ตอนที่ 6

ตอนที่

6 ปรมาจารย์เสวี่ย

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว

จี้เทียนซิงก็พาฮวนเอ๋อไปยังหอวิญญาณโอสถ

ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถม้าและพูดคุยกันสัพเพเหระเกี่ยวกับโอสถตัวใหม่ที่ปรมาจารย์เสวี่ยปรุงออกมา

จี้เทียนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮวนเอ๋อ การไปหอวิญญาณโอสถวันนี้คงมิเรียบง่ายนัก

เป็นไปได้ว่ามีตระกูลราชวงศ์อื่นๆมาด้วย”

ฮวนเอ๋อชม้ายตามองและถามว่า “คุณชายใหญ่ ท่านหมายถึง ?”

จี้เทียนซิงอธิบายว่า “เนื่องจากเม็ดยาระดับลมปราณที่ท่านปรมาจารย์เสวี่ยปรุงออกมาใหม่นั้นล้ำค่าเกินไป

นับประสาอะไรกับผู้ฝึกยุทธ์เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

แม้กระทั่งยอดฝีมือเขตแดนเชื่อมลมปราณก็ยังอยู่ไม่สุขด้วยซ้ำ”

“หากคนผู้นั้นสามารถครอบครองเม็ดยาระดับลมปราณ

ผู้ฝึกยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงก็จะมีความสามารถเพิ่มพูนสูงขึ้นและเข้าสู่เขตแดนเชื่อมลมปราณได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”

“เท่าที่ข้าทราบมา

โอสถแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ โอสถทั่วไป, โอสถระดับต้นกำเนิด, โอสถระดับลมปราณ

แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำไปถึงจนถึงขั้นดีที่สุด เช่นเดียวกับข้า

ข้ามักจะกินโอสถระดับต้นกำเนิดเป็นประจำ

ในทุกๆเดือนข้าใช้จ่ายร่วม 20000

เหรียญเงินเพื่อโอสถเหล่านั้น ส่วนโอสถระดับลมปราณนั้นยิ่งแพงกว่า

นอกจากนั้นมันยังเป็นโอสถที่ปรุงออกมาโดยท่านปรมาจารย์เสวี่ย

ข้าเกรงว่าแม้จะยอมจ่าย 100,000 เหรียญเงินต่อเม็ดท่านก็อาจจะไม่ยอมขายให้ข้าด้วยซ้ำ...

"

“โอสถเม็ดเดียวกับมีมูลค่ามากกว่า

100,000 เหรียญเงิน ? ด้วยเงินจำนวนนี้สามารถซื้อบ้านในเมืองจักรวรรดิได้นับสิบหลังเลยนะคะคุณชายใหญ่

!”

ฮวนเอ๋ออุทานด้วยความตกตะลึง

นางอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

จี้เทียนซิงเพียงยิ้มบางและไม่กล่าวอันใด

หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็มาถึงที่หอวิญญาณโอสถและหยุดที่หน้าประตูทางเข้า

จี้เทียนซิงและฮวนเอ๋อยังไม่ทันลงจากรถม้าก็ได้ยินเสียงดังเอะอะพูดคุยกันที่หน้าประตูแล้ว

เขาเดินลงจากรถม้าและได้เห็นว่ามีคนมากกว่าสี่สิบคนที่อยู่ด้านนอกประตูหอวิญญาณโอสถ คนเหล่านี้ล้วนเป็นขุนนางตระกูลใหญ่ในเมืองจักรวรรดิ

ทุกคนล้วนแต่งกายอย่างเลิศหรูงดงาม

จี้เทียนซิงเพียงจ้องมองอย่างสบายๆเล็กน้อยและได้เห็นลูกหลานตระกูลขุนนางจำนวนมากที่รู้จักกัน

พวกเขาต่างถือกล่องของขวัญหรูหราเอาไว้ในมือ

ถึงแม้ว่าประตูทางเข้าหอวิญญาณโอสถจะเปิดอยู่ แต่ก็ยังมีชายชุดดำสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทำให้ผู้คนนับสี่สิบคนที่มาออกันต่างกล้าเข้าไปข้างในอย่างผลีผลาม

พวกเขาทั้งหมดทำได้เพียงยืนรอคิวที่ประตูเท่านั้น

เมื่อจี้เทียนซิงลงจากรถม้าและพาฮวนเอ๋อไปที่ประตู

ทันทีที่ฝูงชนได้เห็นภาพนี้ต่างก็หันศีรษะไปมองอย่างเย้ยหยัน

“ฮ่าๆๆ…ทุกคนดูนั่นสิ

คุณชายใหญ่สกุลจี้อยู่นี่ !”

“เหอเหอ

อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรวรรดิกลับกลายเป็นคนไร้ค่าในชั่วข้ามคืนแถมยังถูกสกุลหลิงปฏิเสธ

เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน"

“หากเป็นข้าคงฆ่าตัวตายหนีความอัปยศไปแล้ว

!”

"เจ้าโง่หรือไง

? ทำไมต้องฆ่าตัวตาย  ด้วยความงามของแม่นางน้อยฮวนเอ๋อ เจ้าสามารถมีความสุขกับการปรนนิบัติบนเตียงของนางได้ทุกค่ำคืนไปจนตาย

!”

เหล่าชนชั้นสูงต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องจี้เทียนซิงและเยาะเย้ยเขา

ยามมีพลังอำนาจพวกมันจะเคารพนอบน้อมและนับหน้าถือตาท่าน แต่ยามที่ท่านตกระกำลำบาก

พวกมันจะยิ่งซ้ำเติมท่าน !

พวกมันมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่น

จี้เทียนซิงยังคงสงบนิ่งและไม่สนใจเสียงนกเสียงกา

เขาเดินไปที่ประตูโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนและกล่าวกับยามเฝ้าประตูในชุดดำว่า “รบกวนพี่ท่าน

ช่วยแจ้งต่อท่านปรมาจารย์เสวี่ยได้หรือไม่ว่าจี้เทียนซิงมาเยี่ยมเยียน”

ยามชุดดำจ้องมองไปที่เขาและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า

“รอซักครู่” จากนั้นก็หันกลับไปที่หอวิญญาณโอสถเพื่อรายงาน

ในขณะเดียวกันที่ห้องโถงรับรองของหอวิญญาณโอสถ

ปรมาจารย์เสวี่ยผู้สวมเสื้อคลุมสีม่วงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักขณะจิบชาสนทนากับแขกคนหนึ่ง

ปรมาจารย์เสวี่ยมีอายุประมาณหกสิบปี ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีขาว

เคราของเขายาวห้อยจนถึงหน้าอก ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็มีพลังในขั้นเขตแดนเชื่อมลมปราณ

นอกจากนี้เขามักจะกินโอสถบำรุงเป็นประจำจนทำให้ใบหน้ายังเป็นสีแดงดั่งดอกกุหลาบและดูเหมือนชายกลางคนที่มีอายุเพียง

40 ปีเท่านั้น

แขกที่นั่งถัดจากเขาเป็นดรุณีน้อยในชุดสีขาว รูปลักษณ์งามสง่าดั่งนางอัปสร

ท่วงท่าการเคลื่อนไหวดูเรียบร้อยเป็นกุลสตรีที่อ่อนโยน

นางถือกล่องของขวัญหยกสีขาวหรูหราเอาไว้ในมือและส่งไปที่หน้าปรมาจารย์เสวี่ย  นางยิ้มด้วยรอยยิ้มอันเฉิดฉายและกล่าวว่า “ท่านปรจารย์เสวี่ย

หยุนเฟยทราบว่าท่านเพิ่งออกจากการเก็บตัวเมื่อคืนนี้จึงรีบร้อนมาเยือนเพื่อแสดงความยินดีแต่เช้า"

“ผลบัวหยกพันปีทั้งสองนี้ขอมอบเป็นของขวัญเล็กน้อยให้ท่านปรมาจารย์”

ปรมาจารย์เสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นในฉับพลัน

ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยสีสันแปลกตาและรับกล่องหยกมาด้วยรอยยิ้ม

“ไอหยา, หลานหยุนเฟยช่างเป็นเด็กสาวที่จิตใจงดงามจริงๆ !”

“ผลบัวหยกพันปีเป็นวัตถุดิบปรุงยาชั้นสูงที่ได้มาด้วยโชคเท่านั้น

มิอาจหาพบได้ง่ายๆ หลานหยุนเฟยยังสามารถมีถึงสอง

โชควาสนาของหลานหยุนเฟยทำให้ข้าอิจฉานัก”

หลิงหยุนเฟยยิ้มจางๆและกล่าวว่า “มีคำกล่าวว่ามือกระบี่คือวีรบุรุษ

แต่นักปรุงโอสถระดับสูงที่สมเป็นวีรบุรุษก็มีเพียงปรมาจารย์เสวี่ยเท่านั้น

ท่านปรมาจารย์เสวี่ยกับสกุลหลิงของพวกเรามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา

หยุนเฟยมาเยือนผู้อาวุโสในนามของท่านพ่อด้วย ดังนั้นของขวัญเล็กน้อยนี้

ท่านมิต้องเกรงใจ”

“ฮ่าๆๆ…

เช่นนั้นตาแก่ผู้นี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว

ขอบใจหลายหลุนเฟยมาก”

ปรมาจารย์เสวี่ยหัวเราะเสียงดังด้วยความอิ่มอกอิ่มใจและหยิบขวดหยกสีขาวออกจากแขนเสื้อ

“หลานหยุนเฟย

นี่คือเม็ดยาสะสมวิญญาณสองเม็ดที่ตาแก่คนนี้ปรุงขึ้นเมื่อคืน

ด้วยเม็ดยาพวกนี้เจ้าจะสามารถเพิ่มพูนทักษะของเจ้าได้อย่างแน่นอนและช่วยให้เจ้าได้เข้านิกายหนุนสวรรค์ได้สำเร็จ”

หลิงหยุนเฟยเผยยิ้มอันอ่อนหวานและรับของขวัญมาจากปรมาจารย์เสวี่ย

นางรับขวดหยกสีขาวมาและกล่าวขอบคุณ

ในเวลานี้เอง

ยามเฝ้าประตูชุดดำก็เดินเข้ามาในห้องโถง

หลังจากทำความเคารพต่อปรมาจารย์เสวี่ยแล้วก็รายงานว่า “เรียนท่านปรมาจารย์, คุณชายใหญ่สกุลจี้

จี้เทียนซิงมาขอพบท่านขอรับ”

“จี้เทียนซิง

?”

ปรมาจารย์เสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน “เขามาด้วยกิจธุระอันใด ?”

จากนั้นก็หันไปมองที่หลิงหยุนเฟย

หลิงหยุนเฟยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยและดวงตาของนางก็พาดผ่านไปด้วยอาการสบประมาท

นางเผยยิ้มอย่างรวดเร็วและอธิบายต่อปรมาจารย์เสวี่ยว่า

“ท่านปรมาจารย์เสวี่ย

ท่านเก็บตัวมาสามเดือนและเพิ่งออกมาเมื่อคืน

บางทีท่านอาจจะไม่รู้จักจี้เทียนซิง...”

หลิงหยุนเฟยใส่ร้ายจี้เทียนซิงทันทีและบอกว่าเขาเป็นขยะไร้ค่า

อีกทั้งยังเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับนางก่อน

สีหน้าปรมาจารย์เสวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นโกรธกริ้วในฉับพลันและตะโกนใส่ยามชุดดำว่า

“เอามันออกไป !

ขยะไร้ค่าที่สูญเสียพลัง ยังมีหน้ามาขอให้ข้าช่วยอีกงั้นหรือ?”

“รับทราบขอรับ

!”

ยามชุดดำป้องมือรับคำสั่ง

และหันหลังเดินออกไปจากห้องโถงทันที

......

จี้เทียนซิงยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าหอวิญญาณโอสถอย่างสงบเสงี่ยมและอดทน

แม้จะยังคงมีเสียงกระซิบกระซาบอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ของผู้คนข้างๆ แต่เขาก็ทำหูทวนลมและพยายามระงับความโกรธในใจเอาไว้

เขารู้ดีว่าเมื่อตอนที่เขายังคงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ

เหล่าชนชั้นสูงพวกนี้ทำได้เพียงชม้อยตามองเขาอย่างเทิดทูนและไม่กล้าหายใจแรงให้เขาขุ่นเคืองด้วยซ้ำ

ในอดีตเหล่ารุ่นเยาว์ผู้มีอำนาจในเมืองเหล่านี้ล้วนแต่โค้งคำนับและทักทายด้วยความปลื้มปิติ

แต่ตอนนี้เขาสูญเสียพลังบ่มเพาะและกลายเป็นขยะไร้ค่า

พวกมันกลับหัวเราะเยาะและดูถูกเขา

นี่คือสัจจะธรรมและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ !

ในเวลานี้เองยามชุดดำก็กลับมาที่ประตูทางเข้า

เขามองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเฉยเมยและกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น

ท่านปรมาจารย์ไม่อยากเสียเวลาพบเจ้า !”

เหล่าชนชั้นสูงที่อยู่รอบๆต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะและยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่น

ใบหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

สองมือข้างกายกำหมัดไว้แน่นจนเล็บจิกเข้าไปในมือ

ใบหน้าที่น่ารักสดใสของฮวนเอ๋อกลายเป็นสีขาวซีดและตะโกนใส่ยามชุดดำว่า

“เจ้า !  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดกับใคร ?! นี่คือคุณชายใหญ่สกุลจี้...”

ฮวนเอ๋อยังไม่ทันพูดจบ ยามชุดดำก็ส่งเสียงหัวเราะและกล่าวอย่างไม่แยแสว่า

“ทำไมข้าจะไม่รู้

คุณชายใหญ่สกุลจี้ จี้เทียนซิง”

“ตอนนี้ทุกคนทั่วทั้งเมืองจักรวรรดิต่างก็รู้จักเขา

อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองที่มีพลังในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่สาม โอ้.....”

ฮวนเอ๋อตัวสั่นเทาในทันที

นางขบกรามแน่นเดินไปเตรียมจะสั่งสอนยามชุดดำ

จี้เทียนซิงมีสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า “ฮวนเอ๋อ ช่างมันเถิด พวกเรากลับกันได้แล้ว”

ฮวนเอ๋อร่ำร้องใส่ยามชุดดำจากนั้นนางก็ตามหลังจี้เทียนซิงไป

อย่างไรก็ตาม

ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินฝ่าฝูงชนก็มีชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูหรูหราขวางทางเอาไว้