ตอนที่ 259

ความลับของวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่

!

นานมาแล้วที่จี้เทียนซิงพบปัญหา หลังจากเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต

การบ่มเพาะตามวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่นั้นเป็นไปด้วยความเชื่องช้าอย่างมาก

เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตจะต้องใช้เวลาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เพียงพอในการทะลวงด่านแต่ละขั้น

ซึ่งกินเวลาอย่างน้อยก็หลายเดือนจนถึงปี

อย่างไรก็ตาม

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาค้นพบว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก

วิถีใจกระบี่เป็นอะไรที่พิเศษยิ่งและแตกต่างออกไปจากวิทยายุทธ์ทั่วๆไป

มันไม่อาจวัดได้ด้วยสามัญสำนึก

เขารู้สึกว่าการบ่มเพาะของตนนั้นไม่ถูกต้อง

ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงพัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้า

เขาจึงได้ขบคิดหาวิธีในระหว่างที่ปิดด่านบ่มเพาะก่อนหน้านี้ได้ความว่า

หากอยู่ในระหว่างการต่อสู้จริง

ผู้ฝึกจะสามารถระดมพลังลมปราณได้มากกว่าการนั่งบ่มเพาะอยู่เฉยๆ

เนื่องจากช่วงเวลานั้นการปะทุพลังอย่างฉับพลันจะส่งผลกระทบโดยตรงและกระตุ้นจุดฝังเข็มจนเกิดการบรรเทาขึ้นได้

แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาและไม่มีโอกาสที่จะยืนยัน

วันนี้

เขาได้ประมือกับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้และต้องรีดเค้นศักยภาพในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

สุดท้ายมันช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็ม

นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการคาดคะเนครั้งก่อนของเขานั้นถูกต้อง

!

ขั้นที่สี่ของวิถีใจกระบี่จะต้องอยู่ในการต่อสู้จริง

การต่อสู้ถึงชีวิตและรีดเค้นพลังทั้งมวลออกมาจะทำให้การบ่มเพาะรุดหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น

!

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความพึงพอใจและความประหลาดใจกับแนวทางการบ่มเพาะอันลึกซึ้งนี้

เขามองไปที่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ข้าเอาแต่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในนิกาย ที่นั่นสภาพแวดล้อมมั่นคงเกินไปและไร้คู่ต่อสู้

ดังนั้นข้าจึงไม่มีโอกาสได้พัฒนาความแข็งแกร่งจากการต่อสู้จริง แต่ตอนนี้มีนังปีศาจที่จ้องจะสังหารข้าด้วยพลังที่มากพอจะคุกคามชีวิตข้า

มันบีบคั้นให้ข้าต้องรีดเค้นศักยภาพทั้งมวลออกมา”

“นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับข้าฝึกฝน !”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

ชายหนุ่มก็ไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไปและปะทุปราณกระบี่สามเล่มออกมาโดยพลันเพื่อโคจรเพลงกระบี่ดาราเหิน

!

“คมมีดขนนกพันเล่ม !!”

เช้ง

! เช้ง ! เช้ง

!

ปราณกระบี่ทองคำสามเล่มโบยบินออกไปด้วยความรวดเร็ว

ทันทีที่ถึงเบื้องหน้าเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้มันก็แตกตัวออกเป็นคลื่นกระบี่เก้าสาย

ทันใดนั้นคลื่นกระบี่ทั้งเก้าก็เปล่งประกายมายากระบี่สีทองอันพร่างพราว

ซึ่งห่อหุ้มร่างของนางออกไว้

ในขณะนั้นเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กำลังปะทะกับฮ่าวเมิ่ง

นางโบกหัตถ์ปราณโลหิตคู่นั้นออกไปกระแทกเข้าใส่กระบี่ยักษ์สีแดงเพลิงของอีกฝ่ายอย่างดุดัน

ทั้งสองคนมีร่างกายที่สูงใหญ่เกือบสองเมตรและการโจมตีของพวกเขานั้นต่างก็ทรงพลังและรุนแรงอย่างยิ่งยวด

พวกเขาสองคนปะทะกันดุจสัตว์ป่าสองตัวที่ไม่มีใครยอมใคร

มันก่อให้เกิดเสียงอึกทึกดังสนั่นกึกก้องราวกับปฐพีถล่ม

ปึง

!

ปึง

!

ปึง  !!

เกิดเสียงดังเป็นระยะ

สืบเนื่องจากกระบี่ยักษ์ของฮ่าวเมิ่งได้ตวัดกระแทกกระทั้นสามครั้งติดต่อกันเพื่อต้านรับหัตถ์ปราณโลหิต

ระเบิดออกเป็นพลังอันรุนแรงที่สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ

ครืด.....  ครืด

ปึง  !!!.....

ในที่สุดร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน

ฮ่าวเมิ่งถอยรูดไปถึงแปดก้าวและกระแทกเข้ากับต้นไม้จนลำต้นหักโค่นก่อนที่จะหยุดลง

เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสด้วยสีหน้าม่วงคล้ำ

ปากจมูกเอ่อล้นไปด้วยเลือด หน้าผากสั่นกระตุกอย่างรุนแรง

“เด็กน้อย ตายซะ !”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ฉกฉวยโอกาสและลงมือตามติดทันควัน

หมายจะสังหารฮ่าวเมิ่ง ณ จุดนั้นทันที

แต่ในเวลานี้เอง

มายากระบี่ทองคำที่ปกคลุมทั่วท้องนภาได้พุ่งเข้าโจมตีนางอย่างบ้าคลั่ง !

“ฟิ้ว

ฟิ้ว  ฟิ้ว ฟิ้ว ....  !”

แม้นว่าเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้จะแข็งแกร่ง

รวดเร็วและมีเกราะป้องกันที่ทรงพลัง แต่อย่างไรก็ตามนางก็มิใช่เทพเซียนที่หอกดาบคมกระบี่ฟันแทงไม่เข้า

ดวงตา

ลำคอ หัวใจ หน้าผากและส่วนสำคัญอื่นๆยังคงเป็นจุดตายของนาง

หากถูกคลื่นกระบี่แทงทะลุ อย่างไรก็ต้องสิ้นชีพ

ดังนั้น

นางทำได้เพียงอาศัยพลังของเกราะปราณโลหิตเพื่อปกป้องจุดสำคัญและโบกมือปัดป่ายเงากระบี่คลุมฟ้าเหล่านี้

“ปง

ปง  ปง  !”

เกิดเสียงแตกหักดังเป็นระลอกมายากระบี่สีทองถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ

อย่างไรก็ตาม

การโจมตีของคลื่นกระบี่เก้าเล่มนั้นรวดเร็วเกินไป นางไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด

อีกทั้งยังไม่สามารถหลบหนีหรือซ่อนตัวได้

ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงห้าอึดใจ

คลื่นกระบี่ทั้งเก้าก็โจมตีออกไปถึงหนึ่งพันครั้ง

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ต้านรับการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ได้

แต่นางก็ถูกฟันแทงด้วยคลื่นกระบี่มากกว่าสองร้อยครั้ง !

ต่อให้นางมีเกราะปราณโลหิตก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีอันรุนแรงและรัวถี่ยิบเช่นนี้ได้หมดสิ้น

นางถูกกระแทกถอยไปถึงสามก้าวและเสื้อคลุมสีดำก็ถูกตัดจนเว้าแหว่งเป็นกองผ้าขี้ริ้ว

มีบางส่วนที่มองไม่เห็นบนร่างกายนางที่ได้รับบาดเจ็บ

โลหิตสีม่วงเข้มเริ่มไหลรินออกมา

“จี้..... เทียนซิง  !!

“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวน้อย ! ข้าจะถลกหนังเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ !”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เปี่ยมล้นไปด้วยโทสะพลันปะทุเงาโลหิตผันแปรออกมาอีกคำรบ

ซึ่งเปลี่ยนเป็นเส้นรุ้งลำแสงสีแดงเลือดที่พุ่งเข้าหาจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มจ้องมองไปที่อีกฝ่ายโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีและตระเตรียมใช้เพลงกระบี่ดาราเหินชุดที่สองออกมาทันที

“วายุ....... อัสนีบาต !!”

วิ้ง  !

วิ้ง  !

เขากระตุ้นปราณกระบี่สีทองสองเล่มออกมาจากมือซ้ายและมือขวาทันที

พวกมันลอยล่องรอบๆและพัดหมุนจนก่อเกิดเป็นลมพายุ

ตามมาด้วยสายฟ้าสีทองที่ผ่าฟาดเข้าใส่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

"เปรี้ยง  !!!!"

เสียงกัมปนาทดังขึ้นทันทีที่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าจี้เทียนซิง

นางได้รับการต้อนรับจากวายุอัสนีบาตรในบันดล

เกราะปราณโลหิตพังพินาศ

ณ จุดนั้นทันที และเงาร่างของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็ปรากฏขึ้น

ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าซวนเซ

ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย

เสื้อคลุมสีดำกลายเป็นเศษผ้าและกระจัดกระจายไปในพงหญ้า

จนกระทั่งถึงวันนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่จี้เทียนซิงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง

เมื่อไร้เสื้อคลุมหลวมโครกปกปิด

ปรากฏเรือนร่างของนางในเสื้อหนังรัดรูปสีดำ

องค์เอวบอบบาง ร่างผอมสูงและมีช่วงขาที่เรียวยาวเหยียดตรง

หากเปรียบเทียบกับสตรีของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เรือนกายของนางนั้นจัดว่าสมบูรณ์พร้อมและเร้าร้อนโดยแท้จริง

โดยเฉพาะเกราะหนังสีดำที่นางสวมใส่นั้นเข้ารูปและเผยสัดส่วนโค้งเว้าอันน่าตื่นตาออกมา

อย่างไรก็ตาม

ผิวของนางเป็นสีม่วงและดูแปลกประหลาดอย่างมาก

ที่สำคัญคือใบหน้าของนาง

, แม้จะมีดวงตา ปาก จมูกครบถ้วนสมบูรณ์ถูกต้อง

แต่สีที่ใบหน้ากลับเป็นสีม่วงอ่อนและมีดวงตาสีแดงเข้มเหมือนเลือด

ไร้ซึ่งความสวยงามโดยสิ้นเชิง

“จี้.... เทียน..... ซิง !!  เจ้าต้องตาย

วันนี้เจ้าต้องตาย !  ไม่มีใครช่วยเจ้าได้

!”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กรีดร้องอย่างขุ่นแค้น

โดยปกตินางมักจะสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าและเรือนร่างอยู่เสมอ

นางไม่เคยเผยใบหน้าแท้จริงต่อคนภายนอก โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์

วันนี้การโจมตีของจี้เทียนซิงทำลายเสื้อคลุมสีดำของนางหมดสิ้นจนบีบให้นางต้องปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริง  มันทำให้นางโกรธแค้นอย่างรุนแรง

นางคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและกลายเป็นหมอกเลือดที่พุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงอีกระลอก

คราวนี้ความเร็วของนางทะยานถึงขีดสุด

มันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

“วูบ !”

ทันทีที่หมอกเลือดเปล่งประกายวูบ

นางก็มาถึงเบื้องหน้าจี้เทียนซิงเป็นที่เรียบร้อย

ในพริบตาเดียวร่างก็นางก็ปรากฏขึ้นราวกับภูติพราย

ฝ่ามือสองข้างบีบอัดไว้ด้วยพลังปราณกลายเป็นหัตถ์ปราณโลหิตและกระแทกเข้าหาศีรษะของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้เห็นภาพนี้

ฮ่าวเมิ่งที่หมายจะเข้าไปช่วยก็ร่ำร้องเสียงหลงออกมาทันทีทันใด

“ศิษย์น้องจี้ ระวัง ! ”

เขาเข้าไปช่วยจี้เทียนซิงไม่ทันแล้ว

ทำได้เพียงภาวนาในใจลับๆหวังว่าอีกฝ่ายจะหนีรอดอันตรายครั้งนี้ไปได้

ในช่วงคับขันเป็นตาย

จี้เทียนซิงไม่มีเวลาพอจะใช้กระบวนท่าใดๆตอบโต้

เขาทำได้เพียงระเบิดศักยภาพของพลังชีวิตและใช้ย่างก้าวไร้เงาเพื่อหนีอย่างสิ้นหวัง

อย่างไรก็ตาม

ต่อให้เขารวดเร็วจนพุ่งทะยานออกไปเหลือเพียงภาพติดตาก็ตาม

แต่เขาก็ยังถูกการโจมตีของหัตถ์ปราณโลหิตอยู่ดี

"เปรี้ยง !!"

เสียงระเบิดดังขึ้น

ร่างของจี้เทียนซิงส่ายไปมาจนแทบจะล้มลงสิ้นสติกับพื้น

เขาถลาออกไปอีกนับสิบเมตรกว่าจะทรงตัวได้อย่างมั่นคง

เมื่อหันกลับไป มุมปากก็เต็มไปด้วยเลือดและใบหน้าซีดเซียวไร้สีสัน

อย่างไรก็ตาม

ถึงแม้ว่าจะได้บาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธแค้น

ดวงตาและมุมปากผุดยิ้มบางขึ้นสายหนึ่ง

เนื่องจากในช่วงเวลาเป็นตายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เขาบรรเทาชีพจรกระบี่จุดที่สามได้สำเร็จ

ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอีกครั้ง

บัดนี้เขาใกล้จะตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตขั้นที่สามแล้ว !