคอยเจ็ดดาว

แปดนิกายลงนามร่วมกันและมีข้อกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจฆ่าฟันกันในที่นี้ได้  หากเจ้ากล้าลงมืออีกล่ะก็...

อาจารย์ของข้าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างกล่าวโทษนิกายพันธมิตรสวรรค์ของเจ้า !”

"เมื่อถึงเวลานั้น

นิกายเจ้าจะตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน ส่วนเจ้า

จี้เทียนซิง ! เจ้าจะกลายเป็นคนบาปที่ก่อหายนะครั้งใหญ่ให้กับนิกาย

!”

เห็นได้ชัดว่าซื่อเหวินหยูหวาดกลัวจึงจงใจกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกไป

ก่อนเข้าสู่หอคอยเจ็ดดาว

มันไม่เคยเห็นจี้เทียนซิงอยู่ในสายตาและมันก็ไม่เข้าใจนิสัยโดยธรรมชาติของคนผู้นี้อีกด้วย

มันเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับลักษณะก้าวร้าวของจี้เทียนซิง

พลางขบคิดในใจว่า หากคนผู้นี้กล้าลงมือฆ่ามันจริงๆ มันจะทำอย่างไร ?

จี้เทียนซิงยังคงเดินเข้ามา ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย

ปากพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ซื่อเหวินหยู อย่าได้ยกเรื่องพันธะสัญญาของแปดนิกายขึ้นมาเป็นไม้กันหมาเลย

เจ้าก็แค่ห่วงชีวิตตัวเองและรักตัวกลัวตาย !”

"เป็นเพราะเจ้าอ่อนแอกว่าข้าและกลัวความตาย

เฮอะ สุนัขลอบกัดอย่างเจ้าก็แค่รักตัวเอง

ความเย่อหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดแล้วเล่า ?"

ซื่อเหวินหยูรู้สึกละอายและเต็มไปด้วยความโกรธ แต่มันก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าตะคอกใส่

“จี้เทียนซิง

อย่าให้มันมากเกินไปนัก !”

"แม้ข้าจะเป็นฝ่ายลงมือกับเจ้าก่อนจริง  แต่เจ้าก็เล่นข้าซะบาดเจ็บขนาดนี้

ถือว่าเจ๊ากันไปก็ได้นี่ !”

ในขณะที่พูด

ซื่อเหวินหยูก็ก้าวถอยหลังทีละน้อย ดวงตาจับจ้องจี้เทียนซิงอย่างระแวดระวัง

ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของมันเต็มไปด้วยความเศร้าและโกรธแค้น

มันลอบด่าทออีกฝ่ายภายในใจอย่างบ้าคลั่ง

มันคิดทบทวนในใจเรียบร้อยแล้วว่า ตราบใดที่รอดพ้นภยันตรายในครั้งนี้ไป

มันจะคิดหาวิธีฆ่าจี้เทียนซิงให้ตกตายอย่างอนาถ !

จี้เทียนซิงเดินเข้ามาทีละก้าว รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากพลางกล่าวหยอกเย้าว่า

“เจ๊ากัน

?

เฮอะ  ซื่อเหวินหยู

ประโยคเช่นนี้เจ้ายังกล้าสำรอกออกจากปากอีกหรือ ?!"

"เจ้าคิดว่าข้าไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรในใจงั้นหรือ

? ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้ยังคิดจะสังหารข้าหรือไง

?  มาซี่

ไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนความอัปยศรอโอกาสแก้แค้นหรอก  เข้ามาเลย

นี่เป็นโอกาสดีแล้วไง ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว มาฆ่าข้าสิ !”

ซื่อเหวินหยูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแน่น

มันไม่พูดตอบโต้แม้สักครึ่งคำและก็ไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง  ร้องขอชีวิตจี้เทียนซิง

มันถอยหลังอย่างต่อเนื่องจนมาถึงชายขอบของค่ายกลเจ็ดดาว  ซึ่งห่างออกไปข้างหลังอีกสิบเมตรก็คือทะเลหมู่เมฆ

ในตอนนี้เอง

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“ซื่อเหวินหยู

เจ้ามันพวกสุนัขลอบกัด ข้าไม่ปล่อยเจ้าง่ายๆแน่

วันนี้ข้าจะให้บทเรียนที่เจ้าไม่มีวันลืม  หากเจ้าโชคดีพอ เจ้าก็จะรอด"

ฟุ่บ !

สิ้นเสียง

ร่างของเขาก็กลายเป็นภาพติดตาสีทองที่พุ่งเข้าหาซื่อเหวินหยูราวกับสายฟ้าฟาด

เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงตรงหน้าอีกฝ่าย

พลางยกมือซ้ายขึ้นควบแน่นก่อเกิดเป็นหัตถ์เปลวอัคคีที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ

พลันฟาดเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

ซื่อเหวินหยูรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก

มันรีบยกกระบี่ขึ้นพาดหน้าอกเพื่อต้านรับฝ่ามือเพลิงของจี้เทียนซิง

"เปรี้ยง

!"

ด้วยเสียงดังสนั่น

ซื่อเหวินหยูถูกฝ่ามือเพลิงซัดปลิวกระเด็น ณ จุดนั้นทันที

มันลอยละลิ่วอย่างไร้อำนาจต้านทาน

ร่างปลิวเป็นเส้นโค้งกลางอากาศและกลิ้งไปในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร

"อ้ากกก  !"

