ตอนที่ 256

หวนคืนสู่ถ้ำปีศาจอีกครา

เพื่อมิให้ความลับรั่วไหล

หยุนเหยาจึงเรียกตัวอัจฉริยะรุ่นเยาว์ระดับสูงซึ่งเป็นหัวหน้าของทั้งสามนิกายมาเท่านั้นและอธิบายแผนให้พวกเขาทราบ

“วันนี้สี่นิกายได้มารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อร่วมมือกันทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจ เรื่องนี้สำคัญมาก พวกเขาต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น มิอาจล้มเหลวได้เด็ดขาด

!”

“มีหน่วยรักษาการหลายคนในถ้ำปีศาจ พวกเรายังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับจำนวนของพวกมัน

ดังนั้นสมควรระวังให้มากอย่าได้ผลีผลามลงมือ"

จากคำพูดของหยุนเหยา

หัวหน้าศิษย์ทั้งหลายก็พยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือเสนอความเห็น

หยุนเหยาจึงกล่าวต่อไปว่า “การลงมือในวันนี้

พวกเราต้องแยกกันและจงระวังให้ดีอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หน่วยรักษาการของพวกมันมีอยู่มากมายก็จริง

แต่ส่วนมากล้วนมีระดับปราณจิตทั่วไปซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก”

“ยอดฝีมือที่แท้จริงในถ้ำปีศาจมีเพียงมหาปุโรหิตและเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

พวกมันทั้งสองมีพลังอยู่ในขอบเขตปราณโอสถ ในเวลานั้นข้า, ศิษย์น้องเฟิงหมิน, ศิษย์น้องฮ่าวเมิ่งและศิษย์น้องหวู่อวี้จากสำนักหลิวเหอจะนำกำลังเข้าไปล่อมหาปุโรหิตกับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ออกมา

ส่วนพวกเจ้าที่เหลือบให้ลอบเข้าไปในถ้ำปีศาจและทำลายล้างพวกมันให้หมด อ่อ

ให้เหลือศิษย์เฝ้าทางออกไว้สักสองคนเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีปลาหลุดจากแหไปได้”

หลังจากฟังการวางแผนของหยุนเหยา

ศิษย์ทั้งหลายก็หันไปกระซิบกระซาบกันเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าและตกลงที่จะทำตาม

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่

ข้าต้องการไปจัดการนังปีศาจกับมหาปุโรหิตพร้อมกับท่าน

ข้าเคยประมือกับพวกมันมาหลายครั้งแล้ว พวกมันเกลียดชังข้าเป็นอย่างมาก  ให้ข้าไปล่อพวกมันน่าจะเหมาะกว่า”

เดิมทีหยุนเหยาวางแผนนี้ไว้และจัดเตรียมให้จี้เทียนซิงทำงานร่วมกับศิษย์คนอื่นๆในการทำลายล้างเผ่าปีศาจที่มีพลังระดับปราณจิตทั่วๆไป

ด้วยวิธีนี้มันจะเป็นสิ่งยืนยันความปลอดภัยสำหรับเขาและจะไม่มีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น

นางคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเสนอตัวเป็นผู้เข้าไปล่อเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้และมหาปุโรหิตเสียเอง

เหล่าศิษย์อัจฉริยะหลายคนจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าแปลกๆและเริ่มมีคำถามในใจ  ทุกคนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มผู้นี้มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง

มันเพียงพอในการจัดการกับเผ่าปีศาจทั่วไป

แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งหากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้และมหาปุโรหิต

แต่เขากลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอออกไปเป็นแนวหน้าที่ต้องเสี่ยงชีวิต

นี่มิใช่เรียกว่าลูกแกะน้อยในถ้ำเสือหรอกหรือ ?

สีหน้าของหยุนเหยาไม่เปลี่ยนแปลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเข้าไปในถ้ำปีศาจพร้อมข้าแล้ว

และเจ้าก็ค่อนข้างรอบรู้สถานการณ์ภายในถ้ำมากกว่าผู้ใด

ดังนั้นการให้เจ้านำเหล่าศิษย์ที่เหลือไปล้างสังหารพวกปีศาจดูจะเป็นหน้าที่ที่เหมาะสมกว่า”

ฮ่าวเมิ่งเดินมาข้างๆจี้เทียนซิงและตบไหล่พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ศิษย์น้องจี้

มหาปุโรหิตและเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้แข็งแกร่งเกินไป

ต่อให้พวกเราสี่คนเข้าไปกรุ้มรุมพวกมันก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ชัย  เจ้า.....ยังคงทำตามแผนเดิมของศิษย์พี่หญิงจะดีกว่า”

จี้เทียนซิงส่ายหัวและยิ้มพลางกล่าวว่า

“พวกปีศาจทั่วไปให้ศิษย์คนอื่นๆจัดการก็เพียงพอแล้ว  พวกท่านไม่ถึงห่วงข้า

ในเมื่อพวกเรามีกันตั้งหลายคนแถมยังล้อมกรอบพวกมันเอาไว้แล้ว

ข้าจะได้รับอันตรายได้อย่างไร ?”

เมื่อได้เห็นความคิดที่ดื้อรั้นของจี้เทียนซิง

หัวหน้าศิษย์ทั้งหลายก็ส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก พวกเขาเพียงจ้องมองไปที่หยุนเหยาเพื่อรอให้นางตัดสินใจ

ซึ่งสุดท้ายแล้วหยุนเหยาก็ยอมทำตามคำของของจี้เทียนซิง

หลังจากปรับแผนเล็กน้อย

ทุกคนก็เริ่มลงมือและรีบมุ่งหน้าไปที่ถ้ำปีศาจอย่างรวดเร็ว

............

ราวๆหนึ่งชั่วยามต่อมาหัวหน้าศิษย์ทั้งสี่ก็มาถึงใกล้ปากทางเข้าถ้ำปีศาจ  พวกเขาหยุดอยู่บนยอดเขาจากนั้นก็ปล่อยสัตว์วิญญาณรออยู่ระแวกนี้

เมื่อตอนที่จี้เทียนซิง

หยุนเหยาและไป๋หวู่เชินมาปฏิบัติภารกิจ พวกเขาก็ปล่อยสัตว์วิญญาณให้รอบนยอดเขานี้เช่นกัน

ตรงข้ามยอดเขาลูกนี้คือยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำปีศาจ

มันมีหุบเขาขนาดใหญ่ขวางกั้นไว้ระหว่างภูเขาทั้งสองลูก

เมื่อทุกคนตั้งสั่งสัตว์วิญญาณและม้าให้รอรอบๆเนินเขาแล้ว

พวกเขาก็ข้ามหุบเขาลึกและปีนขึ้นสู่ยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำปีศาจ

ศิษย์ของทั้งสี่นิกายถูกแบ่งออกเป็นห้าทีมและแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่

หยุนเหยา

จี้เทียนซิง ฮ่าวเมิ่ง อู่อวี้และเฟิงหมินเป็นทีมแรกที่บุกเข้าไปล่อมหาปุโรหิตและเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ให้ออกมา

ส่วนสมาชิกในทีมที่เหลืออีกสี่ทีมมีหน้าที่ดูแลทางเข้าออกถ้ำปีศาจและบางส่วนเข้าไปล้างสังหารปีศาจให้หมดสิ้น

แต่ละทีมมีประมาณสิบคน

อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นศิษย์ชั้นยอดและมีความแข็งแกร่งที่นับว่าไม่ธรรมดา

เมื่อมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเช่นนี้ปฏิบัติการย่อมราบลื่นและไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น

?

............

ทุกคนปีนขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเงียบเชียบและแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของทีม

หยุนเหยานำจี้เทียนซิงและคนอื่นๆมาถึงปากทางเข้าถ้ำปีศาจและเริ่มดำเนินการ

เช้ง

!

นางชักกระบี่ออกมาและตวัดฟันกิ่งหนามรกครึ้มที่ปิดกั้นเส้นทางเอาไว้

จากนั้นก็เริ่มร่ายอาคมเพื่อสลายข่ายปราณที่ปิดบังหลุมทางเข้าเอาไว้

ผ่านไปไม่นานถ้ำอันมืดสนิทก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

มันเอ่อล้นไปด้วยพลังและแผ่ซ่านไอเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ในเส้นทางที่มืดมิด

หยุนเหยาเดินนำเพื่อเปิดทาง โดยมีจี้เทียนซิงเดินตามหลังนางมาติดๆ

ทั้งสองเคยมาที่นี่มาก่อนและเข้าออกถึงสองครั้งจนจำได้ดี

ทางเดินยาวอันมืดมิดสายนี้ยังคงมืดสนิทและเงียบสงบ

มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย

หยุนเหยากระชับกระบี่จันทราเยือกไว้มั่น

ดวงตาคู่งามสาดประกายคมกริบจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังปลดปล่อยสัมผัสญาณออกไปสำรวจเบื้องหน้าอีกด้วย

จี้เทียนซิงชักกระบี่มังกรดำออกมาและติดตามนางไม่ห่าง

สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมเยือกเย็น

หลังจากนั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม

ทั้งสองก็เดินผ่านทางเดินอันมืดมิดและเข้าไปในถ้ำปีศาจ

ทั้งสองเดินเข้าไปในถ้ำที่เปิดกว้างและเป็นอีกครั้งที่ได้เห็นรูปปั้นปีศาจที่วางไว้รอบถ้ำ

รวมไปถึงประตูหินสีดำหกเส้นทางที่อยู่รอบๆกำแพง

แสงในถ้ำมีน้อยและทำให้มืดมิด

บนผนังด้านบนของถ้ำเต็มไปด้วยอัญมณีมากมายที่เปล่งแสงสลัวๆออกมา

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงไม่รีบร้อนลงมือ

พวกเขาแอบเข้าไปที่มุมถ้ำก่อนและสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง

จี้เทียนซิงส่งเสียงผ่านสัมผัสญาณไปยังหยุนเหยา

“ประตูหินสองบานจากทางขวาสุด หนึ่งซุกซ่อนไว้ด้วยภูเขากระดูก

ส่วนอีกบานหนึ่งเก็บรักษาดวงวิญญาณของเหล่าจอมยุทธ์ที่พวกมันสังหาร”

“เมื่อตอนที่พวกเรามาที่นี่ ข้าจำได้ว่ามหาปุโรหิตกับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เหมือนจะออกมาจากประตูหินนั่น

!”

ขณะที่พูดเขายื่นมือชี้ไปที่ประตูหินที่อยู่ตรงข้ามกับปากถ้ำ

หยุนเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่นางจะพยักหน้าและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ”

นางพาจี้เทียนซิงผ่านถ้ำว่างเปล่าและไปถึงประตูหิน บริเวณถ้ำที่อยู่รอบๆเงียบสงบและไร้ซึ่งสรรพเสียงแม้แต่น้อยนิด มันเผยให้เห็นถึงบรรยากาศอันหดหู่เศร้าสลด

เมื่อมาถึงประตูหินสีน้ำตาลเข้ม

หยุนเหยาก็จ้องมองไปที่เส้นสายอาคมและสัญลักษณ์ของประตูหิน

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะร่ายอาคมเพื่อทำลายข่ายปราณที่สลักอยู่บนนั้น

ครั้งที่สามที่พวกเขามายังถ้ำปีศาจก็เพื่อค้นหาดวงวิญญาณของจี้หลิง

ในตอนนั้นไป๋หวู่เชินใช้พลังของเจดีย์ซวนจี๋จึงสามารถทำลายข่ายปราณบนประตูหินได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าตอนนี้หยุนเหยาไม่มีเจดีย์ซวนจี๋

นางทำได้เพียงใช้ความสามารถทางด้านข่ายอาคมของตนเองเพื่อทำลายข่ายปราณไปทีละชั้น

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันจนกระทั่งล่วงเลยไปครึ่งชั่วยาม  หยุนเหยาก็ยังไม่สามารถทำลายข่ายปราณได้สำเร็จ

แต่ในขณะนี้เอง

ประตูหินที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้เปิดออกและปรากฏร่างของยามเผ่าปีศาจที่เดินออกมาทีละคน