หุบเขาไร้ปราณี
แปลงชีพจรเป็นกระบี่
ในค่ำคืนอันมืดมิด
ณ หุบเขาที่มีลมพัดผ่านอย่างเกรี้ยวกราด
จี้เทียนซิงถูกนำตัวไปที่ไหล่เขาแห่งหนึ่งโดยผู้ดูแลชุดคลุมดำ
พวกเขามุ่งหน้าไปยังถ้ำอันมืดมิด
ถ้ำแห่งนี้ทอดยาวไปตามพื้นดินที่ลึกและคดเคี้ยว
ซึ่งทุกๆ 30 เมตรจะมีโคมไฟหินอยู่สองฟากข้างของผนังถ้ำ
โคมไฟหินเหล่านี้ส่องสว่างขึ้นได้โดยข่ายอาคมที่วางไว้ตั้งแต่ยุคโบราณ
แต่แสงนั้นอ่อนโทรมลงจนเหมือนจะดับมอดได้ทุกเมื่อ มันทำให้ลำบากไม่น้อยที่จะเห็นสภาพของถ้ำและเส้นทางได้อย่างทั่วถึง
จี้เทียนซิงแทบจะมองไม่เห็นภาพใดๆภายในถ้ำได้เลย
หลังจากครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้ดูแลชุดคลุมดำก็พาเขาเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ ภายในนั้นมีห้องหินมืดที่เย็นเฉียบจับจิตอยู่ห้องหนึ่ง
ซึ่งห้องนี้เป็นที่ที่จี้เทียนซิงจะต้องถูกกักบริเวณ
ก่อนจะออกไป
ผู้ดูแลชุดดำก็ปิดประตูเหล็กสีดำและคล้องโซ่ขนาดใหญ่ไว้กันการหลบหนี
“จี้เทียนซิง
จงนั่งทบทวนความผิดอยู่ในถ้ำวายุทมิฬแห่งนี้แต่โดยดี อย่าแม้แต่คิดที่จะหนี หากเจ้ากล้าฝ่าฝืนและทางนิกายจับได้ เจ้าจะถูกประหารทันที !”
หลังจากทิ้งประโยคเหล่านี้ไว้
ผู้ดูแลชุดดำก็หันหลังหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
จี้เทียนซิงกางสองมือจับประตูเหล็กสีดำและเขย่าประตูพลางตะโกนอย่างไม่เต็มใจออกมาว่า
“ผู้อาวุโส
ข้าถูกใส่ความ ! เมื่อจี้เค่อฟื้นขึ้นมา พวกท่านจะได้รู้ความจริงทั้งหมด
!”
อย่างไรก็ตาม
ผู้ดูแลชุดดำก็ค่อยๆหายไปและไม่สนใจคำพูดของเขา
หลังจากเวลาผ่านไปนาน
ถ้ำมืดแห่งนี้ก็เงียบสงัดลง
จี้เทียนซิงคลายมือจากลูกกรงเหล็กและเดินไปนั่งบนม้าหิน
มีเพียงสองสิ่งที่อยู่ในห้องหินที่ทั้งมืดและเย็นชื้นแห่งนี้ก็คือ
โคมไฟหินเก่าแก่บนผนังและม้านั่งหินขรุขระตรงมุมห้อง นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและทันทีที่เหยียบพื้นก็จะเกิดรอยเท้าขึ้น ไม่รู้ว่าห้องนี้ไร้ซึ่งผู้คนที่ถูกขังนานเท่าไหร่แล้ว
จี้เทียนซิงไม่รู้เลยว่าตนเองจะต้องถูกขังอยู่ในนี้นานเพียงใด
อาจจะสอง
หรือสามวัน ? หรือ 2-3
เดือน
ซึ่งกุญแจสำคัญในการกำหนดระยะเวลาที่คุมขังก็อยู่ที่ว่าจี้เค่อจะฟื้นเมื่อไหร่
จี้เค่อถูกกระบี่ของจี้หลิงแทงทะลุไหล่และถูกผลักตกหน้าทั้งที่หมดสติ
แต่นางกลับยังไม่ตายซึ่งนับว่าดวงดีอย่างมาก จี้เทียนซิงยากที่จะจินตนาการได้ว่านางจะเต็มไปด้วยบาดแผลมากน้อยเพียงใดและบาดเจ็บแค่ไหน
รอ
! เขาทำได้เพียงต้องรอ
...........
ห้องหินแห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน นอกจากแสงสลัวที่เปล่งออกมาจากโคมไฟหินโบราณแล้ว เขามองไม่เห็นท้องฟ้าด้านนอกเลย
ในระหว่างการถูกคุมขัง
เขามีเพียงความมืดเท่านั้นที่เป็นเพื่อน
จี้เทียนซิงนั่งอยู่บนเก้าหินได้เพียงครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกได้ถึงความเย็นและความหนาวเหน็บที่กัดกินผิวหนังจนรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
ความมืดมิด
ความหนาวเย็น ความเหงาและความหมดหนทางโอบล้อมรอบตัวเขา ความโกรธแค้นที่ไร้ขอบเขตและเจตนาฆ่าฟันระเบิดขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเขา
“สารเลวจี้หลิง ! เจ้ามันเดรัจฉาน ชั่วช้า !”
“หากข้าได้เจอหน้าเจ้าอีกครั้งข้าจะทุบทำลายเจ้าให้เป็นศพเละๆ
!”
จี้เทียนซิงกำหมัดแน่นและร่ำร้องอยู่ภายในใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเกลียดคนๆหนึ่งถึงขั้นนี้
แม้กระทั่งตอนที่ถูกหลิงหยุนเฟยทำร้ายหักหลัง
ความโกรธแค้นในใจและเจตนาฆ่าฟันของเขาก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับครั้งนี้ !
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จี้เทียนซิงขดตัวอยู่ที่มุมม้านั่งหิน ใบหน้าถูกสายลมหนาวพัดผ่านจนเริ่มนั่งไม่ติด
ถ้ำที่เรียกว่าถ้ำวายุทมิฬแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อขังศิษย์ที่ทำผิดกฎ
โดยปกติแล้วย่อมไม่มีทางทำให้ผู้ถูกขังได้อยู่อย่างสบายแน่นอน
ลมหนาวและความเย็นอันไม่มีวันจบสิ้นนี้คือการลงโทษของเขา
“ไม่ได้การ ! ข้าต้องหาวิธีต้านลมหนาวเหล่านี้เสียแล้ว
ขืนอยู่ต่อไปนานๆข้าต้องเป็นมนุษย์น้ำแข็งและแม้กระทั่งเส้นชีพจรลมปราณคงกลายเป็นเศษซาก
... ”
จี้เทียนซิงเริ่มทนไม่ไหวจนต้องหาวิธีต้านความหนาวอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่พลังปราณของเขายังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
หลังจากทดลองโคจรพลังให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกเจ็บปวดหนาวเหน็บของเนื้อหนัง
เลือดลมและเส้นชีพจรลมปราณก็ลดลงอย่างมาก
วิธีนี้นับว่าได้ผล
อารมณ์ของจี้เทียนซิงสงบลงเล็กน้อย
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่ทำให้เสียสมาธิออกไปและนั่งลงขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฝึกฝน
เพื่อให้สอดคล้องกับเคล็ดวิถีใจกระบี่ขั้นที่สาม
เขาระดมพลังปราณให้ไหลสู่เส้นชีพจรทั้งเก้าเพื่อบรรเทาพวกมันให้แปลงเป็นชีพจรกระบี่
เวลาผ่านไปหกชั่วโมงและการบ่มเพาะของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาถูกปรับให้เข้ากับอากาศหนาวและสายลมเย็นเยือกที่พัดพาเข้ามาในห้องอยู่ตลอดเวลา
ทุกวันที่ผันผ่านไป
ความหิวโหยก็เริ่มปรากฏที่ท้องจนทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย
เขาหยุดการฝึกเพื่อมองหาของกิน โชคยังเข้าข้างที่เซี่ยงหวู่จี้ไม่ได้ยึดถุงมิติของเขาไว้หลังจากกักตัวเฉียนเยวี่ยและกระบี่มังกรดำ
ในนั้นมีอาหารและผลไม้จำนวนมากที่เขาเก็บเตรียมไว้ให้เฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงกิน
หลังจากกินผลไม้และอาหารอื่นๆแล้ว
ความหิวก็เบรรเทาลงอย่างมาก เขาจึงเริ่มฝึกฝนต่อไป
โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ผ่านไปห้าวัน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั่วทั้งถ้ำเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆและมืดมิดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยู่ระแวกนี้เลยยกเว้นจี้เทียนซิงผู้เดียว
เขาฝึกฝนอย่างหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน
เมื่อหิวก็หาอาหารในถุงมิติกิน
แต่พอผ่านไปหลายวันเข้าก็พบว่าเหลืออาหารอีกไม่มากแล้ว
ภายใต้ความหิวโหย
จี้เทียนซิงจึงต้องคิดหาวิธีอื่น เขานึกขึ้นได้ว่ายังมีโอสถและสมุนไพรจำนวนมากอยู่ในถุงมิติ
เขาจึงหยิบสมุนไพรและเม็ดยาที่กินได้ออกมากินเพิ่มพลังงานแทนอาหารที่ใกล้จะหมด
“หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตต่อให้ไม่กินอะไรเลยสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่มีปัญหา
แต่ข้ามีพลังเพียงขอบเขตปราณแท้ขั้น 6 เท่านั้น
ซึ่งยังอีกห่างไกล คงต้องพึ่งพาสมุนไพรกับโอสถเหล่านี้ประทังไปก่อน... ”
เหล่าจอมยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขึ้นไปล้วนอาศัยเพียงการดูดซึมพลังฟ้าดินเพื่อประทังพลังกาย
ซึ่งขอบเขตนี้จอมยุทธ์จะสามารถใช้ความคิดอันทรงพลังเปลี่ยนเป็นสัมผัสญาณที่สามารถสื่อสารกับพลังต้นกำเนิดโลกได้
เช่นการดูดซับพลังต้นกำเนิดของน้ำให้เปลี่ยนเป็นพลังปราณของตัวเอง
ดังนั้น
ตราบใดที่มีปราณแท้เพียงพอ จอมยุทธ์เขตแดนปราณจิตขึ้นไปก็ไม่จำเป็นต้องดื่มกิน
.........
เวลาผ่านไปอีกห้าวันอย่างรวดเร็ว
ในช่วงห้าวันมานี้จี้เทียนซิงยังคงประทังปราณแท้ในร่างเอาไว้ด้วยเม็ดยาและสมุนไพรที่เก็บไว้ในถุงมิติ
ด้วยความอดทนและความอุตสาหะที่แข็งแกร่ง
รวมไปถึงความหิวโหยก็ทำให้เขาตัดผ่านระดับไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น
จากการบ่มเพาะอย่างหนักในห้องหินแห่งนี้อย่างต่อเนื่องร่วมสิบวันทำให้เขาประสบความสำเร็จในการแปลงชีพจรลมปราณให้เป็นชีพจรกระบี่ได้หนึ่งสาย ระดับพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น
ความสำเร็จในการบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นเล็กๆนี้ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจเท่าใดนัก ในใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล
“นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว
ทำไมยังไม่มีใครมาหาข้าเลย ? เค่อเค่อที่บาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่รู้ข่าวเลยว่าอาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง...
นี่มันท่าทางไม่ปกติเสียแล้ว”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved