วิหารโบราณแห่งดวงดาว
ความกว้างใหญ่ไพศาลเหนือท้องฟ้าที่เนืองแน่นไปด้วยหมู่ดาวคือการดำรงอยู่ของสิ่งที่ลึกลับและห่างไกลจากความเข้าใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุด
!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขีดขั้นใดล้วนทำได้เพียงแหงนหน้ามองทองฟ้า
แต่ทว่าพวกเขาก็มิอาจเข้าสู่ความว่างเปล่าและสำรวจความลึกลับของหมู่ดวงดาวได้
บัดนี้
จี้เทียนซิงกลับมาถึงความว่างเปล่าที่ว่านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์และสามารถมองเห็นดวงดาวที่อยู่เหนือท้องฟ้าได้อย่างชัดตา
!
แน่นอนว่าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสะเทือนใจ
เพียงแค่รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันอันเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อความตื่นเต้นยินดีในใจของเขาลดลง ด้วยอารมณ์ที่สงบลงก็ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหา
เมื่อเข้ามาแล้ว
เขาจะออกจากความเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ได้อย่างไร ?
เขาจะกลับไปด้วยวิธีไหน ?
ถึงแม้นว่ามันจะดูบริสุทธิ์งดงามละลานตา
แต่เขาก็มิอาจอยู่ที่นี่ได้ชั่วชีวิต
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงสงบใจลงอย่างรวดเร็วพลางขมวดคิ้วค้นหาวิธีที่จะกลับออกไป
เขาจ้องมองที่ว่างเปล่าและดวงดาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาอย่างเงียบเชียบ
และสังเกตหมู่ดาวอันลึกลับและกว้างใหญ่เพื่อพยายามค้นหาเบาะแส
ทว่า
เมื่อได้เขาจดจ่ออยู่กับหมู่ดาวเหล่านั้น ใจของเขาก็หมกมุ่นอยู่กับมันราวกับว่าถูกดูดกลืนความสนใจโดยดาวขนาดใหญ่
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มจับจ้องสังเกตอย่างถี่ถ้วนโดยไม่ขยับเขยื้อน
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รั้งสติกลับมาได้
แววตาที่เคยเหม่อลอยกลับมารวมศูนย์อีกครั้งและเปล่งประกายเจิดจ้า
มุมปากกระตุกด้วยรอยยิ้มบางๆสายหนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ !”
“คาดไม่ถึงว่าดวงดาวทั้งสามหมื่นหกพักดวงนี้คือส่วนหนึ่งของข่ายอาคมสรรพดารา
!”
ข่ายอาคมสรรพดารานี้คือข่ายอาคมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทวีปลมปราณฟ้า
มันถูกสร้างขึ้นด้วยพลังและภูมิปัญญาของผู้เชี่ยวชาญในแขนงนี้และกลั่นกรองมาหลายชั่วอายุคน
จำนวนและการวางแนวของดวงดาวในรูปภาพย่อยนี้สอดคล้องกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทั้ง
36 ดวง
การจัดวางและการเปิดใช้งานของดวงดาวแต่ละดวงสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของมันได้
ไม่เกินจริงแน่นอนหากจะพูดว่าแผนที่ข่ายอาคมสรรพดารานี้เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาอันดับต้นๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์
!
ลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนต้องศึกษาแผนที่ข่ายอาคมสรรพดารานี้
เพื่อใช้ในการสำรวจความลึกลับของดวงดาวบนท้องฟ้า
โชคดีที่จี้เทียนซิงเคยศึกษาข่ายอาคมชนิดนี้มาก่อนตอนที่กึ่งเรียนกึ่งถามกับเซี่ยงหวู่จี้ในตำหนักไท่อัน
เซี่ยงหวู่จี้ยังหลงใหลในแผนที่สรรพดาราและได้ทำการค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนมานานหลายทศวรรษ เขาผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญและความสำเร็จค่อนข้างสูง
เขาได้ค้นพบพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งข่ายอาคมของจี้เทียนซิง
และเคยพูดคุยกับชายหนุ่มเกี่ยวกับข่ายอาคมสรรพดาราโดยเฉพาะ
ช่วงที่ได้สอนเรื่องข่ายอาคม
จี้เทียนซิงก้าวเท้าเดินไปในความว่างเปล่า
ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ดวงดาวและความรู้ที่อยู่ในหัวเกี่ยวกับแผนที่สรรพดาราก็ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อชี้นำถึงวิธีการเปิดมัน
เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในความว่างเปล่าโดยไร้ซึ่งปัญหาใดๆ
ดวงตาของเขายังคงกระจ่างใสและดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หนึ่งวัน สองวัน… สี่วัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จี้เทียนซิงราวกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ก้าวไปทีละขั้นอย่างลึกลับซ้อนในความว่างเปล่า เขาเคลื่อนที่เดินไปรอบๆเป็นเวลาสี่วันสี่คืนติดต่อกัน
ในวันที่ห้า
หลังจากเดินไปได้เก้าหมื่นเก้าพันก้าว ในที่สุดเขาก็หยุดเดิน
เมื่อมาถึงจุดนี้
เขาได้ยืนอยู่ในจัตุรัสของดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
"ในที่สุดก็พบ ! ดาวมโหฬาร
!”
จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้น
รอยยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจปรากฏที่มุมปากของเขา
ตลอดสี่วันมานี้เขาเดินไปทั้งหมดเก้าหมื่นเก้าพันก้าวซึ่งอยู่ในเส้นทางของแผนที่สรรพดารา
ย้อนทวนอาคมเพื่อมองย้อนกลับไปยังทางออก
บัดนี้
ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและพบดวงดาวขนาดมโหฬารดวงหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงดาวนับหมื่นๆดวง
ดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่และเปล่งแสงพร่างพราวระยิบระยับเป็นสีเงินราวกับดวงจันทร์
อย่างไรก็ตาม
การที่จะได้เห็นดาวดวงนี้ คนผู้นั้นเพียงต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่จี้เทียนซิงยืนอยู่เท่านั้นจึงจะพบการดำรงอยู่ของมันและมองเห็นแสงสว่าง
นี่คือหนึ่งในความลึกลับของแผนที่สรรพดารา
ซึ่งดาวยักษ์ดวงนี้ก็เป็นหนึ่งในทางออก
ข่ายอาคมนี้วิจิตรพิสดารมาก
แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่ใช้เวลาชั่วชีวิตก็ยังมิอาจหาทางออกได้
จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า
กางฝ่ามือออกมาและวาดไปในความว่างเปล่าอันมืดมิด
เขากำลังร่างเส้นโค้งสีทองสายหนึ่ง
หัวใจของเขาหลั่งไหลพลังปราณมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่องและฉีดอัดเข้าไปในความว่างเปล่าตรงหน้า
ราวกับว่าเขากำลังจะเปิดบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นที่อยู่เบื้องหน้านี้
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
เขาก็พบกับความว่างเปล่าด้านนอกที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าว
สิ่งนั้นเปล่งแสงสีขาวสุกใสออกมา
“วูบ !”
แสงสีขาวอันพร่างพราวควบรวมกันเป็นประตูทางเข้ารูปไข่ในทันที
มันปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง !
จี้เทียนซิงรั้งฝ่ามือกลับมาพลางยกยิ้มมุมปาก
จากนั้นก็ก้าวเท้าผ่านเข้าไปในประตูทางเข้ารูปไข่ที่ส่องแสงกระพริบสีขาว
“วิ้ง !”
ในวินาทีต่อมา
เขาก็ออกจากความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและมาปรากฏตัวในห้องโถงที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
มันเป็นพื้นกว้างๆและเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำ
ถึงแม้ว่าพื้นผิวจะมีลวดลายแต่มันก็เต็มไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะ
ห้องโถงใหญ่ว่างเปล่า
อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นของบางสิ่งที่เน่าเปื่อย มันดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอากาศไหลผ่านมานานนับปี
เพดานที่อยู่เหนือศีรษะของเขาถูกประดับประดาไว้ด้วยอัญมณีหนาแน่นซึ่งก่อตัวเป็นรูปดาวขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม
อัญมณีเหล่านั้นดำรงอยู่มาอย่างยาวนานเกินไป พลังของพวกมันได้สูญหายไปและกลายเป็นเพียงหินธรรมดาที่ไร้ค่า
แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังหลงเหลือพลังงานที่ให้แสงสว่างสลัวๆเล็กน้อย
จี้เทียนซิงอยู่ยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่และกวาดตามองไปรอบๆด้วยความสงสัยในใจ
“ที่นี่คือที่ไหนกัน ? นี่ข้ายังอยู่ในอาณาเขตของเทือกเขาหมอกเร้นลับหรือไม่ ?”
ด้วยแสงแวววาวของอัญมณีมากกว่าสิบก้อนทำให้ชายหนุ่มสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ลางๆ
เขากวาดสายตาอันแหลมคมมองไปทั่วห้องโถงใหญ่แห่งนี้
ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาห่างออกไปประมาณสิบเมตรมีเสาหินขนาดใหญ่สองแถว
มันสมควรเป็นเสาที่รองรับน้ำหนักของห้องโถงใหญ่แห่งนี้
เสาหินแต่ละแท่งมีความหนาพอๆกับถังเก็บน้ำ
มันเป็นสีแดงสดและพื้นผิวยังมีเส้นสายสีทองเลือนลางสลักไว้อยู่
จี้เทียนซิงเดินไปและเหยียดมือปัดฝุ่นละอองเบาๆ
จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพที่แสดงถึงสัตว์อสูรโบราณที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะเป็นลู่อู๋ มังกรอินทรี อีกาทองสามขา กิเลนวายุ ฯลฯ ...
มีเสาหินอยู่ทางด้านซ้ายขวาฝั่งละหกเสาซึ่งเท่ากับจำนวนของสัตว์อสูรโบราณทั้งสิบสองตัว
ลวดลายที่สลักบนเสาหินทั้งสิบสองนี้เหมือนกับที่สลักบนสัตว์อสูรทั้งสิบสองตัวที่เคยผ่านตามาก่อน เมื่อเห็นสิ่งนี้จี้เทียนซิงก็ได้คำตอบแล้ว
เห็นได้ชัดว่าห้องโถงหลักนี้ยังคงอยู่ในเทือกเขาหมอกเร้นลับ
และมันสมควรอยู่ในบริเวณทะเลสาบจันทร์เต็มดวง
เขาก้าวเท้าเดินไปทางทิศเหนือและหยุดเดินหลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยก้าว
ด้านหน้าของเขาเป็นบันไดหินเก้าชั้น
บันไดหินเหล่านั้นคือทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงแท่นที่ยกสูงขึ้นเหนือพื้นดิน
ที่สุดทางนั้นมีบัลลังก์ขนาดมหึมาที่ดูเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆลูกหนึ่ง
บัลลังก์ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากทองดำซึ่งเป็นโลหะที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
มันยาวกว่าห้าเมตรและกว้างสามเมตรอีกทั้งยังสลักลวดลายอันวิจิตรงดงามและซับซ้อนเอาไว้
บัลลังก์นี้ดูเก่าแก่มาก
มันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะจนดูหม่นหมองอย่างยิ่ง
แต่ทว่าขนาดและกลิ่นอายของมันน่าประทับใจเกินกว่าบัลลังก์ใดๆที่จี้เทียนซิงเคยเห็นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์นั่งของจักรพรรดิในอาณาจักรฆราวาสหรือบัลลังก์หลักของประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็มิอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของบัลลังก์ทองคำเข้มนี้
!
ทางด้านซ้ายของบัลลังก์ทองคำที่หม่นหมอง
มีเต่าหินสีดำขนาดใหญ่อยู่บนพื้น
เต่าตัวนั้นถูกแกะสลักเหมือนยังคงมีชีวิต
มันปลดปล่อยบรรยากาศกดทับที่หนักอึ้ง อีกทั้งยังถือแผนศิลาจารึกไว้อีกด้วย
เมื่อเห็นภาพนี้ดวงตาของจี้เทียนซิงก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจพลันอุทานออกมาว่า
“อนุสาวรีย์เต่าศิลาตัวนี้......เป็นหนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้า บุตรชายตนที่หกปี้ซี* ?! [赑屃]”
*******
[ ???? เกร็ดความรู้จีน : บุตรมังกรทั้งเก้า : บุตรคนที่หก ปี้ซี่ (赑屃) หรือ
ป้าเซี่ย (霸下))]
.
มังกร(龙 : หลง)คือสัญลักษณ์ของประเทศจีนมาแต่โบราณ
ตามตำนานโบราณของจีน มังกรมีบุตร 9 คน แต่ละคนไม่มีใครเหมือนมังกร
และมีลักษณะตลอดจนความชอบที่แตกต่างกัน
.
???? บุตรคนที่หก ปี้ซี่ (赑屃) หรือ ป้าเซี่ย (霸下)
.
ลักษณะคล้ายเต่า
เล่าขานกันว่าในสมัยโบราณ มันมักจะแบกภูเขาขึ้นมาเพื่อก่อเรื่องก่อราว
ต่อมาได้ถูกพระเจ้าอวี่ (禹)ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เซี่ย(夏)กำราบ
หลังจากนั้นป้าเซี่ยได้ช่วยพระเจ้าอวี่สร้างความดีความชอบไม่ใช่น้อย
หลังจากพระเจ้าอวี่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้สำเร็จ
จึงให้ป้าเซี่ยแบกศิลาจารึกคุณความชอบที่มันได้กระทำเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ศิลาจารึกในจีนจึงมีรูปปั้นป้าเซี่ยเป็นฐานแบกเสียเป็นส่วนใหญ่
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved