ตอนที่ 291

วิหารโบราณแห่งดวงดาว

ความกว้างใหญ่ไพศาลเหนือท้องฟ้าที่เนืองแน่นไปด้วยหมู่ดาวคือการดำรงอยู่ของสิ่งที่ลึกลับและห่างไกลจากความเข้าใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุด

!

ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขีดขั้นใดล้วนทำได้เพียงแหงนหน้ามองทองฟ้า

แต่ทว่าพวกเขาก็มิอาจเข้าสู่ความว่างเปล่าและสำรวจความลึกลับของหมู่ดวงดาวได้

บัดนี้

จี้เทียนซิงกลับมาถึงความว่างเปล่าที่ว่านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์และสามารถมองเห็นดวงดาวที่อยู่เหนือท้องฟ้าได้อย่างชัดตา

!

แน่นอนว่าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสะเทือนใจ

เพียงแค่รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันอันเหลือเชื่อ

อย่างไรก็ตาม

เมื่อความตื่นเต้นยินดีในใจของเขาลดลง ด้วยอารมณ์ที่สงบลงก็ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหา

เมื่อเข้ามาแล้ว

เขาจะออกจากความเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ได้อย่างไร ?

เขาจะกลับไปด้วยวิธีไหน ?

ถึงแม้นว่ามันจะดูบริสุทธิ์งดงามละลานตา

แต่เขาก็มิอาจอยู่ที่นี่ได้ชั่วชีวิต

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงสงบใจลงอย่างรวดเร็วพลางขมวดคิ้วค้นหาวิธีที่จะกลับออกไป

เขาจ้องมองที่ว่างเปล่าและดวงดาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาอย่างเงียบเชียบ

และสังเกตหมู่ดาวอันลึกลับและกว้างใหญ่เพื่อพยายามค้นหาเบาะแส

ทว่า

เมื่อได้เขาจดจ่ออยู่กับหมู่ดาวเหล่านั้น ใจของเขาก็หมกมุ่นอยู่กับมันราวกับว่าถูกดูดกลืนความสนใจโดยดาวขนาดใหญ่

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ

ชายหนุ่มจับจ้องสังเกตอย่างถี่ถ้วนโดยไม่ขยับเขยื้อน

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รั้งสติกลับมาได้

แววตาที่เคยเหม่อลอยกลับมารวมศูนย์อีกครั้งและเปล่งประกายเจิดจ้า

มุมปากกระตุกด้วยรอยยิ้มบางๆสายหนึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ !”

“คาดไม่ถึงว่าดวงดาวทั้งสามหมื่นหกพักดวงนี้คือส่วนหนึ่งของข่ายอาคมสรรพดารา

!”

ข่ายอาคมสรรพดารานี้คือข่ายอาคมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทวีปลมปราณฟ้า

มันถูกสร้างขึ้นด้วยพลังและภูมิปัญญาของผู้เชี่ยวชาญในแขนงนี้และกลั่นกรองมาหลายชั่วอายุคน

จำนวนและการวางแนวของดวงดาวในรูปภาพย่อยนี้สอดคล้องกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทั้ง

36 ดวง

การจัดวางและการเปิดใช้งานของดวงดาวแต่ละดวงสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของมันได้

ไม่เกินจริงแน่นอนหากจะพูดว่าแผนที่ข่ายอาคมสรรพดารานี้เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาอันดับต้นๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์

!

ลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนต้องศึกษาแผนที่ข่ายอาคมสรรพดารานี้

เพื่อใช้ในการสำรวจความลึกลับของดวงดาวบนท้องฟ้า

โชคดีที่จี้เทียนซิงเคยศึกษาข่ายอาคมชนิดนี้มาก่อนตอนที่กึ่งเรียนกึ่งถามกับเซี่ยงหวู่จี้ในตำหนักไท่อัน

เซี่ยงหวู่จี้ยังหลงใหลในแผนที่สรรพดาราและได้ทำการค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนมานานหลายทศวรรษ เขาผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญและความสำเร็จค่อนข้างสูง

เขาได้ค้นพบพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งข่ายอาคมของจี้เทียนซิง

และเคยพูดคุยกับชายหนุ่มเกี่ยวกับข่ายอาคมสรรพดาราโดยเฉพาะ

ช่วงที่ได้สอนเรื่องข่ายอาคม

จี้เทียนซิงก้าวเท้าเดินไปในความว่างเปล่า

ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ดวงดาวและความรู้ที่อยู่ในหัวเกี่ยวกับแผนที่สรรพดาราก็ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อชี้นำถึงวิธีการเปิดมัน

เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในความว่างเปล่าโดยไร้ซึ่งปัญหาใดๆ

ดวงตาของเขายังคงกระจ่างใสและดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หนึ่งวัน  สองวัน… สี่วัน  ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงราวกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ก้าวไปทีละขั้นอย่างลึกลับซ้อนในความว่างเปล่า  เขาเคลื่อนที่เดินไปรอบๆเป็นเวลาสี่วันสี่คืนติดต่อกัน

ในวันที่ห้า

หลังจากเดินไปได้เก้าหมื่นเก้าพันก้าว ในที่สุดเขาก็หยุดเดิน

เมื่อมาถึงจุดนี้

เขาได้ยืนอยู่ในจัตุรัสของดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง

"ในที่สุดก็พบ ! ดาวมโหฬาร

!”

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้น

รอยยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจปรากฏที่มุมปากของเขา

ตลอดสี่วันมานี้เขาเดินไปทั้งหมดเก้าหมื่นเก้าพันก้าวซึ่งอยู่ในเส้นทางของแผนที่สรรพดารา

ย้อนทวนอาคมเพื่อมองย้อนกลับไปยังทางออก

บัดนี้

ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและพบดวงดาวขนาดมโหฬารดวงหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงดาวนับหมื่นๆดวง

ดาวดวงนี้มีขนาดใหญ่และเปล่งแสงพร่างพราวระยิบระยับเป็นสีเงินราวกับดวงจันทร์

อย่างไรก็ตาม

การที่จะได้เห็นดาวดวงนี้ คนผู้นั้นเพียงต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่จี้เทียนซิงยืนอยู่เท่านั้นจึงจะพบการดำรงอยู่ของมันและมองเห็นแสงสว่าง

นี่คือหนึ่งในความลึกลับของแผนที่สรรพดารา

ซึ่งดาวยักษ์ดวงนี้ก็เป็นหนึ่งในทางออก

ข่ายอาคมนี้วิจิตรพิสดารมาก

แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่ใช้เวลาชั่วชีวิตก็ยังมิอาจหาทางออกได้

จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า

กางฝ่ามือออกมาและวาดไปในความว่างเปล่าอันมืดมิด

เขากำลังร่างเส้นโค้งสีทองสายหนึ่ง

หัวใจของเขาหลั่งไหลพลังปราณมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่องและฉีดอัดเข้าไปในความว่างเปล่าตรงหน้า

ราวกับว่าเขากำลังจะเปิดบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นที่อยู่เบื้องหน้านี้

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม

เขาก็พบกับความว่างเปล่าด้านนอกที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าว

สิ่งนั้นเปล่งแสงสีขาวสุกใสออกมา

“วูบ !”

แสงสีขาวอันพร่างพราวควบรวมกันเป็นประตูทางเข้ารูปไข่ในทันที

มันปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง !

จี้เทียนซิงรั้งฝ่ามือกลับมาพลางยกยิ้มมุมปาก

จากนั้นก็ก้าวเท้าผ่านเข้าไปในประตูทางเข้ารูปไข่ที่ส่องแสงกระพริบสีขาว

“วิ้ง !”

ในวินาทีต่อมา

เขาก็ออกจากความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและมาปรากฏตัวในห้องโถงที่มืดมิดแห่งหนึ่ง

มันเป็นพื้นกว้างๆและเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำ

ถึงแม้ว่าพื้นผิวจะมีลวดลายแต่มันก็เต็มไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะ

ห้องโถงใหญ่ว่างเปล่า

อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นของบางสิ่งที่เน่าเปื่อย มันดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอากาศไหลผ่านมานานนับปี

เพดานที่อยู่เหนือศีรษะของเขาถูกประดับประดาไว้ด้วยอัญมณีหนาแน่นซึ่งก่อตัวเป็นรูปดาวขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม

อัญมณีเหล่านั้นดำรงอยู่มาอย่างยาวนานเกินไป พลังของพวกมันได้สูญหายไปและกลายเป็นเพียงหินธรรมดาที่ไร้ค่า

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังหลงเหลือพลังงานที่ให้แสงสว่างสลัวๆเล็กน้อย

จี้เทียนซิงอยู่ยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่และกวาดตามองไปรอบๆด้วยความสงสัยในใจ

“ที่นี่คือที่ไหนกัน ? นี่ข้ายังอยู่ในอาณาเขตของเทือกเขาหมอกเร้นลับหรือไม่ ?”

