ตอนที่ 152

ดวงวิญญาณที่มิจำยอม

ไม่กี่วันก่อนจี้หลิงยังคงมีชีวิตอยู่

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาสุภาพอ่อนโยนของเขานั้น คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผ่านไปไม่กี่วันจะกลายเป็นกองซากศพดุจผ้าขี้ริ้วเน่าๆ

ไม่เพียงแค่นั้น

ศพของเขาถูกโยนมากองรวมกับภูเขากระดูกของเผ่ามาร หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ปีเขาก็จะย่อยสลายเป็นกองกระดูกสีขาวพวกนั้น

สุดท้ายก็ถูกสุมรวมเป็นภูเขากระดูก

หยุนเหยามุ่นหัวคิ้ว

นางไม่อาจทนกลิ่นฉุนในห้องนี้ได้อีกแล้วจึงกลั้นลมหายใจไว้อย่างรวดเร็ว

นางไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด

เมื่อเห็นสีหน้าของนาง

ไป๋หวู่เชินก็แสดงความกล้าหาญเป็นสุภาพบุรุษทันที

เขาข่มความปั่นป่วนของท้องไส้ไม่ให้อาเจียนออกมาและมองไปที่ร่างของจี้หลิง

เขาแทบไม่กล้าจ้องศพของอีกฝ่ายตรงๆจึงเบือนหน้าไปด้านข้างและค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาออกมาอย่างช้าๆ

กดไปที่ศีรษะของศพเพื่อสำรวจดวงวิญญาณ

ในระหว่างกระบวนการนี้เขากลั้นหายใจสุดชีวิตจนใบหน้ากลายเป็นซีดขาว เมื่อทราบผลลัพธ์แล้ว ไป๋หวู่เชินก็โล่งอกและผละจากศพของจี้หลิงทันที

เขาเดินไปหาหยุนเหยาโดยมิได้เอ่ยอันใด

มีเพียงพยักหน้าส่งสัญญาณให้นางเท่านั้น

ทั้งหยุนเหยาและจี้เทียนซิงสามารถเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายของไป๋หวู่เชิน

วิญญาณของจี้หลิงได้ถูกสกัดออกจากร่างไปแล้ว

ดังนั้นทั้งสามจึงรีบเดินออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปค้นหายังห้องที่สองโดยใช้แผนเดิม

ไป๋หวู่เชินมีหน้าที่ทำลายอาคมที่ประตูหินส่วนหยุนเหยากับจี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและคอยสอดส่องการเคลื่อนไหวรอบๆ

หลังจากนั้นไม่นานไป๋หวู่เชินก็ทำลายอาคมสำเร็จด้วยพลังของเจดีย์ซวนจี๋

เขาค่อยๆผลักประตูหินเข้าไปสำรวจต้นทาง จากนั้นก็กลับออกมาและกวักมือเรียกทั้งสองเช่นเดิม

พวกเขาพยักหน้าตอบรับและรีบเข้าไปในประตูที่สองพร้อมกับไป๋หวู่เชินอย่างรวดเร็ว

หลังประตูหินนี้ก็เป็นเส้นทางอันมืดมิดเช่นกัน

บนผนังสลักไว้ด้วยลวดลายแปลกๆมากมาย ส่วนใหญ่แล้วเป็นภูติผีและสัตว์ประหลาด

สุดทางเป็นห้องลับห้องหนึ่ง

แต่ไป๋หวู่เชินก็ทำลายอาคมที่ขวางกั้นได้อย่างง่ายดายและผลักประตูเข้าไป

ทันทีที่เปิดประตูหินก็มีแสงสลัวปรากฏขึ้น

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนอันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาทันที

“เช้ง ! เช้ง

!”

ทั้งสามคนหน้าถอดสีอย่างรุนแรง

พวกเขาทั้งชักกระบี่และโคจรพลังปราณพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ

พวกเขาเห็นแสงที่ส่องออกมาจากในห้องลับและได้ยินเสียงแผ่วๆที่ดังกระทบโสตจึงคิดว่ามีเผ่ามารอยู่ในห้องลับ

อย่างไรก็ตาม

เมื่อประตูหินถูกเปิดจนสุด เผ่ามารที่คาดคิดไว้กลับมิได้อยู่ในนั้นอย่างที่คิด

ทว่า

ภาพที่ปรากฏในห้องลับกลับทำให้พวกเขาทั้งสามต้องตกตะลึง

ในห้องนั้นมีขนาดเพียงสิบเมตร

ทั่วกำแพงถูกแกะสลักไว้ด้วยรูปปั้นภูติผีสีเขียวที่มีเขี้ยวใหญ่อย่างน่าขนลุก

มีตะเกียงหินเก่าคร่ำครึอยู่ในมุมทั้งสี่ของห้องและส่องแสงสลัวภายใต้การทำงานของอาคม

บนเพดานมีโซ่เงินหลายสิบเส้นห้อยลงมา

แต่ละเส้นมีลูกคริสตัลใสขนาดเท่าฝ่ามือผูกติดอยู่

นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้วในห้องนี้.....

หยุนเหยา

จี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินค่อยๆขยับเข้าไปในห้องลับและมองไปรอบๆด้วยสีหน้าโล่งอก

คนทั้งสามหันไปมองกันด้วยสีหน้าสับสน

ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ในนี้เลยแต่กลับได้ยินเสียงตะโกน

จี้เทียนซิงเหลือบมองไปรอบๆกำแพง

ดวงตาของเขามองไปที่ลูกคริสตัลหลายสิบลูกที่ห้อยอยู่บนเพดาน

เขาเพ่งมองไปและเห็นได้ชัดเจนว่าภายในลูกคริสตัลแต่ละลูกมีเมฆหมอกสลัวๆร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา

เขาเดินเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัวและยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ

ทันใดนั้นเองหมอกสีเทาในลูกคริสตัลใสก็ควบแน่นเป็นใบหน้าของชายชราชุดดำผู้หนึ่ง

!   เขาตะโกนโหวกเหวกอย่างบ้าคลั่งไปที่จี้เทียนซิง

“ปล่อยข้าออกไป ! ปล่อยข้าออกไปนะ

!”

เสียงตะโกนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

แม้ว่าจะอ่อนแรงมากแต่มันก็สะท้อนเข้าไปในจิตใจของพวกเขาทั้งสามอย่างชัดเจน !

จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันทีและอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังจ้องมองภาพนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

จากนั้นหมอกในลูกคริสตัลลูกอื่นๆที่อยู่ใกล้กันๆก็ควบแน่นเป็นใบหน้าของคนอื่นๆอีกหลายคนทันที

พวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายและตะโกนอย่างตื่นเต้น

“ปล่อยข้าออกไป !”

“วิเศษมาก ! มีคนมาเสียที  ช่วยข้าด้วยยยย !”

“เจ้าหนุ่ม เราผู้เฒ่าถูกขังมาหลายปีแล้ว

ได้โปรดปล่อยข้าให้กลับไปเกิดใหม่ด้วยเถิด ขอร้อง !”

ภายในพริบตา

ลูกบอลคริสตัลอย่างน้อยยี่สิบกว่าลูกที่เดิมทีเต็มไปด้วยหมอกสลัวก็กลายเป็นร่างมนุษย์ชายหญิงรวมไปถึงเด็กและคนชรามากมาย !  พวกเขาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน

จี้เทียนซิงมองไปที่หยุนเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆและถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ศิษย์พี่หญิง

หมอกในลูกคริสตัลเหล่านี้สมควรเป็นดวงวิญญาณที่เผ่ามารกักขังไว้”

“ถูกต้อง !”

หยุนเหยาพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แต่ดวงตาของนางทอประกายโทสะเล็กน้อย “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะชั่วร้ายอำมหิตถึงเพียงนี้

แม้แต่คนตายก็ยังไม่ละเว้น

พวกมันชิงดวงวิญญาณของพวกเขาไปและผนึกไว้ด้วยเครื่องมือเหล่านี้”

“เสียงตะโกนที่พวกเราเพิ่งได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงจริงๆ แต่เป็นเสียงเพรียกแห่งดวงวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้

พวกเราจะได้ยินอยู่ใกล้พวกเขา”

ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและกล่าวเสริมด้วยความขุ่นเคืองว่า

“มีคนกล่าวว่าหลังจากคนตายไปแล้ว ดวงวิญญาณจะวนเวียนอยู่ในร่างเป็นเวลาเจ็ดวันและจะกลับชาติมาเกิดหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน”

“แต่เผ่ามารผู้ชั่วร้ายเหล่านี้กลับสังหารพวกเขาและผนึกวิญญาณเอาไว้

ทำให้วิญญาณพวกเขาไม่กลับชาติมาเกิดใหม่ จากที่ข้าได้เห็น

วิญญาณที่ถูกขังเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

มีหลายคนที่เป็นบุคลสำคัญของนิกายต่างๆในดินแดนดาราบรรพกาล !”

หยุนเหยาขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในรอบ 100 ที่ผ่านมาทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาลต่างเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด

ยอดฝีมือและปรมาจารย์มากมายล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ”

“ที่แท้พวกเขาเหล่านั้นก็ถูกเผ่ามารสังหารและผนึกดวงวิญญาณไว้ที่นี่นั่นเอง

!”

จี้เทียนซิงฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง

ในใจเริ่มเข้าถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของเผ่ามารได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เขาขมวดคิ้วในขณะที่เดินสำรวจลูกคริสตัลมากกว่าสามสิบลูกในห้องลับเพื่อมองหาจิตวิญญาณของจี้หลิง

เขาค่อยๆเดินไปเรื่อยและสังเกตลูกคริสตัลทีละลูก

จนในที่สุดเมื่อเห็นคริสตัลลูกที่ 28

เขาก็หยุดชะงัก

ภายในลูกคริสตัลนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันที่ลอยฟุ้ง

เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาใกล้มันก็กลายร่างมนุษย์

นี่คือชายหนุ่มผอมเพรียวสวมเสื้อคลุมสีฟ้าที่ดูเหมือนจี้หลิงยามยังมีชีวิตไม่ผิดเพี้ยน

!

เมื่อจี้เทียนซิงเห็นเขา

เขาก็เห็นจี้เทียนซิง

ใบหน้าที่โกรธแค้นแสนสาหัสของจี้หลิงบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ

จิตวิญญาณของเขาส่งเสียงร่ำร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

“ไอ้สถุล จี้เทียนซิง ! เป็นเจ้าได้อย่างไร ?! เจ้ามาทำอะไรที่นี่ !!"

จี้เทียนซิงมองไปที่ดวงวิญญาณของจี้หลิงที่แม้กระทั่งตายไปแล้วยังเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน

เขาอดส่ายหัวไม่ได้ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้น

“ข้ามาที่นี่ทำไมงั้นหรือ ? แน่นอน ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่ไง !”