ดวงวิญญาณที่มิจำยอม
ไม่กี่วันก่อนจี้หลิงยังคงมีชีวิตอยู่
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาสุภาพอ่อนโยนของเขานั้น คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผ่านไปไม่กี่วันจะกลายเป็นกองซากศพดุจผ้าขี้ริ้วเน่าๆ
ไม่เพียงแค่นั้น
ศพของเขาถูกโยนมากองรวมกับภูเขากระดูกของเผ่ามาร หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ปีเขาก็จะย่อยสลายเป็นกองกระดูกสีขาวพวกนั้น
สุดท้ายก็ถูกสุมรวมเป็นภูเขากระดูก
หยุนเหยามุ่นหัวคิ้ว
นางไม่อาจทนกลิ่นฉุนในห้องนี้ได้อีกแล้วจึงกลั้นลมหายใจไว้อย่างรวดเร็ว
นางไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง
ไป๋หวู่เชินก็แสดงความกล้าหาญเป็นสุภาพบุรุษทันที
เขาข่มความปั่นป่วนของท้องไส้ไม่ให้อาเจียนออกมาและมองไปที่ร่างของจี้หลิง
เขาแทบไม่กล้าจ้องศพของอีกฝ่ายตรงๆจึงเบือนหน้าไปด้านข้างและค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาออกมาอย่างช้าๆ
กดไปที่ศีรษะของศพเพื่อสำรวจดวงวิญญาณ
ในระหว่างกระบวนการนี้เขากลั้นหายใจสุดชีวิตจนใบหน้ากลายเป็นซีดขาว เมื่อทราบผลลัพธ์แล้ว ไป๋หวู่เชินก็โล่งอกและผละจากศพของจี้หลิงทันที
เขาเดินไปหาหยุนเหยาโดยมิได้เอ่ยอันใด
มีเพียงพยักหน้าส่งสัญญาณให้นางเท่านั้น
ทั้งหยุนเหยาและจี้เทียนซิงสามารถเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายของไป๋หวู่เชิน
วิญญาณของจี้หลิงได้ถูกสกัดออกจากร่างไปแล้ว
ดังนั้นทั้งสามจึงรีบเดินออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปค้นหายังห้องที่สองโดยใช้แผนเดิม
ไป๋หวู่เชินมีหน้าที่ทำลายอาคมที่ประตูหินส่วนหยุนเหยากับจี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและคอยสอดส่องการเคลื่อนไหวรอบๆ
หลังจากนั้นไม่นานไป๋หวู่เชินก็ทำลายอาคมสำเร็จด้วยพลังของเจดีย์ซวนจี๋
เขาค่อยๆผลักประตูหินเข้าไปสำรวจต้นทาง จากนั้นก็กลับออกมาและกวักมือเรียกทั้งสองเช่นเดิม
พวกเขาพยักหน้าตอบรับและรีบเข้าไปในประตูที่สองพร้อมกับไป๋หวู่เชินอย่างรวดเร็ว
หลังประตูหินนี้ก็เป็นเส้นทางอันมืดมิดเช่นกัน
บนผนังสลักไว้ด้วยลวดลายแปลกๆมากมาย ส่วนใหญ่แล้วเป็นภูติผีและสัตว์ประหลาด
สุดทางเป็นห้องลับห้องหนึ่ง
แต่ไป๋หวู่เชินก็ทำลายอาคมที่ขวางกั้นได้อย่างง่ายดายและผลักประตูเข้าไป
ทันทีที่เปิดประตูหินก็มีแสงสลัวปรากฏขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนอันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาทันที
“เช้ง ! เช้ง
!”
ทั้งสามคนหน้าถอดสีอย่างรุนแรง
พวกเขาทั้งชักกระบี่และโคจรพลังปราณพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ
พวกเขาเห็นแสงที่ส่องออกมาจากในห้องลับและได้ยินเสียงแผ่วๆที่ดังกระทบโสตจึงคิดว่ามีเผ่ามารอยู่ในห้องลับ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อประตูหินถูกเปิดจนสุด เผ่ามารที่คาดคิดไว้กลับมิได้อยู่ในนั้นอย่างที่คิด
ทว่า
ภาพที่ปรากฏในห้องลับกลับทำให้พวกเขาทั้งสามต้องตกตะลึง
ในห้องนั้นมีขนาดเพียงสิบเมตร
ทั่วกำแพงถูกแกะสลักไว้ด้วยรูปปั้นภูติผีสีเขียวที่มีเขี้ยวใหญ่อย่างน่าขนลุก
มีตะเกียงหินเก่าคร่ำครึอยู่ในมุมทั้งสี่ของห้องและส่องแสงสลัวภายใต้การทำงานของอาคม
บนเพดานมีโซ่เงินหลายสิบเส้นห้อยลงมา
แต่ละเส้นมีลูกคริสตัลใสขนาดเท่าฝ่ามือผูกติดอยู่
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้วในห้องนี้.....
หยุนเหยา
จี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินค่อยๆขยับเข้าไปในห้องลับและมองไปรอบๆด้วยสีหน้าโล่งอก
คนทั้งสามหันไปมองกันด้วยสีหน้าสับสน
ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ในนี้เลยแต่กลับได้ยินเสียงตะโกน
จี้เทียนซิงเหลือบมองไปรอบๆกำแพง
ดวงตาของเขามองไปที่ลูกคริสตัลหลายสิบลูกที่ห้อยอยู่บนเพดาน
เขาเพ่งมองไปและเห็นได้ชัดเจนว่าภายในลูกคริสตัลแต่ละลูกมีเมฆหมอกสลัวๆร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา
เขาเดินเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัวและยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ
ทันใดนั้นเองหมอกสีเทาในลูกคริสตัลใสก็ควบแน่นเป็นใบหน้าของชายชราชุดดำผู้หนึ่ง
! เขาตะโกนโหวกเหวกอย่างบ้าคลั่งไปที่จี้เทียนซิง
“ปล่อยข้าออกไป ! ปล่อยข้าออกไปนะ
!”
เสียงตะโกนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
แม้ว่าจะอ่อนแรงมากแต่มันก็สะท้อนเข้าไปในจิตใจของพวกเขาทั้งสามอย่างชัดเจน !
จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันทีและอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังจ้องมองภาพนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
จากนั้นหมอกในลูกคริสตัลลูกอื่นๆที่อยู่ใกล้กันๆก็ควบแน่นเป็นใบหน้าของคนอื่นๆอีกหลายคนทันที
พวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายและตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ปล่อยข้าออกไป !”
“วิเศษมาก ! มีคนมาเสียที ช่วยข้าด้วยยยย !”
“เจ้าหนุ่ม เราผู้เฒ่าถูกขังมาหลายปีแล้ว
ได้โปรดปล่อยข้าให้กลับไปเกิดใหม่ด้วยเถิด ขอร้อง !”
ภายในพริบตา
ลูกบอลคริสตัลอย่างน้อยยี่สิบกว่าลูกที่เดิมทีเต็มไปด้วยหมอกสลัวก็กลายเป็นร่างมนุษย์ชายหญิงรวมไปถึงเด็กและคนชรามากมาย ! พวกเขาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน
จี้เทียนซิงมองไปที่หยุนเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆและถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ศิษย์พี่หญิง
หมอกในลูกคริสตัลเหล่านี้สมควรเป็นดวงวิญญาณที่เผ่ามารกักขังไว้”
“ถูกต้อง !”
หยุนเหยาพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ดวงตาของนางทอประกายโทสะเล็กน้อย “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะชั่วร้ายอำมหิตถึงเพียงนี้
แม้แต่คนตายก็ยังไม่ละเว้น
พวกมันชิงดวงวิญญาณของพวกเขาไปและผนึกไว้ด้วยเครื่องมือเหล่านี้”
“เสียงตะโกนที่พวกเราเพิ่งได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงจริงๆ แต่เป็นเสียงเพรียกแห่งดวงวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้
พวกเราจะได้ยินอยู่ใกล้พวกเขา”
ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและกล่าวเสริมด้วยความขุ่นเคืองว่า
“มีคนกล่าวว่าหลังจากคนตายไปแล้ว ดวงวิญญาณจะวนเวียนอยู่ในร่างเป็นเวลาเจ็ดวันและจะกลับชาติมาเกิดหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน”
“แต่เผ่ามารผู้ชั่วร้ายเหล่านี้กลับสังหารพวกเขาและผนึกวิญญาณเอาไว้
ทำให้วิญญาณพวกเขาไม่กลับชาติมาเกิดใหม่ จากที่ข้าได้เห็น
วิญญาณที่ถูกขังเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์
มีหลายคนที่เป็นบุคลสำคัญของนิกายต่างๆในดินแดนดาราบรรพกาล !”
หยุนเหยาขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในรอบ 100 ที่ผ่านมาทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาลต่างเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด
ยอดฝีมือและปรมาจารย์มากมายล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ”
“ที่แท้พวกเขาเหล่านั้นก็ถูกเผ่ามารสังหารและผนึกดวงวิญญาณไว้ที่นี่นั่นเอง
!”
จี้เทียนซิงฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง
ในใจเริ่มเข้าถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของเผ่ามารได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เขาขมวดคิ้วในขณะที่เดินสำรวจลูกคริสตัลมากกว่าสามสิบลูกในห้องลับเพื่อมองหาจิตวิญญาณของจี้หลิง
เขาค่อยๆเดินไปเรื่อยและสังเกตลูกคริสตัลทีละลูก
จนในที่สุดเมื่อเห็นคริสตัลลูกที่ 28
เขาก็หยุดชะงัก
ภายในลูกคริสตัลนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันที่ลอยฟุ้ง
เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาใกล้มันก็กลายร่างมนุษย์
นี่คือชายหนุ่มผอมเพรียวสวมเสื้อคลุมสีฟ้าที่ดูเหมือนจี้หลิงยามยังมีชีวิตไม่ผิดเพี้ยน
!
เมื่อจี้เทียนซิงเห็นเขา
เขาก็เห็นจี้เทียนซิง
ใบหน้าที่โกรธแค้นแสนสาหัสของจี้หลิงบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ
จิตวิญญาณของเขาส่งเสียงร่ำร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ไอ้สถุล จี้เทียนซิง ! เป็นเจ้าได้อย่างไร ?! เจ้ามาทำอะไรที่นี่ !!"
จี้เทียนซิงมองไปที่ดวงวิญญาณของจี้หลิงที่แม้กระทั่งตายไปแล้วยังเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
เขาอดส่ายหัวไม่ได้ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้น
“ข้ามาที่นี่ทำไมงั้นหรือ ? แน่นอน ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่ไง !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved