ตอนที่ 180

เสนอตัวออกรบ

ยามใดที่เอ่ยถึงหยุนเหยา

เหล่าผู้ดูแลและผู้อาวุโสก็ล้วนแต่แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินที่ไร้ผู้เทียบเคียง

นางมีครอบครองพลังสายเลือดระดับสวรรค์ในตำนานและกายจักรพรรดิ

!

นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตตั้งแต่อายุ

19 ปี ! (พี่จี้

17…)

ครั้งหนึ่งบนลานประลอง

นางเคยโค่นล้มอัจฉริยะทั้งเจ็ดคนด้วยกระบี่เดียว !

นอกจากนี้นางยัง

...

เกียรติยศชื่อเสียงที่หยุนเหยาเคยสร้างไว้

ต่อให้พูดกันสามวันสามคืนก็ไม่จบไม่สิ้น

สรุปแล้วนางเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องแหงนหน้ามองด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

ต่อให้คนรุ่นใหม่ของนิกายกระบี่ฟ้าจะโดดเด่นและมีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์มากมายเพียงใดก็ตาม

หยุนเหยาก็ยังยืนอยู่ในจุดสูงสุดของรุ่นเยาว์ยุคนี้อย่างไร้ผู้ใดเทียบเทียม !

ฉู่เทียนเซิงก็ภูมิใจในตัวศิษย์คนนี้เช่นเดียวกัน

แต่ทว่า

เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งได้เขาก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “อาวุโสชู

พวกเราไม่อาจนำฮั่งเชินมาเทียบกับหยุนเหยาได้

นางเป็นหัวหน้าศิษย์ฝ่ายในของนิกายเราและมีสถานะสูงสุด

ส่วนฮั่งเชินเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่”

“การประลองหลงซานครั้งนี้นับแต่เพียงศิษย์ฝ่ายนอกและมีเพียงฝ่ายนอกเท่านั้นที่เข้าร่วมการประลองได้

พวกเราต้องเอาชนะพวกมันเพื่อครอบครองกรรมสิทธิ์บนภูเขามังกร !”

“นิกายกระบี่ฟ้าได้ครองภูเขามังกรมาแล้วสามปี ในช่วงสามปีที่ผ่านมาพวกมันเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นไปได้สูงว่าพวกมันขุดค้นสมบัติล้ำค่าบนภูเขาแล้วนำไปป้อนให้เหล่าศิษย์  ดังนั้นพวกเราต้องชนะ !”

ใบหน้าของฉู่เทียนเซิงกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

นี่เป็นเหมือนคำสั่งต่อชูไฮว่ซานว่าห้ามแพ้เด็ดขาด

ท้ายที่สุดแล้วการประลองหลงซานครั้งนี้ไม่เพียงแค่เกี่ยวพันถึงกรรมสิทธิ์บนภูเขามังกรเท่านั้น

แต่มันยังรวมไปถึงหน้าตาของนิกายแต่ละฝ่ายอีกด้วย !

ชูไฮว่ซานอ้าปากค้างและขมวดคิ้วในฉับพลัน

จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“เรียนท่านประมุข

ถึงแม้ศิษย์ใหม่ทั้งสิบคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจะมีฝีมือมิใช่ชั่ว แต่หากต้องเอาไปเทียบกับฮั่งเชินผู้นั้น....  ข้าเกรงว่าจะด้อยกว่าหลายขุม”

“ลู่หมิงหยางที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดของฟงอวิ๋นก็ยังอยู่เพียงขอบเขตปราณจิตขั้นแรกเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะฮั่งเชิน ต่อให้เป็นหยานตงไหลหรือหยินเฟยหยาง ข้าน้อยก็เกรงว่ายังมิใช่คู่มือ”

ฉู่เทียนเซิงก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน

สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมจากนั้นดวงตาก็เปล่งประกายพลางถามต่อไปว่า “อาวุโสฮั่นเฉียวเซิง0แห่งหอยุทธ์ฟงอวิ๋นตัดสินใจหรือยังว่าจะให้ศิษย์คนใดเข้าร่วมการประลอง

?”

ชูไฮว่ซานส่ายหัวและเผยสีหน้าอับจนปัญญาพลางกล่าวว่า

“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ

แต่ดูเหมือนฮั่นเฉียวเซิงจะยังมิได้ตัดสินใจ

ท่านประมุขจะฝากข้าไปชี้แนะอันใดหรือไม่ ?”

ฉู่เทียนเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่มีหรอก

ปล่อยให้อาวุโสฮั่นตัดสินใจเองก็แล้วกัน ให้เขาเลือกศิษย์ลงประลองโดยเร็วที่สุด !”