ร่างของซื่อเหวินหยูจมอยู่ในทะเลเมฆ  แต่เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความคลั่งแค้นของมันยังคงก้องอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน

.......

มันเป็นเวลาเช้าตรู่

ณ พื้นที่เปิดโล่งใต้หอคอยเจ็ดดาว

เสียงสายลมบนภูเขายังคงพัดพาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ

แปดชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่หอคอยเจ็ดดาวได้เปิดให้เข้า

มีศิษย์สาวกห้าคนยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง

พวกมันยืนด้วยกันเป็นสองและส่งเสียงกระซิบพูดคุยกัน

ศิษย์สาวกทั้งห้าคนนี้ได้เข้าสู่หอคอยเจ็ดดาวไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม พวกมันล้มเหลวบนโลกชั้นที่สี่หรือชั้นที่ห้า

และได้ถูกดีดออกมานอกหอคอยก่อนเวลา

ถึงกระนั้นพวกมันทุกคนก็มิได้รู้สึกละอายเพราะต่างก็คุ้นชินมานานแล้ว

พวกมันพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

สายตาจ้องมองไปที่หอคอยเจ็ดดาวเพื่อรอผล

ณ ตอนนี้ยังคงมีศิษย์อีกสามคนอยู่ในหอคอย

ชั้นที่เจ็ดของหอคอยเจ็ดดาวถูกประดับประดาไว้ด้วยโคมไฟทองแดง

ซึ่งส่องสว่างอยู่สองอัน

ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งนี้เป็นข้อบ่งชี้ว่าหนึ่งคนอยู่ที่ชั้นหก

และมีอีกสองคนอยู่ที่ชั้นเจ็ด

เฉียวซวนยืนอยู่กับทุกคน มันเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นเจ็ดของหอคอยพลางกระซิบ

"ปีนี้แม่นางหยุนเหยามิได้เข้าร่วม

แต่มันน่าเหลือเชื่อนักที่มีคนสองคนสามารถขึ้นไปถึงยอดของหอคอยเจ็ดดาวได้!"

"ข้าไม่อยากเชื่อเลย

ตอนนี้มีสามคนที่ยังมิได้กลับออกมาก็คือศิษย์พี่เหวินหยู

แม่นางเฟิ่งหมินและจี้เทียนซิง มีใครรู้หรือไม่ว่าสองคนที่อยู่ชั้นเจ็ดเป็นใคร ?"

"ในความคิดของข้า คนแรกที่อยู่บนชั้นเจ็ดย่อมต้องเป็นศิษย์พี่เหวินหยู

ส่วนคนที่สองก็คือเฟิ่งหมิน"

"ใช่ ! เจ้าเด็กจี้เทียนซิงนั่นเป็นปาฏิหาริย์ชัดๆ

มันสามารถผ่านชั้นที่และห้าไปได้ แต่คงไปไม่ถึงชั้นเจ็ด"

"เหอๆ ศิษย์พี่เหวินหยูยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ก่อนหอคอยเจ็ดดาวจะเปิดเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่แล้ว"

เฉียวซวนกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ข้าพนันว่าภายในหนึ่งชั่วยาม

เจ้าเด็กจี้เทียนซิงจะต้องกลับออกมา"

"เมื่อคิดถึงสีหน้าของมันตอนตกลงมาจากชั้นหก

ฮ่าๆๆ  ข้าอยากเห็นนักเชียว"

ศิษย์อีกสองคนที่อยู่ข้างๆพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวเสริมว่า

“ใช่เลยศิษย์พี่เฉียว

ครั้งแรกที่เข้ามาในหอคอยเจ็ดดาวและถูกดีดออกมา มันไม่มีทางตั้งตัวได้ทันแน่

เมื่อถึงตอนนั้นมันจะตกลงมาจากกลางอากาศสูงกว่าร้อยเมตร

มันจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน หากซวยกว่านั้นก็ถึงตาย !"

เฉียวซวนยิ้มเย้ยหยันพูดว่า "ก็ดีสิ

ให้มันตกลงมาตายเลยยิ่งดี !"

ในตอนนี้เอง ศิษย์ที่อยู่ข้างๆพลันส่งเสียงอุทานออกมาทันที

“ดูนั่น ! มีคนตกลงมา !”

เมื่อได้ยินเสียงร่ำร้อง ศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็มองขึ้นไปบนฟ้าเป็นจุดเดียวกัน

สิ่งที่พวกมันทุกคนเห็นในเมฆก็คือเงาร่างสีขาวที่กำลังดิ่งลงมาด้วยความเร็วสูง

ถึงแม้ว่าบุคคลที่ร่วงมานี้พยายามโบกมือไปมาเพื่อร่ายอาคมลดแรงกระแทกจากการตก

แต่ด้วยการที่มันตกลงมาสูงและเร็วเกินไปจึงไม่สามารถชะลอความเร็วได้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น เพียงสามลมหายใจ เงาร่างในเสื้อคลุมสีขาวก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกพื้นอย่างรุนแรง

"ตูม !!!!"

เสียงดังอึกทึก กระหึ่มก้องไปทั่วยอดเขา