ตอนที่ 127

หุบเขาไร้ปราณี

แปลงชีพจรเป็นกระบี่

ในค่ำคืนอันมืดมิด

ณ หุบเขาที่มีลมพัดผ่านอย่างเกรี้ยวกราด

จี้เทียนซิงถูกนำตัวไปที่ไหล่เขาแห่งหนึ่งโดยผู้ดูแลชุดคลุมดำ

พวกเขามุ่งหน้าไปยังถ้ำอันมืดมิด

ถ้ำแห่งนี้ทอดยาวไปตามพื้นดินที่ลึกและคดเคี้ยว

ซึ่งทุกๆ 30 เมตรจะมีโคมไฟหินอยู่สองฟากข้างของผนังถ้ำ

โคมไฟหินเหล่านี้ส่องสว่างขึ้นได้โดยข่ายอาคมที่วางไว้ตั้งแต่ยุคโบราณ

แต่แสงนั้นอ่อนโทรมลงจนเหมือนจะดับมอดได้ทุกเมื่อ มันทำให้ลำบากไม่น้อยที่จะเห็นสภาพของถ้ำและเส้นทางได้อย่างทั่วถึง

จี้เทียนซิงแทบจะมองไม่เห็นภาพใดๆภายในถ้ำได้เลย

หลังจากครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้ดูแลชุดคลุมดำก็พาเขาเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ  ภายในนั้นมีห้องหินมืดที่เย็นเฉียบจับจิตอยู่ห้องหนึ่ง

ซึ่งห้องนี้เป็นที่ที่จี้เทียนซิงจะต้องถูกกักบริเวณ

ก่อนจะออกไป

ผู้ดูแลชุดดำก็ปิดประตูเหล็กสีดำและคล้องโซ่ขนาดใหญ่ไว้กันการหลบหนี

“จี้เทียนซิง

จงนั่งทบทวนความผิดอยู่ในถ้ำวายุทมิฬแห่งนี้แต่โดยดี อย่าแม้แต่คิดที่จะหนี หากเจ้ากล้าฝ่าฝืนและทางนิกายจับได้ เจ้าจะถูกประหารทันที !”

หลังจากทิ้งประโยคเหล่านี้ไว้

ผู้ดูแลชุดดำก็หันหลังหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงกางสองมือจับประตูเหล็กสีดำและเขย่าประตูพลางตะโกนอย่างไม่เต็มใจออกมาว่า

“ผู้อาวุโส

ข้าถูกใส่ความ ! เมื่อจี้เค่อฟื้นขึ้นมา พวกท่านจะได้รู้ความจริงทั้งหมด

!”

อย่างไรก็ตาม

ผู้ดูแลชุดดำก็ค่อยๆหายไปและไม่สนใจคำพูดของเขา

หลังจากเวลาผ่านไปนาน

ถ้ำมืดแห่งนี้ก็เงียบสงัดลง

จี้เทียนซิงคลายมือจากลูกกรงเหล็กและเดินไปนั่งบนม้าหิน

มีเพียงสองสิ่งที่อยู่ในห้องหินที่ทั้งมืดและเย็นชื้นแห่งนี้ก็คือ

โคมไฟหินเก่าแก่บนผนังและม้านั่งหินขรุขระตรงมุมห้อง  นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย

พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและทันทีที่เหยียบพื้นก็จะเกิดรอยเท้าขึ้น  ไม่รู้ว่าห้องนี้ไร้ซึ่งผู้คนที่ถูกขังนานเท่าไหร่แล้ว

จี้เทียนซิงไม่รู้เลยว่าตนเองจะต้องถูกขังอยู่ในนี้นานเพียงใด

อาจจะสอง

หรือสามวัน ?  หรือ 2-3

เดือน

ซึ่งกุญแจสำคัญในการกำหนดระยะเวลาที่คุมขังก็อยู่ที่ว่าจี้เค่อจะฟื้นเมื่อไหร่

จี้เค่อถูกกระบี่ของจี้หลิงแทงทะลุไหล่และถูกผลักตกหน้าทั้งที่หมดสติ

แต่นางกลับยังไม่ตายซึ่งนับว่าดวงดีอย่างมาก จี้เทียนซิงยากที่จะจินตนาการได้ว่านางจะเต็มไปด้วยบาดแผลมากน้อยเพียงใดและบาดเจ็บแค่ไหน

รอ

! เขาทำได้เพียงต้องรอ

...........

ห้องหินแห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน นอกจากแสงสลัวที่เปล่งออกมาจากโคมไฟหินโบราณแล้ว เขามองไม่เห็นท้องฟ้าด้านนอกเลย

ในระหว่างการถูกคุมขัง

เขามีเพียงความมืดเท่านั้นที่เป็นเพื่อน

จี้เทียนซิงนั่งอยู่บนเก้าหินได้เพียงครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกได้ถึงความเย็นและความหนาวเหน็บที่กัดกินผิวหนังจนรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง

ความมืดมิด

ความหนาวเย็น ความเหงาและความหมดหนทางโอบล้อมรอบตัวเขา ความโกรธแค้นที่ไร้ขอบเขตและเจตนาฆ่าฟันระเบิดขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเขา

“สารเลวจี้หลิง ! เจ้ามันเดรัจฉาน ชั่วช้า !”

“หากข้าได้เจอหน้าเจ้าอีกครั้งข้าจะทุบทำลายเจ้าให้เป็นศพเละๆ

!”

จี้เทียนซิงกำหมัดแน่นและร่ำร้องอยู่ภายในใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเกลียดคนๆหนึ่งถึงขั้นนี้

แม้กระทั่งตอนที่ถูกหลิงหยุนเฟยทำร้ายหักหลัง

ความโกรธแค้นในใจและเจตนาฆ่าฟันของเขาก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับครั้งนี้ !

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด  จี้เทียนซิงขดตัวอยู่ที่มุมม้านั่งหิน ใบหน้าถูกสายลมหนาวพัดผ่านจนเริ่มนั่งไม่ติด

ถ้ำที่เรียกว่าถ้ำวายุทมิฬแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อขังศิษย์ที่ทำผิดกฎ

โดยปกติแล้วย่อมไม่มีทางทำให้ผู้ถูกขังได้อยู่อย่างสบายแน่นอน

ลมหนาวและความเย็นอันไม่มีวันจบสิ้นนี้คือการลงโทษของเขา

“ไม่ได้การ ! ข้าต้องหาวิธีต้านลมหนาวเหล่านี้เสียแล้ว

ขืนอยู่ต่อไปนานๆข้าต้องเป็นมนุษย์น้ำแข็งและแม้กระทั่งเส้นชีพจรลมปราณคงกลายเป็นเศษซาก

... ”

จี้เทียนซิงเริ่มทนไม่ไหวจนต้องหาวิธีต้านความหนาวอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่พลังปราณของเขายังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก

หลังจากทดลองโคจรพลังให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกเจ็บปวดหนาวเหน็บของเนื้อหนัง

เลือดลมและเส้นชีพจรลมปราณก็ลดลงอย่างมาก

วิธีนี้นับว่าได้ผล

อารมณ์ของจี้เทียนซิงสงบลงเล็กน้อย

เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่ทำให้เสียสมาธิออกไปและนั่งลงขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฝึกฝน

เพื่อให้สอดคล้องกับเคล็ดวิถีใจกระบี่ขั้นที่สาม

เขาระดมพลังปราณให้ไหลสู่เส้นชีพจรทั้งเก้าเพื่อบรรเทาพวกมันให้แปลงเป็นชีพจรกระบี่

เวลาผ่านไปหกชั่วโมงและการบ่มเพาะของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาถูกปรับให้เข้ากับอากาศหนาวและสายลมเย็นเยือกที่พัดพาเข้ามาในห้องอยู่ตลอดเวลา

ทุกวันที่ผันผ่านไป

ความหิวโหยก็เริ่มปรากฏที่ท้องจนทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย

เขาหยุดการฝึกเพื่อมองหาของกิน  โชคยังเข้าข้างที่เซี่ยงหวู่จี้ไม่ได้ยึดถุงมิติของเขาไว้หลังจากกักตัวเฉียนเยวี่ยและกระบี่มังกรดำ

ในนั้นมีอาหารและผลไม้จำนวนมากที่เขาเก็บเตรียมไว้ให้เฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงกิน

หลังจากกินผลไม้และอาหารอื่นๆแล้ว

ความหิวก็เบรรเทาลงอย่างมาก เขาจึงเริ่มฝึกฝนต่อไป

โดยไม่รู้ตัว  เวลาก็ผ่านไปห้าวัน

ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั่วทั้งถ้ำเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆและมืดมิดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยู่ระแวกนี้เลยยกเว้นจี้เทียนซิงผู้เดียว

เขาฝึกฝนอย่างหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน

เมื่อหิวก็หาอาหารในถุงมิติกิน

แต่พอผ่านไปหลายวันเข้าก็พบว่าเหลืออาหารอีกไม่มากแล้ว

ภายใต้ความหิวโหย

จี้เทียนซิงจึงต้องคิดหาวิธีอื่น เขานึกขึ้นได้ว่ายังมีโอสถและสมุนไพรจำนวนมากอยู่ในถุงมิติ

เขาจึงหยิบสมุนไพรและเม็ดยาที่กินได้ออกมากินเพิ่มพลังงานแทนอาหารที่ใกล้จะหมด

“หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตต่อให้ไม่กินอะไรเลยสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่มีปัญหา

แต่ข้ามีพลังเพียงขอบเขตปราณแท้ขั้น 6 เท่านั้น

ซึ่งยังอีกห่างไกล คงต้องพึ่งพาสมุนไพรกับโอสถเหล่านี้ประทังไปก่อน... ”

เหล่าจอมยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขึ้นไปล้วนอาศัยเพียงการดูดซึมพลังฟ้าดินเพื่อประทังพลังกาย

ซึ่งขอบเขตนี้จอมยุทธ์จะสามารถใช้ความคิดอันทรงพลังเปลี่ยนเป็นสัมผัสญาณที่สามารถสื่อสารกับพลังต้นกำเนิดโลกได้

เช่นการดูดซับพลังต้นกำเนิดของน้ำให้เปลี่ยนเป็นพลังปราณของตัวเอง

ดังนั้น

ตราบใดที่มีปราณแท้เพียงพอ จอมยุทธ์เขตแดนปราณจิตขึ้นไปก็ไม่จำเป็นต้องดื่มกิน

.........

เวลาผ่านไปอีกห้าวันอย่างรวดเร็ว

ในช่วงห้าวันมานี้จี้เทียนซิงยังคงประทังปราณแท้ในร่างเอาไว้ด้วยเม็ดยาและสมุนไพรที่เก็บไว้ในถุงมิติ

ด้วยความอดทนและความอุตสาหะที่แข็งแกร่ง

รวมไปถึงความหิวโหยก็ทำให้เขาตัดผ่านระดับไปได้

ยิ่งไปกว่านั้น

จากการบ่มเพาะอย่างหนักในห้องหินแห่งนี้อย่างต่อเนื่องร่วมสิบวันทำให้เขาประสบความสำเร็จในการแปลงชีพจรลมปราณให้เป็นชีพจรกระบี่ได้หนึ่งสาย  ระดับพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น

ความสำเร็จในการบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นเล็กๆนี้ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจเท่าใดนัก  ในใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล

“นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว

ทำไมยังไม่มีใครมาหาข้าเลย ? เค่อเค่อที่บาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่รู้ข่าวเลยว่าอาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง...

นี่มันท่าทางไม่ปกติเสียแล้ว”