“รับคำสั่งขอรับ !”

ชูไฮว่ซานกำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงเพื่อกลับไปยังฝ่ายนอกถ่ายทอดคำสั่ง

......

หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

จี้เทียนซิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องและกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับการบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่

ตอนนี้เขามาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นแรกแล้ว

หากต้องการพัฒนาไปมากกว่านี้ก็จำเป็นต้องบรรเทาจุดฝังเข็มทั้ง 72 จุดเท่านั้น

ร่างกายของมนุษย์มีเส้นชีพจรหลักอยู่เก้าเส้นซึ่งเป็นช่องทางไหลเวียนของพลังลมปราณ

และในหนึ่งเส้นชีพจรจะมีจุดฝังเข็มอยู่แปดจุดซึ่งเป็นเหมือนทางผ่านย่อย

หากจุดฝังเข็มเกิดเสียหายหรือถูกผนึก(อุดตัน)มันจะไปปิดกั้นเส้นชีพจรลมปราณและส่งผลต่อการโคจรพลัง

แต่หากจุดฝังเข็มถูกบรรเทาและเข้มข้นหนาแน่นมากขึ้น

คนผู้นั้นก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของเส้นชีพจรให้รองรับพลังปราณได้มากขึ้นและเร่งอัตราการไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน

จี้เทียนซิงเข้าใจดีถึงเหตุผลเหล่านี้

แต่ทว่าการบรรเทาจุดฝังเข็มก็ยิ่งยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว  เนื่องจากจุดฝังเข็มนั้นมีขนาดเล็กบอบบางมาก

ทำให้การบรรเทาเป็นไปด้วยความยากลำบากและมีความเสี่ยงสูง

เพื่อที่จะบรรเทาจุดฝังเข็ม

การบรรลุขอบเขตพลังที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถใช้จิตควบคุมพลังปราณได้อย่างสอดคล้อง

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังอยู่ในพวังค์ของการทำสมาธิ

เขาได้ยินเสียงระฆังของห้องโถงใหญ่ดังขึ้น

ดวงตาชายหนุ่มกลับมารวมศูนย์และรั้งสติกลับมา

เขาสลัดความคิดอย่างรวดเร็วและเดินออกจากห้องของตนเองไปยังห้องโถงใหญ่

เหล่าศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นถูกปลุกให้ตื่นจากการปิดด่าน

พวกเขาต่างรีบมุ่งหน้าไปห้องโถงใหญ่ทันที

ในเวลาอันสั้น

ศิษย์ทั้งสิบคนก็มาถึงกันพร้อมหน้า

หลังจากการปิดด่านบ่มเพาะแปดวันเต็มๆ

ทุกคนต่างก็พัฒนาพลังฝีมือและความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทุกคนรู้ดีว่าวันนี้ฮั่นเฉียวเซิงเรียกระดมพลในห้องโถงเพราะมีเรื่องสำคัญ

แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกนักสู้เข้าร่วมการประลองหลงซาน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในใจของศิษย์ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและความคาดหวัง

ในไม่ช้าฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และยืนอยู่ในแท่นสูงกลางห้อง

สีหน้าของครูฝึกทั้งสองฉายแววเคร่งเครียดเล็กน้อย

หว่างคิ้วดูหม่นหมองกลัดกลุ้มกังวลใจ ซึ่งศิษย์ทั้งหมดต่างก็สังเกตได้ พวกเขามีสีหน้าสับสนงุนงงและเริ่มเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

ฮั่นเฉียวเซิงกวาดสายตาไปทั่วฝูงชนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ศิษย์ทุกคน วันนี้ข้ามีเรื่องต้องประกาศ”

“ศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้ามาถึงนิกายของเราแล้ว

ตอนนี้พวกมันอาศัยอยู่ที่หอฉิงซ่ง  พลังยุทธ์ของพวกมันทั้งหมดนั้นย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตไปแล้ว

ผู้ที่อ่อนแอที่สุดมีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง !”

เมื่อได้ยินข้อมูลนี้

เหล่าศิษย์ก็เผยสีหน้าตกตะลึงและตกใจ ความมั่นใจและความคาดหวังของทุกคนหายไปทันที

พวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและสงสัย

ศิษย์หลายคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนถามฮั่นเฉียวเซิงว่า

“ครูฝึกฮั่น

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ? ศิษย์ฝ่ายนอกสามคนที่นิกายกระบี่ฟ้าส่งมาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตทั้งสิ้น  เช่นนั้นพวกเราจะเอาอะไรไปสู้ !?”

“บ้าไปแล้ว

ขอบเขตปราณแท้อย่างพวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับขอบเขตปราณจิต

นี่พวกมันโกงกันถึงหน้าประตูนิกายพวกเราเลยหรือ ?”

“นั่นสิ

มิใช่ว่าขอบเขตปราณจิตต้องเป็นศิษย์ฝ่ายในหรอกหรือ ?

เหตุใดพวกมันถึงยังเป็นศิษย์ฝ่ายนอกอยู่เล่า ? นิกายกระบี่ฟ้าเล่นตุกติกหรือเปล่า

?”

“ครูฝึกฮั่น

หรือว่านิกายกระบี่ฟ้าแสร้งนำศิษย์ฝ่ายในสวมรอยมาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกหาเรื่องพวกเราให้ขายหน้า

?”

ศิษย์หลายคนตะโกนโหวกเหวกด้วยความมึนงงและโกรธแค้นกับความอยุติธรรม

ตู้หวู่ยกมือขึ้นเพื่อแจ้งให้ทุกคนเงียบและอธิบายด้วยความโกรธว่า

“ข้าเข้าใจพวกเจ้า ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะสงสัยเช่นนี้

ครั้งนี้เป็นไปได้ว่านิกายกระบี่สวรรค์จะโกงพวกเรา”

“ศิษย์ทั้งสามคนนี้เป็นศิษย์ใหม่ของนิกายกระบี่ฟ้า

ด้วยพลังในระดับนี้ตามหลักแล้วพวกมันควรจะเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในโดยตรง

แต่นิกายกระบี่ฟ้ากลับจงใจรั้งตัวพวกมันไว้ที่ฝ่ายนอกเพื่อการประลองหลงซานครั้งนี้

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนอันชั่วช้า !”

ฮั่นเฉียวเซิงพยักหน้าและกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการคาดคะเนของข้า

ข้าก็ไม่คิดว่านิกายกระบี่ฟ้าจะใช้วิธีสกปรกเยี่ยงนี้เช่นกัน

เดิมทีวันนี้ข้าคิดจะคัดเลือกพวกเจ้าจำนวนหนึ่งเป็นตัวแทน

แต่หากเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่เลือกแล้ว แต่จะให้พวกเจ้าตัดสินใจเองด้วยความสมัครใจ

ข้าไม่ตำหนิพวกเจ้าหากไม่มีผู้ใดลงประลอง”

“เอาล่ะ

ศิษย์คนใดต้องการเป็นตัวแทนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเราเข้าร่วมประลองยุทธ์ในนามของนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ขอให้ยืนขึ้นและแสดงตัวออกมาได้เลย

!”

เห็นได้ชัดว่านิกายกระบี่ฟ้าเตรียมพร้อมและวางแผนมาเป็นอย่างดีจนฮั่นเฉียวเซิงก็รู้สึกท้อแท้จนทำอะไรไม่ถูก

ศิษย์ทั้งหลายของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

พวกเขากระซิบกระซาบกันด้วยความโกรธแค้น

แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดลุกขึ้นยืนเพราะความต่างชั้นในขอบเขตใหญ่นั้นมากมายเกินไป หากฝืนออกไปสู้ก็เหมือนถูกผู้ใหญ่รังแก

แม้จะเป็นลู่หมิงหยางที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดในกลุ่มก็ยังเผยสีหน้าซับซ้อนและเต็มไปด้วยความลังเล

ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงที่มีสีหน้าสงบเยือกเย็นก็เดินออกไปข้างหน้าสองก้าวและกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นว่า “ครูฝึกฮั่น

ศิษย์ประสงค์จะเป็นตัวแทนในการประลองครั้งนี้”

ฮั่นเฉียวเซิงยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดแต่ศิษย์หลายคนที่เห็นจิตใจคิดต่อสู้ของจี้เทียนซิงก็เริ่มพูดคุยกัน “จี้เทียนซิง

เจ้าเพิ่งจะอยู่ในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่เจ็ดเองนะ

ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็ยังไม่อาจเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิตได้หรอก

หาเรื่องเจ็บตัวเสียเปล่าๆ”

“หึ

ข้าขอชมความกล้าหาญของเจ้านะจี้เทียนซิง แต่เจ้าออกไปก็ขายหน้าเปล่าๆ”

ศิษย์หลายคนเริ่มส่ายหัวไปมา

พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

แม้กระทั่งเนี่ยห่าวที่สนิทสนมกับอีกฝ่ายก็ยังเอ่ยปากเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า

“พี่จี้ ท่านอย่าได้หุนหันเกินไป

สมควรตรองดูก่อนเถิด”