ตอนที่ 178

ทะลวงด่านปราณจิต

- วิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่ !

หลังจากการโน้มน้าวให้กำลังใจของจี้เทียนซิง

ในที่สุดจี้เค่อก็ตัดสินใจเข้าเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถ

จี้เทียนซิงมอบผลไม้วิญญาณให้นางเพื่อช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้เร็วขึ้นและอำลากลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ในเวลานี้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นเต็มไปด้วยความเงียบสงัด

ห้องของเหล่าศิษย์แต่ละคนมืดสนิทไร้ซึ้งแสงตะเกียง

จี้เทียนซิงคาดเดาว่าคงเป็นเพราะศิษย์ทุกคนต่างก็ปิดด่านบ่มเพาะกันอย่างขมักเขม้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประลองหลงซาน

หลังจากกลับไปที่ห้องเขาก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มปิดด่านบ่มเพาะทันที

ครั้งนี้เป้าหมายของเขาคือการบรรเทาเส้นชีพจรลมปราณเส้นสุดท้ายให้เป็นชีพจรกระบี่เพื่อตัดผ่านไปสู่ขอบเขตที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในระดับปราณจิต

!

ถึงแม้ว่าขอบเขตปราณแท้ขั้นที่เก้านั้นจะห่างจากขอบเขตปราณจิตเพียงแค่ก้าวเดียว

แต่ทว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองขอบเขตนี้แท้จริงแล้วกว้างใหญ่นัก

ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้สามารถใช้พลังปราณฉาบเคลือบไปที่ฝ่ามือหรืออาวุธเพื่อก่อเกิดเป็นลำแสงฝ่ามือหรือลำแสงกระบี่ได้เท่านั้นแต่ไม่สามารถแยกพลังปราณออกมาใช้ได้อย่างอิสระมากนัก

แต่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตนั้นต่างออกไปและทรงพลังยิ่งกว่า

พวกเขาสามารถใช้พลังปราณควบรวมเป็นสสารได้ !

ยกตัวอย่างเช่น

การควบแน่นพลังปราณไว้ที่กำปั้นและชกออกไป หรือการตวัดกระบี่ที่โคจรไว้ด้วยพลังปราณก่อเกิดเป็นคลื่นกระบี่

ซึ่งสามารถจู่โจมออกไปกลางอากาศได้ไกลยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณจิตยังสามารถปะทุพลังปราณภายในร่างกายและบีดอัดเป็นเกราะป้องกันเหนือผิวกายเพื่อป้องกันการโจมตีอันรุนแรงได้

แต่แน่นอนว่าวิธีนี้สูบกลืนพลังปราณมหาศาล

ต่อให้เป็นยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้าขึ้นไปก็ยังไม่ใช้ออกง่ายๆ

นอกจากนี้

ความนึกคิดของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตนั้นยังสามารถควบรวมให้เป็นสัมผัสญาณได้อีกด้วย

สัมผัสญาณนั้นไร้ซึ่งตัวตนและจับต้องไม่ได้

แต่มันเต็มไปด้วยความสามารถที่หลากหลายอย่างคาดไม่ถึง

จี้เทียนซิงคิดคำนวณในใจอย่างเงียบงัน

“ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าหากใช้ออกด้วยวิถีใจกระบี่

ข้าสามารถระเบิดพลังต่อสู้ได้เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สาม”

“ถ้าหากใช้กระบี่มังกรดำร่วมด้วย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่ข้าก็เอาชนะได้

!”

“ขนาดข้าอยู่ในขอบเขตปราณแท้ยังมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นหากข้าทะลวงด่านปราณจิต พลังต่อสู้จะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเป็นแน่

เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เป็นยอดยุทธ์ระดับปราณจิตขั้นห้าก็ไม่ใช่คู่มือข้าอีกต่อไป

!”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็เต็มไปด้วยความคาดหวังและความปรารถนาในการพัฒนาไปสู่ขอบเขตปราณจิต

เขานั่งคุกเข่ากลางข่ายปราณในห้องลับและโคจรวิถีใจกระบี่ขั้นที่สามเพื่อชักนำคุณประโยชน์จากพลังงานแห่งฟ้าดินและเตรียมบรรเทาเส้นชีพจรเส้นสุดท้ายที่ยากเย็นที่สุด

เพื่อเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะเขายังใช้ผลไม้วิญญาณสี่ชิ้นและเม็ดยาเจิ้นหยวนตันอีกห้าเม็ดเสริมเข้าไปอีกด้วย

นี่เป็นเบี้ยหวัดครึ่งหนึ่งของเดือนนี้

หากเขาใช้พวกมันในการบ่มเพาะแบบไม่เร่งรีบก็จะอยู่ได้อย่างน้อยร่วมสิบวัน

จี้เทียนซิงเริ่มตั้งสมาธิในการบ่มเพาะโดยชักนำพลังงานจากผลไม้วิญญาณและเม็ดยาที่เพิ่งกินเข้าไป

เมื่อเวลาผ่านไปเส้นชีพจรสีแดงเข้มเส้นที่เก้าของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นสีทอง

ในขณะเดียวกันความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างเงียบงัน

วันที่หนึ่ง

วันที่สอง จนกระทั่งผ่านไปสามวัน ...

เมื่อถึงวันที่ห้าจี้เทียนซิงก็สกัดกลั่นพลังจากผลไม้วิญญาณและเม็ดยาจนหมดสิ้น

อย่างไรก็ตามเขายังคงล้มเหลวในการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่เก้า

ในเส้นชีพจรเส้นที่เก้านั้น

พื้นที่สองในสามกลายเป็นสีทองอร่ามแต่มีบางส่วนที่ยังคงเป็นสีแดงเข้ม จี้เทียนซิงจำเป็นจะต้องบรรเทามันให้เป็นชีพจรกระบี่สีทองทั่วทั้งเส้น

ดังนั้นเขาจึงนำโอสถที่เหลือทั้งหมดจากในถุงมิติโยนเข้าปากรวดเดียว

ตูม !!

ผลไม้วิญญาณหลายลูก, เม็ดยาเจิ้นหยวนตันรวมไปถึงเม็ดยาปราณทองคำระเบิดพลังปราณอันดุร้ายพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างของเขา

มันราวกับกระแสน้ำมหาศาลในแม่น้ำแยงซี

อึ่ก.....

จี้เทียนซิงขบกรามแน่นและอดทนต่อพลังที่ปั่นป่วนอยู่ภายในร่าง

เขาพยายามควบคุมบังคับในการบรรเทาชีพจรกระบี่เส้นที่เก้าให้สำเร็จโดยเร็ว

ผ่านไปอีกสองวันโดยไม่รู้ตัว

ณ ตอนนี้เขาได้ปิดด่านมาเจ็ดวันเต็มแล้ว

ทรัพยากรบ่มเพาะที่เคยมีอยู่มากมายของเขาล้วนถูกบริโภคจนหมดสิ้นในช่วงเจ็ดวันนี้

!

โชคดีที่เขาได้สะสมทรัพยากรไว้มากพอก่อนที่จะทำการปิดด่าน

ในที่สุดเส้นชีพจรเส้นที่เก้าของเขาก็กลายเป็นสีทองบริสุทธิ์และประสบความสำเร็จในการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่แล้ว

!

บัดนี้เส้นชีพจรหลักทั้งเก้าของจี้เทียนซิงล้วนแปรเปลี่ยนไปเป็นเส้นชีพจรกระบี่หมดสิ้นแล้ว

พลังปราณในร่างของเขาดั่งกระแสน้ำอันเกรี้ยวกราดที่ไหลผ่านจากเส้นชีพจรกระบี่ เมื่อพลังลมปราณเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่งมันก็เปล่งเสียง ‘ครืน !’ ดุจสายฟ้าอสุนีคำราม !

จี้เทียนซิงรู้ว่าช่วงเวลาสำคัญได้มาถึงแล้ว

!

เขาได้มาถึงขีดจำกัดสุดเพดานของขอบเขตปราณแท้ขั้นที่เก้าแล้ว

พลังปราณของเขาล้นทะลักคอขวดทันทีและเคลื่อนเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตในที่สุด !

โดยทั่วไปผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้นั้นพลังปราณที่กักเก็บไว้ในตันเถียนจะควบแน่นดั่งพายุไซโคลนและหมุนวนอยู่ตลอดเวลา

แต่เมื่อทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตปราณจิต พลังต้นกำเนิดจะหมุนวนทะลุขีดจำกัดและควบแน่นเป็นพลังปราณเหลวซึ่งเปลี่ยนสถานะของมันเป็นดั่งหยดน้ำ

แต่สถานการณ์ของจี้เทียนซิงนั้นต่างออกไป

เขาไม่มีตันเถียน มีเพียงตัวอ่อนกระบี่ไว้กักเก็บพลังปราณเท่านั้น

ในปัจจุบันตัวอ่อนกระบี่ของเขาคือกระบี่แสงทองคำเล่มหนึ่ง แต่เมื่อเขามาถึงขีด จำกัดของขอบเขตปราณแท้ด้วยการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้าเส้น

ตัวอ่อนกระบี่ทองคำของเขาก็ปะทุพลังอันบ้าคลั่งออกมา

ภาพเสมือนของกระบี่ทองคำภายในร่างก่อเกิดพลังลมปราณราวกับไร้ที่สิ้นสุดและแข็งแรงทนทานมากขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นกระบี่ทองคำจำนวนมาก !

กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนจากการพัฒนาจากขอบเขตปราณแท้ไปสู่ขอบเขตปราณจิตของวิถีใจกระบี่

ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในขอบเขตนี้จะควบแน่นพลังลมปราณกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ

ส่วนของจี้เทียนซิงก็คือการที่ภาพเสมือนของตัวอ่อนกระบี่กลายเป็นสสารที่จับต้องได้

!

เวลายังคงผันผ่านไปและรัตติกาลก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดตัวอ่อนกระบี่ก็เสร็จสิ้นกระบวนการการเปลี่ยนแปลง

มันกลายเป็นกระบี่สีทองที่มีตัวตน

ขณะเดียวกันสภาพจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปและเริ่มมีสัมผัสญาณ

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ทะลวงด่านปราณจิตได้โดยสมบูรณ์

!

ตอนนี้มวลอารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านตื่นเต้น

สีหน้าแสดงออกอย่างโล่งอกโล่งใจ เขาปรับสภาพร่างกายและพลังปราณที่ยังคงปั่นป่วนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะหยุดการบ่มเพาะและลืมตาขึ้น

“เยี่ยม !  ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว !”

“ข้าบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ระดับที่สามได้สำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว  ในที่สุดข้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิต”

เพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์นี้

จี้เทียนซิงเดินไปที่มุมห้องลับและทาบฝ่ามือลงไปบนเสาหินเกลียวและโคจรพลังลมปราณจากฝ่ามือผ่านไปบนนั้น

เส้นสีดำของเสาหินเกลียวหมุนวนและส่องแสงสีทองออกมาในทันที

แสงสีทองแสดงออกถึงขอบเขตปราณจิตส่วนเส้นสายที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือข้อบ่งชี้ว่ายังอยู่ในขั้นที่หนึ่ง

จี้เทียนซิงถอนฝ่ามือออกอย่างพึ่งพอใจและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“หลังจากเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต

ข้าต้องบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่เพื่อพัฒนาสู่ขอบเขตปราณฟ้า  ข้าควรเข้าไปดูที่สุสานเซียนกระบี่เสียหน่อยดีกว่า”

เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็นั่งคุกเข่าและมุ่งความคิดไปที่หลุมดำที่อยู่เบื้องหลังตัวอ่อนกระบี่

“วูบ !”

จิตสำนึกของจี้เทียนซิงล่องลอยเข้าสู่สุสานเซียนกระบี่และมาถึงพื้นที่มืดมิดและเย็นเยียบ

เขาลอยตัวอยู่ในดินแดนรกร้าง

และหลังจากเห็นทิศทางที่คุ้นชินก็ลอยไปข้างหน้า

ในเวลาสั้นๆเขาก็มาถึงข้างใต้อนุสาวรีย์กระบี่

เขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงพลานุภาพของมือกระบี่อันดำมืดและองอาจมากขึ้น

อีกทั้งรัศมีที่ล้อมรอบอนุสาวรีย์กระบี่นั้นก็ยิ่งวิจิตรตระการตายิ่งกว่าเดิม

เห็นได้ชัดว่าการที่จิตกระบี่จางเทียนได้กลืนกินพลังขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตหลายต่อหลายครั้งทำให้มันได้รับผลประโยชน์มากมาย

จี้เทียนซิงมองไปที่อนุสาวรีย์กระบี่

จากนั้นก็เดินไปที่ป้ายหลุมฝังศพทางด้านซ้าย

เขาเพ่งมองมันและพบว่าตัวอักษรที่จารึกไว้บนป้ายหลุมฝังศพที่สามได้หายไปแล้ว

“ก่อนหน้านี้ข้าได้บ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นที่สาม  จนกระทั่งสำเร็จมันจึงหายไปสินะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก

จากนั้นก็เบนสายตาไปยังป้ายหลุมฝังศพป้ายที่สี่เพื่อศึกษาวิธีการบ่มเพาะบนนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้าใจส่วนสำคัญและเทคนิคบ่มเพาะของวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่  ซึ่งในขั้นนี้เขาต้องบรรเทาจุดฝังเข็มทั้งเจ็ดสิบสองจุด