ด้วยแสงแวววาวของอัญมณีมากกว่าสิบก้อนทำให้ชายหนุ่มสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ลางๆ

เขากวาดสายตาอันแหลมคมมองไปทั่วห้องโถงใหญ่แห่งนี้

ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาห่างออกไปประมาณสิบเมตรมีเสาหินขนาดใหญ่สองแถว

มันสมควรเป็นเสาที่รองรับน้ำหนักของห้องโถงใหญ่แห่งนี้

เสาหินแต่ละแท่งมีความหนาพอๆกับถังเก็บน้ำ

มันเป็นสีแดงสดและพื้นผิวยังมีเส้นสายสีทองเลือนลางสลักไว้อยู่

จี้เทียนซิงเดินไปและเหยียดมือปัดฝุ่นละอองเบาๆ

จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพที่แสดงถึงสัตว์อสูรโบราณที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้

ไม่ว่าจะเป็นลู่อู๋ มังกรอินทรี อีกาทองสามขา กิเลนวายุ  ฯลฯ ...

มีเสาหินอยู่ทางด้านซ้ายขวาฝั่งละหกเสาซึ่งเท่ากับจำนวนของสัตว์อสูรโบราณทั้งสิบสองตัว

ลวดลายที่สลักบนเสาหินทั้งสิบสองนี้เหมือนกับที่สลักบนสัตว์อสูรทั้งสิบสองตัวที่เคยผ่านตามาก่อน  เมื่อเห็นสิ่งนี้จี้เทียนซิงก็ได้คำตอบแล้ว

เห็นได้ชัดว่าห้องโถงหลักนี้ยังคงอยู่ในเทือกเขาหมอกเร้นลับ

และมันสมควรอยู่ในบริเวณทะเลสาบจันทร์เต็มดวง

เขาก้าวเท้าเดินไปทางทิศเหนือและหยุดเดินหลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยก้าว

ด้านหน้าของเขาเป็นบันไดหินเก้าชั้น

บันไดหินเหล่านั้นคือทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงแท่นที่ยกสูงขึ้นเหนือพื้นดิน

ที่สุดทางนั้นมีบัลลังก์ขนาดมหึมาที่ดูเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆลูกหนึ่ง

บัลลังก์ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากทองดำซึ่งเป็นโลหะที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

มันยาวกว่าห้าเมตรและกว้างสามเมตรอีกทั้งยังสลักลวดลายอันวิจิตรงดงามและซับซ้อนเอาไว้

บัลลังก์นี้ดูเก่าแก่มาก

มันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะจนดูหม่นหมองอย่างยิ่ง

แต่ทว่าขนาดและกลิ่นอายของมันน่าประทับใจเกินกว่าบัลลังก์ใดๆที่จี้เทียนซิงเคยเห็นมาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์นั่งของจักรพรรดิในอาณาจักรฆราวาสหรือบัลลังก์หลักของประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็มิอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของบัลลังก์ทองคำเข้มนี้

!

ทางด้านซ้ายของบัลลังก์ทองคำที่หม่นหมอง

มีเต่าหินสีดำขนาดใหญ่อยู่บนพื้น

เต่าตัวนั้นถูกแกะสลักเหมือนยังคงมีชีวิต

มันปลดปล่อยบรรยากาศกดทับที่หนักอึ้ง อีกทั้งยังถือแผนศิลาจารึกไว้อีกด้วย

เมื่อเห็นภาพนี้ดวงตาของจี้เทียนซิงก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจพลันอุทานออกมาว่า

“อนุสาวรีย์เต่าศิลาตัวนี้......เป็นหนึ่งในบุตรมังกรทั้งเก้า  บุตรชายตนที่หกปี้ซี* ?! [赑屃]”

*******

[ ???? เกร็ดความรู้จีน : บุตรมังกรทั้งเก้า : บุตรคนที่หก ปี้ซี่ (赑屃) หรือ

ป้าเซี่ย (霸下))]

.

มังกร(龙 : หลง)คือสัญลักษณ์ของประเทศจีนมาแต่โบราณ

ตามตำนานโบราณของจีน มังกรมีบุตร 9 คน แต่ละคนไม่มีใครเหมือนมังกร

และมีลักษณะตลอดจนความชอบที่แตกต่างกัน

.

???? บุตรคนที่หก ปี้ซี่ (赑屃) หรือ ป้าเซี่ย (霸下)

.

ลักษณะคล้ายเต่า

เล่าขานกันว่าในสมัยโบราณ มันมักจะแบกภูเขาขึ้นมาเพื่อก่อเรื่องก่อราว

ต่อมาได้ถูกพระเจ้าอวี่ (禹)ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เซี่ย(夏)กำราบ

หลังจากนั้นป้าเซี่ยได้ช่วยพระเจ้าอวี่สร้างความดีความชอบไม่ใช่น้อย

หลังจากพระเจ้าอวี่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้สำเร็จ

จึงให้ป้าเซี่ยแบกศิลาจารึกคุณความชอบที่มันได้กระทำเอาไว้

ด้วยเหตุนี้ศิลาจารึกในจีนจึงมีรูปปั้นป้าเซี่ยเป็นฐานแบกเสียเป็นส่วนใหญ่