ตอนที่ 217

ข่ายปราณระดับสวรรค์ขั้นสูงสุด

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

จี้เทียนซิงออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกร

เขาวิ่งไปตลอดทางและใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะถึงภูเขามังกร

ที่เชิงเขามีทีมรักษาการคอยลาดตระเวนอยู่ แต่ละทีมจะมีสิบคนและเป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตปราณจิตขึ้นไปทั้งสิ้น

ชายหนุ่มปีนขึ้นเขาไปตามทางเดินหินสีฟ้าและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าถ้ำที่ซึ่งมีการเปิดทำเหมือง

ที่ถ้ำแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หน่วยรักษาความปลอดภัยมากกว่า

20 คน แต่ยังมีผู้ดูแลอีกสองคนที่คอยสอดส่องสถานการณ์อีกด้วย

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังจะเดินเข้าไปในถ้ำ

เขาก็ถูกผู้ดูแลขวางทางเอาไว้

ดังนั้นเขาจึงชูป้ายคำสั่งสวรรค์ขึ้นมาและอธิบายต่อผู้ดูแล

ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไป

ภายในถ้ำเต็มไปด้วยทางแยกมากมาย

อีกทั้งได้มีการเพิ่มตะเกียงหินขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เหมืองดูสว่างไสวมากขึ้น

จี้เทียนซิงเดินลึกลงใต้ดิน

ตลอดทางเขาได้พบยามประจำการภายในเหมืองตลอดเส้นทาง

ส่วนศิษย์รับใช้ที่มีหน้าที่ขุดหาแร่ถูกอพยพออกไปหมดสิ้นแล้ว

“ดูเหมือนว่านิกายจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุสานโบราณ คุณค่าของสุสานโบราณนั้นยิ่งใหญ่กว่าสินแร่ของภูเขามังกรทั้งลูกเสียอีก

!”

เมื่อได้เห็นภาพนี้จี้เทียนซิงก็ทอดถอนใจอย่างเงียบงัน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ชายหนุ่มก็มาถึงจุดที่ลึกที่สุดนั่นก็คือขอบหน้าผาอันมืดมิด

บนขอบหน้าผามีผู้ดูแลสองคนและผู้พิทักษ์มากกว่าสิบคนที่คอยปกป้องพื้นที่แห่งนี้

จี้เทียนซิงครุ่นคิดในใจว่าจะลงไปก้นผาได้อย่างไร

หน้าผาแห่งนี้สูงชันเป็นกิโลและราบเรียบอย่างมาก

ไม่มีจุดไหนให้เกาะก่ายหรือเป็นฐานยืน

อย่างไรก็ตาม

หลังจากพูดคุยกับผู้ดูแลทั้งสอง เขาก็ได้ทราบว่าทางนิกายได้แก้ปัญหานี้แล้ว  ซึ่งที่ขอบผามีบันไดเชือกสองเส้นที่ทอดยาวลงไปจนถึงก้น

ทำให้ผู้คนสามารถขึ้นลงได้อย่างสะดวก

หลังจากผ่านไม่นาน

จี้เทียนซิงก็ไต่เชือกลงมาถึงก้นหน้าผาได้ในที่สุด

เขารีบเดินผ่านทางเดินโบราณอันมืดมิด, ผ่านจัตุรัสที่ทรุดโทรม

ในที่สุดก็มาถึงสุสาน

เขายืนอยู่ที่ขอบจัตุรัสทรุดโทรม

สายตาจับจ้องไปที่มหาข่ายปราณระดับสวรรค์และหลุมฝังศพที่อยู่ด้านหน้า เขาได้เห็นว่ารอบๆมหาข่ายปราณเต็มไปด้วยเงาร่างมากมายที่กำลังพยายามอย่างหนัก

รอบๆนั้นเต็มไปด้วยยอดฝีมือนับสิบคน, ห้าผู้อาวุโสในชุดสีม่วงและผู้ดูแลชุดดำอีกเจ็ดถึงแปดคน

ยอดฝีมือกลุ่มนั้นกำลังสังเกตการอยู่รอบๆข่ายปราณ

บ้างก็โคจรพลังปราณเพื่อสำรวจจุดที่มีการตอบสนอง บ้างก็เดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด

