ความลับของวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่
!
นานมาแล้วที่จี้เทียนซิงพบปัญหา หลังจากเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต
การบ่มเพาะตามวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่นั้นเป็นไปด้วยความเชื่องช้าอย่างมาก
เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตจะต้องใช้เวลาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เพียงพอในการทะลวงด่านแต่ละขั้น
ซึ่งกินเวลาอย่างน้อยก็หลายเดือนจนถึงปี
อย่างไรก็ตาม
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาค้นพบว่านี่ไม่ใช่เหตุผลหลัก
วิถีใจกระบี่เป็นอะไรที่พิเศษยิ่งและแตกต่างออกไปจากวิทยายุทธ์ทั่วๆไป
มันไม่อาจวัดได้ด้วยสามัญสำนึก
เขารู้สึกว่าการบ่มเพาะของตนนั้นไม่ถูกต้อง
ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงพัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้า
เขาจึงได้ขบคิดหาวิธีในระหว่างที่ปิดด่านบ่มเพาะก่อนหน้านี้ได้ความว่า
หากอยู่ในระหว่างการต่อสู้จริง
ผู้ฝึกจะสามารถระดมพลังลมปราณได้มากกว่าการนั่งบ่มเพาะอยู่เฉยๆ
เนื่องจากช่วงเวลานั้นการปะทุพลังอย่างฉับพลันจะส่งผลกระทบโดยตรงและกระตุ้นจุดฝังเข็มจนเกิดการบรรเทาขึ้นได้
แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาและไม่มีโอกาสที่จะยืนยัน
วันนี้
เขาได้ประมือกับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้และต้องรีดเค้นศักยภาพในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย
สุดท้ายมันช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็ม
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการคาดคะเนครั้งก่อนของเขานั้นถูกต้อง
!
ขั้นที่สี่ของวิถีใจกระบี่จะต้องอยู่ในการต่อสู้จริง
การต่อสู้ถึงชีวิตและรีดเค้นพลังทั้งมวลออกมาจะทำให้การบ่มเพาะรุดหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น
!
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความพึงพอใจและความประหลาดใจกับแนวทางการบ่มเพาะอันลึกซึ้งนี้
เขามองไปที่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ข้าเอาแต่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในนิกาย ที่นั่นสภาพแวดล้อมมั่นคงเกินไปและไร้คู่ต่อสู้
ดังนั้นข้าจึงไม่มีโอกาสได้พัฒนาความแข็งแกร่งจากการต่อสู้จริง แต่ตอนนี้มีนังปีศาจที่จ้องจะสังหารข้าด้วยพลังที่มากพอจะคุกคามชีวิตข้า
มันบีบคั้นให้ข้าต้องรีดเค้นศักยภาพทั้งมวลออกมา”
“นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับข้าฝึกฝน !”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ชายหนุ่มก็ไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไปและปะทุปราณกระบี่สามเล่มออกมาโดยพลันเพื่อโคจรเพลงกระบี่ดาราเหิน
!
“คมมีดขนนกพันเล่ม !!”
เช้ง
! เช้ง ! เช้ง
!
ปราณกระบี่ทองคำสามเล่มโบยบินออกไปด้วยความรวดเร็ว
ทันทีที่ถึงเบื้องหน้าเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้มันก็แตกตัวออกเป็นคลื่นกระบี่เก้าสาย
ทันใดนั้นคลื่นกระบี่ทั้งเก้าก็เปล่งประกายมายากระบี่สีทองอันพร่างพราว
ซึ่งห่อหุ้มร่างของนางออกไว้
ในขณะนั้นเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กำลังปะทะกับฮ่าวเมิ่ง
นางโบกหัตถ์ปราณโลหิตคู่นั้นออกไปกระแทกเข้าใส่กระบี่ยักษ์สีแดงเพลิงของอีกฝ่ายอย่างดุดัน
ทั้งสองคนมีร่างกายที่สูงใหญ่เกือบสองเมตรและการโจมตีของพวกเขานั้นต่างก็ทรงพลังและรุนแรงอย่างยิ่งยวด
พวกเขาสองคนปะทะกันดุจสัตว์ป่าสองตัวที่ไม่มีใครยอมใคร
มันก่อให้เกิดเสียงอึกทึกดังสนั่นกึกก้องราวกับปฐพีถล่ม
ปึง
!
ปึง
!
ปึง !!
เกิดเสียงดังเป็นระยะ
สืบเนื่องจากกระบี่ยักษ์ของฮ่าวเมิ่งได้ตวัดกระแทกกระทั้นสามครั้งติดต่อกันเพื่อต้านรับหัตถ์ปราณโลหิต
ระเบิดออกเป็นพลังอันรุนแรงที่สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ
ครืด..... ครืด
ปึง !!!.....
ในที่สุดร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน
ฮ่าวเมิ่งถอยรูดไปถึงแปดก้าวและกระแทกเข้ากับต้นไม้จนลำต้นหักโค่นก่อนที่จะหยุดลง
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสด้วยสีหน้าม่วงคล้ำ
ปากจมูกเอ่อล้นไปด้วยเลือด หน้าผากสั่นกระตุกอย่างรุนแรง
“เด็กน้อย ตายซะ !”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ฉกฉวยโอกาสและลงมือตามติดทันควัน
หมายจะสังหารฮ่าวเมิ่ง ณ จุดนั้นทันที
แต่ในเวลานี้เอง
มายากระบี่ทองคำที่ปกคลุมทั่วท้องนภาได้พุ่งเข้าโจมตีนางอย่างบ้าคลั่ง !
“ฟิ้ว
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว .... !”
แม้นว่าเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้จะแข็งแกร่ง
รวดเร็วและมีเกราะป้องกันที่ทรงพลัง แต่อย่างไรก็ตามนางก็มิใช่เทพเซียนที่หอกดาบคมกระบี่ฟันแทงไม่เข้า
ดวงตา
ลำคอ หัวใจ หน้าผากและส่วนสำคัญอื่นๆยังคงเป็นจุดตายของนาง
หากถูกคลื่นกระบี่แทงทะลุ อย่างไรก็ต้องสิ้นชีพ
ดังนั้น
นางทำได้เพียงอาศัยพลังของเกราะปราณโลหิตเพื่อปกป้องจุดสำคัญและโบกมือปัดป่ายเงากระบี่คลุมฟ้าเหล่านี้
“ปง
ปง ปง !”
เกิดเสียงแตกหักดังเป็นระลอกมายากระบี่สีทองถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ
อย่างไรก็ตาม
การโจมตีของคลื่นกระบี่เก้าเล่มนั้นรวดเร็วเกินไป นางไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด
อีกทั้งยังไม่สามารถหลบหนีหรือซ่อนตัวได้
ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงห้าอึดใจ
คลื่นกระบี่ทั้งเก้าก็โจมตีออกไปถึงหนึ่งพันครั้ง
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ต้านรับการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ได้
แต่นางก็ถูกฟันแทงด้วยคลื่นกระบี่มากกว่าสองร้อยครั้ง !
ต่อให้นางมีเกราะปราณโลหิตก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีอันรุนแรงและรัวถี่ยิบเช่นนี้ได้หมดสิ้น
นางถูกกระแทกถอยไปถึงสามก้าวและเสื้อคลุมสีดำก็ถูกตัดจนเว้าแหว่งเป็นกองผ้าขี้ริ้ว
มีบางส่วนที่มองไม่เห็นบนร่างกายนางที่ได้รับบาดเจ็บ
โลหิตสีม่วงเข้มเริ่มไหลรินออกมา
“จี้..... เทียนซิง !!
”
“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวน้อย ! ข้าจะถลกหนังเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ !”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เปี่ยมล้นไปด้วยโทสะพลันปะทุเงาโลหิตผันแปรออกมาอีกคำรบ
ซึ่งเปลี่ยนเป็นเส้นรุ้งลำแสงสีแดงเลือดที่พุ่งเข้าหาจี้เทียนซิง
ชายหนุ่มจ้องมองไปที่อีกฝ่ายโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีและตระเตรียมใช้เพลงกระบี่ดาราเหินชุดที่สองออกมาทันที
“วายุ....... อัสนีบาต !!”
วิ้ง !
วิ้ง !
เขากระตุ้นปราณกระบี่สีทองสองเล่มออกมาจากมือซ้ายและมือขวาทันที
พวกมันลอยล่องรอบๆและพัดหมุนจนก่อเกิดเป็นลมพายุ
ตามมาด้วยสายฟ้าสีทองที่ผ่าฟาดเข้าใส่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
"เปรี้ยง !!!!"
เสียงกัมปนาทดังขึ้นทันทีที่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าจี้เทียนซิง
นางได้รับการต้อนรับจากวายุอัสนีบาตรในบันดล
เกราะปราณโลหิตพังพินาศ
ณ จุดนั้นทันที และเงาร่างของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็ปรากฏขึ้น
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าซวนเซ
ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย
เสื้อคลุมสีดำกลายเป็นเศษผ้าและกระจัดกระจายไปในพงหญ้า
จนกระทั่งถึงวันนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่จี้เทียนซิงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง
เมื่อไร้เสื้อคลุมหลวมโครกปกปิด
ปรากฏเรือนร่างของนางในเสื้อหนังรัดรูปสีดำ
องค์เอวบอบบาง ร่างผอมสูงและมีช่วงขาที่เรียวยาวเหยียดตรง
หากเปรียบเทียบกับสตรีของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เรือนกายของนางนั้นจัดว่าสมบูรณ์พร้อมและเร้าร้อนโดยแท้จริง
โดยเฉพาะเกราะหนังสีดำที่นางสวมใส่นั้นเข้ารูปและเผยสัดส่วนโค้งเว้าอันน่าตื่นตาออกมา
อย่างไรก็ตาม
ผิวของนางเป็นสีม่วงและดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ที่สำคัญคือใบหน้าของนาง
, แม้จะมีดวงตา ปาก จมูกครบถ้วนสมบูรณ์ถูกต้อง
แต่สีที่ใบหน้ากลับเป็นสีม่วงอ่อนและมีดวงตาสีแดงเข้มเหมือนเลือด
ไร้ซึ่งความสวยงามโดยสิ้นเชิง
“จี้.... เทียน..... ซิง !! เจ้าต้องตาย
วันนี้เจ้าต้องตาย ! ไม่มีใครช่วยเจ้าได้
!”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กรีดร้องอย่างขุ่นแค้น
โดยปกตินางมักจะสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าและเรือนร่างอยู่เสมอ
นางไม่เคยเผยใบหน้าแท้จริงต่อคนภายนอก โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์
วันนี้การโจมตีของจี้เทียนซิงทำลายเสื้อคลุมสีดำของนางหมดสิ้นจนบีบให้นางต้องปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริง มันทำให้นางโกรธแค้นอย่างรุนแรง
นางคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและกลายเป็นหมอกเลือดที่พุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงอีกระลอก
คราวนี้ความเร็วของนางทะยานถึงขีดสุด
มันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
“วูบ !”
ทันทีที่หมอกเลือดเปล่งประกายวูบ
นางก็มาถึงเบื้องหน้าจี้เทียนซิงเป็นที่เรียบร้อย
ในพริบตาเดียวร่างก็นางก็ปรากฏขึ้นราวกับภูติพราย
ฝ่ามือสองข้างบีบอัดไว้ด้วยพลังปราณกลายเป็นหัตถ์ปราณโลหิตและกระแทกเข้าหาศีรษะของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นภาพนี้
ฮ่าวเมิ่งที่หมายจะเข้าไปช่วยก็ร่ำร้องเสียงหลงออกมาทันทีทันใด
“ศิษย์น้องจี้ ระวัง ! ”
เขาเข้าไปช่วยจี้เทียนซิงไม่ทันแล้ว
ทำได้เพียงภาวนาในใจลับๆหวังว่าอีกฝ่ายจะหนีรอดอันตรายครั้งนี้ไปได้
ในช่วงคับขันเป็นตาย
จี้เทียนซิงไม่มีเวลาพอจะใช้กระบวนท่าใดๆตอบโต้
เขาทำได้เพียงระเบิดศักยภาพของพลังชีวิตและใช้ย่างก้าวไร้เงาเพื่อหนีอย่างสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม
ต่อให้เขารวดเร็วจนพุ่งทะยานออกไปเหลือเพียงภาพติดตาก็ตาม
แต่เขาก็ยังถูกการโจมตีของหัตถ์ปราณโลหิตอยู่ดี
"เปรี้ยง !!"
เสียงระเบิดดังขึ้น
ร่างของจี้เทียนซิงส่ายไปมาจนแทบจะล้มลงสิ้นสติกับพื้น
เขาถลาออกไปอีกนับสิบเมตรกว่าจะทรงตัวได้อย่างมั่นคง
เมื่อหันกลับไป มุมปากก็เต็มไปด้วยเลือดและใบหน้าซีดเซียวไร้สีสัน
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าจะได้บาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธแค้น
ดวงตาและมุมปากผุดยิ้มบางขึ้นสายหนึ่ง
เนื่องจากในช่วงเวลาเป็นตายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เขาบรรเทาชีพจรกระบี่จุดที่สามได้สำเร็จ
ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอีกครั้ง
บัดนี้เขาใกล้จะตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตขั้นที่สามแล้ว !
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved