ตอนที่ 240

พยัคฆ์ขาวเนตรทอง

สัตว์วิญญาณระดับนั้นเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตปราณโอสถ

แม้กระทั่งสวนหลิงโซ่วยังมีแค่สัตว์วิญญาณระดับสามเท่านั้นไม่มีระดับสี่ จี้เทียนซิงเคยได้ยินจากหยุนเหยามาก่อนว่า ทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์มีสัตว์วิญญาณระดับสี่เพียงแค่สองตัวเท่านั้น

ตัวหนึ่งคือสัตว์วิญญาณของฉู่เทียนเซิงและอีกตัวหนึ่งเป็นของผู้คุมกฎแดนต้องห้าม

ในดินแดนดาราบรรพกาล

สัตว์วิญญาณระดับสี่นั้นหาได้ยากมากและแทบจะไม่มีผู้ใดพบเห็นมาก่อน

แม้แต่เจ็ดนิกายใหญ่ที่เหลือก็ยังมีสัตว์วิญญาณระดับสี่แค่ตัวเดียวเท่านั้น

!

ภาพที่เห็นทำให้จี้เทียนซิงไม่อยากเชื่อสายตา

นี่คือพยัคฆ์ขาวเนตรทอง สัตว์วิญญาณระดับสี่ !

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อพลางขบคิดในใจว่า

“แบบนี้...... ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”

แน่นอนว่าสัตว์วิญญาณระดับสี่นั้นหาได้ยากและยากจะพบเจอ

แต่ความแข็งแกร่งของมันนั้นมีมากมายนักและพอจะเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณโอสถ

จี้เทียนซิงคิดในใจว่า

หากเขาจะจับมันจริงๆด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้จะมีโอกาสสำเร็จหรือไม่ ?

“ความแข็งแกร่งของพยัคฆ์ขาวเนตรทองนี้เท่ากับระดับปราณโอสถ

หากไม่หนักมือก็คงไม่สามารถเอาชนะมันจนทำให้มันยอมรับได้

แต่โชคดีที่สัตว์วิญญาณมีความคิดที่คล้ายคลึงกับมนุษย์

โดยเฉพาะมันเป็นสัตว์วิญญาณระดับสูง ความฉลาดย่อมสูงพอที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง...”

“ข้าต้องหาวิธีเอาชนะและทำให้มันยอมรับโดยไม่สร้างความขัดแย้ง”

ในขณะนี้เองพยัคฆ์ขาวเนตรทองก็ก้าวเข้าไปในพื้นที่เปิดโล่งและจ้องมองไปที่ร่างของอีแร้งมงกุฏทองที่อยู่บนแผ่นหิน  มันเผยสีหน้างุนงงออกมา

เห็นได้ชัดว่ามันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของรัศมีพลังในบริเวณนี้อย่างรุนแรง

แต่กลับมีกลิ่นอายของสัตว์วิญญาณเพียงเล็กน้อย

มันจ้องไปที่ร่างของอีแร้งมงกุฎทองด้วยความสงสัยและค่อยๆเดินไปรอบๆก้อนหิน

พลางพยายามคิดให้ออกว่าสิ่งนี้คืออะไร

โดยไม่รู้ตัว

พยัคฆ์ขาวเนตรทองก็ก้าวเข้ามาสู่ภาพลวงตา

เมื่อมันมาถึงหินก้อนใหญ่และเข้าหาร่างของอีแร้งมงกุฎทอง

อาคมลวงตาก็ถูกเปิดใช้งานในที่สุด

“วูบ !”

ในขณะนั้นเองภาพลวงตาก็ส่องแสงสีทองที่เปล่งประกายและก่อให้เกิดม่านแสงสีทองที่ปกคลุมรัศมี

20 เมตรในทันที

พยัคฆ์ขาวเนตรทองยังไม่ทันจะได้ตอบสนองก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงสีทองเสียแล้ว

ข่ายอาคมลวงตาสามารถเลียนแบบกลิ่นอายของสัตว์วิญญาณและยังเป็นข่ายอาคมกับดักอีกด้วย

มันทำให้เกิดแรงกดทับอย่างรุนแรงในพื้นที่และตรึงร่างของพยัคฆ์ขาวเนตรทองเอาไว้แน่น

พยัคฆ์ขาวเนตรทองรู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว

ดวงตาของมันเผยให้เห็นถึงความโกรธอย่างรุนแรง

โฮก  !!  โฮก  !!!

มันส่งเสียงคำรามและร่ำร้องดังกึกก้องจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวและทำให้ต้นไม้ซึ่งมีความสูงกว่า

100 เมตรได้รับผลกระทบ

กิ่งก้านใบของมันเริ่มหลุดร่วงลงมาจากต้น

จี้เทียนซิงเบิกตากว้างเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจอย่างฉับพลันและอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องออกมาว่า

“พยัคฆ์ขาวเนตรทองช่างทรงพลังยิ่งนัก !”

ในช่วงเวลาต่อมาดวงตาของพยัคฆ์ขาวเนตรทองก็สว่างโร่ขึ้นด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นและพยายามดิ้นรน

มันส่งเสียงแหลมต่ำและระเบิดพลังออกมาต่อต้านให้หลุดพ้นจากการกดทับของข่ายอาคม

แม้นว่าข่ายอาคมลวงตาจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์และปลดปล่อยแรงกดทับมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ก็มิใช่ว่าจะคงอยู่ได้ตลอดไป

พยัคฆ์ขาวเนตรทองเดินวนไปวนมาในม่านแสงสีทองและบางครั้งก็ยื่นกรงเล็บขนาดใหญ่ออกมากระแทกเข้าใส่กำแพงสีทองอย่างรุนแรง

“ปึง !  ปึง !  ปึง !”

เสียงระเบิดดังลั่นจนทำให้ม่านแสงสั่นไหวและแกว่งไปมาอย่างรุนแรง

อีกทั้งชั้นลำแสงจางๆที่ปกคลุมทั่วร่างของพยัคฆ์ขาวเนตรทองก็เริ่มสั่นเป็นระลอกคลื่นราวกับว่าข่ายอาคมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ

เมื่อเห็นภาพนี้

จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่อย่างกระวนกระวาย

เขารีบวิ่งไปที่ข่ายอาคมลวงตาพร้อมกับเสี่ยวเฮยหลง

จากนั้นก็โคจรพลังปราณบีบอัดเข้าไปเสริมพลังข่ายอาคมอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “เสี่ยวเฮยหลง ช่วยข้าเสริมพลังอาคมด้วย อย่าปล่อยให้พยัคฆ์ขาวเนตรทองหนีไปได้

!”

“จัดไป สหายจี้ !”

เสี่ยวเฮยหลงพยักหน้าและตอบรับ

จากนั้นก็ขยายกรงเล็บมังกรของมันอย่างรวดเร็วและอัดพลังเข้าสู่ข่ายอาคม

ข่ายอาคมลวงตานั้น

เดิมทีกำลังจะถูกพลังอันมหาศาลของพยัคฆ์ขาวเนตรทองทลาย หลังจากได้รับการเสริมพลังจากจี้เทียนซิงและเสี่ยวเฮยหลง

ทันใดนั้นพลังของมันก็เพิ่มขึ้นและม่านแสงสีทองที่ปกคลุมพยัคฆ์ขาวเนตรทองไว้ก็หนาแน่นขึ้น

พยัคฆ์ขาวเนตรทองหยุดดิ้นรนและจ้องมองจี้เทียนซิงกับเสี่ยวเฮยหลงอย่างเคร่งขรึม มันก้าวช้าๆอย่างมั่นคงและปลดปล่อยพลังอำนาจที่รุนแรงน่าเกรงขามออกมา

ถึงแม้ว่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองจะเป็นสัตว์วิญญาณตัวหนึ่ง

แต่มันก็ทรงพลังเทียบเท่ากับราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์

จี้เทียนซิงเห็นว่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองตัวนี้ดูเหมือนจะมีสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิด

เขาเริ่มครุ่นคิดได้บางอย่างและพยายามจะสื่อสารกับมัน

น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นผู้ควบคุมสัตว์วิญญาณและไม่รู้วิธีในการแผ่สัมผัสญาณออกไปสื่อสารกับสัตว์วิญญาณ

ดังนั้นเขาทำได้เพียงใช้การแสดงออกที่นุ่มนวลอ่อนโยนเพื่อพยายามแสดงให้พยัคฆ์ขาวเนตรทองเห็นว่า

เขาไม่ได้มาร้าย

อย่างไรก็ตามพยัคฆ์ขาวเนตรทองสงบลงเพียงชั่วครู่เท่านั้น

มันหมดความอดทนในที่สุดและส่งเสียงคำรามใส่จี้เทียนซิงราวกับเป็นการเตือน  จากนั้นก็กระแทกอุ้งเท้าคู่หน้าใส่ม่านแสงของข่ายอาคม

ไม่เพียงแค่นั้น

มันเปิดปากกว้างดั่งกระถางธูปและควบแน่นพลังปราณออกมาเป็นเปลวเพลิงสีน้ำตาลเหลืองและโจมตีเข้าใส่ม่านแสง

เปลวเพลิงสีน้ำตาลเหลืองมีพลังในการทำลายล้างปฐพีและแผดเผาผืนดิน

มันก่อให้เกิดบรรยากาศอันรุนแรง

ถึงแม้จะมีม่านแสงกับดักขวางกั้น

แต่จี้เทียนซิงก็ยังต้องหน้าเหวอด้วยความตกใจ

“ตูม !!”

แสงจากเปลวไฟกระแทกเข้ากับม่านแสงจนเกิดเสียงดังสนั่น

ในขณะนั้นกลุ่มแสงจากเปลวไฟก็ระเบิดออกและไปครอบคลุมพื้นที่สิบเมตรรอบๆ

ม่านแสงของข่ายอาคมลวงตาระเบิดในทันทีตามมาด้วยรอยร้าวปริแตก หลังจากการสั่นสะเทือนอันรุนแรงข่ายอาคมภาพลวงตาก็พังทลายสิ้น

พยัคฆ์ขาวเนตรทองหลุดพ้นจากภาพลวงตาและกลับมามีอิสระในที่สุด

“วูบ !”

มันวิ่งไปที่ด้านล่างของภูเขาด้วยความรวดเร็วดั่งสายฟ้า

จนกระทั่งพุ่งทะยานไปได้ 100 เมตรภายในพริบตา

จี้เทียนซิงรู้สึกตัวช้าไปหลังจากที่ได้เห็นข่ายอาคมลวงตาสลายไป  หลังคืนสติได้เขาก็ตะโกนออกมาทันทีว่า “เสี่ยวเฮยหลง ตามไป !”

กว่าเขาจะได้พบสัตว์วิญญาณระดับสี่ก็ต้องรอคอยถึงสองวัน

อีกทั้งยังต้องสูญเสียพลังวางข่ายอาคม

เขาจะยอมปล่อยให้พยัคฆ์ขาวเนตรทองหนีรอดไปได้อย่างไร ?

เสี่ยวเฮยหลงรีบหอบร่างพาจี้เทียนซิงไล่ล่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองในทันที ถึงแม้ว่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองจะสัตว์วิญญาณระดับสี่ที่แข็งแกร่งละคล่องแคล้วรวดเร็วมาก

แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่สามารถบินได้

ต่อให้มันคุ้นเคยกับภูมิประเทศเพียงใดก็ยังไม่อาจไวไปกว่าเสี่ยวเฮยหลงที่บินบนฟ้า

“ตูม ! ตูม

!  ตึง

!!”

ด้านหลังของเส้นทางที่พยัคฆ์ขาวเนตรทองวิ่งผ่านเกิดเป็นภาพติดตาสีขาว

ไม่รู้ว่ามีต้นไม้ใหญ่น้อยกี่ต้นแล้วที่ถูกทำลายตลอดทาง

เสี่ยวเฮยหลงบินตามมันอยู่บนท้องฟ้าร่วมครึ่งชั่วยามจนข้ามภูเขาไปครึ่งลูก

ก่อนที่หยุดชะงักลง

ด้วยเหตุนี้พยัคฆ์ขาวเนตรทองจึงหนีรอดเข้าไปในถ้ำสีแดงที่อยู่เบื้องหน้าได้และหายลับตาไปในที่สุด

ซึ่งทางเข้าถ้ำแห่งนั้นเป็นวงโค้งเหมือนประตูบานหนึ่งและมีก้อนหินสีแดงเข้มที่อยู่ข้างประตูเปล่งแสงสลัวๆออกมาอย่างผิดธรรมชาติ