ข่ายปราณที่โอบล้อมสุสานโบราณยังคงส่องแสงตระการตาและเต็มไปด้วยพลังปราณอันผันผวน

จี้เทียนซิงสังเกตไปที่เหล่าอาวุโสและผู้ดูแลเหล่านั้นพลางส่งสัญญาณเสียงในใจว่า

“ผู้อาวุโสจางเทียน

ข้าอยู่ตรงหน้ามหาข่ายปราณระดับสวรรค์แล้ว ท่านดูได้เลย”

จางเทียนไม่ได้กล่าวอันใด

แต่จี้เทียนซิงสามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังลอบสังเกตการอยู่ในร่างของเขา

ในเวลานี้เองผู้อาวุโสชุดม่วงคนหนึ่งก็เห็นจี้เทียนซิงและรีบเดินมาหาอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงหันไปมองและพบว่าผู้อาวุโสท่านนั้นก็คือชูไฮว่ซานนั่นเอง  อีกฝ่ายมาถึงก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จี้เทียนซิง เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน ?”

จี้เทียนซิงโค้งคำนับและอธิบายว่า

“ผู้อาวุโสชู ศิษย์คาใจเกี่ยวกับสุสานแห่งนี้

ดังนั้นวันนี้ถึงได้มาดูสถานการณ์ใกล้ๆ”

“อ้อ ?”

ชูไฮว่ซานพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรต่อไป

หากเปลี่ยนเป็นศิษย์ทั่วไป

ไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้เข้าใกล้สุสานโบราณแห่งนี้

แต่ทว่าจี้เทียนซิงมีสถานะที่ต่างออกไป เขาไม่เพียงเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกเท่านั้น

แต่ยังเป็นศิษย์ที่ประมุขนิกายจับตามองอีกด้วย

ชูไฮว่ซานกล่าวต่อไปว่า

“จี้เทียนซิง

หากเจ้าคิดจะศึกษาการทำงานของมหาข่ายปราณก็ตามสบาย แต่อย่าได้เข้าไปใกล้มากนัก

จะได้ไม่รบกวนเหล่าผู้อาวุโส”

จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์เข้าใจแล้ว”

หลังจากหยุดไปวูบหนึ่งเขาก็ถามอีกครั้งว่า

“ผู้อาวุโส สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ?

ผู้เชี่ยวชาญของนิกายเราหลายคนต่างก็ระดมสมองกันมาหลายวันแล้ว  มีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม”

ชูไฮว่ซานส่ายหัวไปมา

สีหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่เล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“ผู้อาวุโสหลายคนต่างก็เป็นปรมาจารย์ทางด้านข่ายอาคม

แต่น่าเสียดายที่มหาข่ายปราณนี้ล้ำลึกเกินไป พวกเราตรวจสอบและทดลองมาทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่พบเงื่อนงำมากพอที่จะปลดผนึกมันได้เลย”

เมื่อเห็นความกังวลของชูไฮว่ซาน

จี้เทียนซิงก็กล่าวปลอบใจว่า “อาวุโสชู ศิษย์เชื่อมั่นว่าเหล่าผู้อาวุโสจะต้องหาทางปลดผนึกข่ายปราณนี้ได้แน่นอน

เพียงแค่ต้องให้เวลาพวกเขามากขึ้น”

ชูไฮว่ซานส่ายหัวอีกครั้งและถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา

“เฮ้อ.... เปล่าประโยชน์

มันเกิดความสามารถของพวกเรา”

“มหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ละเอียดลึกซึ้งมาก

ยิ่งพวกเราศึกษาลึกเข้าไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น”

“พวกเราได้ลองพยายามทะลวงข่ายปราณนี้ดูแล้ว

แม้กระทั่งใช้การร่วมมือของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดร่ายอาคมทำลายดารา

หมายจะสลายมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ด้วยกำลัง

แต่ทว่า เพียงแค่เริ่มร่ายอาคมเท่านั้น

พลังมหาศาลของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ก็ส่งผ่านการโจมตีออกมาจนทำลายอาคมของพวกเราจนพินาศสิ้น”

หยุดชั่วคราว

ชูไฮว่ซานก็พูดต่อไปว่า “พวกเราเคยใช้ไม้แข็งด้วยการทำลายจุดที่ดูบอบบางที่สุดจุดแรกก่อน

แต่ทว่าการโจมตีของพวกเรานั้นเหมือนโยนก้อนโคลนลงมหาสมุทร

มันไม่เพียงแค่เกิดปฏิกิริยาเล็กน้อยเท่านั้น แต่พลังปราณของพวกเรากลับถูกดูดหายเข้าไปหลอมรวมกับมหาข่ายปราณอีกด้วย”

“เมื่อคืนก่อน

ผู้อาวุโสสองทดลองใช้เจดีย์ซวนจี๋ที่ผนึกกำลังของเหล่าอาวุโสทุกคนเข้าไปหลอมรวมกัน

แต่สุดท้ายไม่เพียงแค่ไม่สำเร็จ

แต่เจดีย์ซวนจี๋ยังได้รับความเสียหายจากพลังตีกลับจากมหาข่ายปราณอีกด้วย”

เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่ชูไฮว่ซานเล่ามา

จี้เทียนซิงก็เต็มไปด้วยความตกใจ

เขามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังกลัดกลุ้มของชูไฮว่ซานก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า

“อาวุโสชู

ถึงแม้มหาข่ายปราณนี้จะทรงพลังมาก แต่ท่านและอาวุโสทั้งหลายต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นี้

พวกท่านต่างรู้วิธีการทำงานของข่ายปราณระดับสวรรค์เป็นอย่างดี

เหตุใดมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ?”

ชูไฮว่ซานจ้องมองที่อีกฝ่ายและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเปิดเผยความลับบางประการแก่เขา

“จี้เทียนซิง

ข่ายปราณระดับสวรรค์นั้นมีหลายประเภท มันมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ”

“การร่ายข่ายปราณระดับสวรรค์ที่เกิดจากการร่วมมือของพวกเราที่มีพลังยุทธ์ไม่ถึงขอบเขตปราณฟ้านั้น

มันก็ได้เพียงแค่ข่ายปราณระดับสวรรค์ขั้นต่ำเท่านั้น

แต่ทว่าข่ายปราณระดับสวรรค์ของสุสานแห่งนี้คือระดับสวรรค์ที่มีคุณภาพสูงสุด

ดังนั้นการผนึกกำลังของพวกเราจึงแทบไม่มีผลต่อพลังอำนาจที่สูงส่งกว่า”

“นอกจากนี้ มหาข่ายปราณนี้ยังครอบครองแกนกลางของเส้นชีพจรบนภูเขามังกรเพื่อก่อตัวเป็นข่ายปราณห้าธาตุ

ดังนั้นพลังของมันจึงไร้ที่สิ้นสุดและไม่มีวันเสื่อมคลาย”

“ไม่เพียงเท่านั้น นอกเหนือจากข่ายปราณห้าธาตุแล้วมันยังแฝงไว้ด้วยข่ายปราณเสถียรหกวิถี, ข่ายปราณเจ็ดดาราและแม้กระทั่งข่ายปราณโซ่แปดมังกรอีกด้วย !”

“เพียงข่ายปราณห้าธาตุชั้นเดียวก็นับว่าเป็นข่ายปราณระดับสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว

แต่เจ้ามหาข่ายปราณเบื้องหน้าพวกเรานี่กลับผสมผสานไว้ด้วยสี่ข่ายปราณใหญ่  มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก !”

“ที่สำคัญกว่านั้น นอกเหนือจากข่ายปราณห้าธาตุชั้นแรก

ที่เหลืออีกสามชนิดยังเป็นข่ายปราณระดับสวรรค์ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งก็เพียงพอในการนำมันมาใช้เป็นข่ายปราณพิทักษ์ของนิกายขนาดใหญ่  แต่นี่กลับซ้อนกันถึงสี่ประเภท เฮ้อ....

เช่นนี้พวกเราจะทำอะไรได้ ?”

“หากวันนี้ไม่ได้เห็นกับตา

พวกเราไม่มีทางเชื่อเลยว่าเคยมีสุดยอดปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญข่ายปราณเช่นนี้ดำรงอยู่ในดินแดนแห่งนี้”

“ผู้ที่สามารถรวมข่ายปราณลึกลับทั้งสี่ชนิดเข้าด้วยกันผสานเป็นมหาข่ายปราณได้

บุคลประเภทนี้กล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดโดยแท้จริง !”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของชูไฮว่ซาน

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มหัศจรรย์เพียงใด