ตอนที่ 74

เจ้าไม่คู่ควรให้ข้าชักกระบี่

!

การประลองคู่ที่สองเริ่มขึ้นในทันที

สิ้นเสียงขานเรียกของผู้ดูแลฮั่น

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีดำหน้าตาหล่อเหลาและชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีแดงเพลิงก็เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีดำก็คือเว่ยหลิงเฟิง

หนึ่งในวีรบุรุษคู่ดำขาวสหายสนิทของเจียงไป๋อวี้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของรัฐนภากระจ่าง

ส่วนจอมยุทธ์หนุ่มผู้สวมชุดเกราะสีแดงเพลิงก็คือคุณชายของตระกูลผู้ทรงอำนาจภายในเมืองจักรวรรดิชิงหยุน

บุคคลนี้มีความแข็งแกร่งในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สามและมีชื่อเสียงในเมืองจักรวรรดิไม่น้อย  ทว่า

เขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของเว่ยหลิงเฟิงแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของเว่ยหลิงเฟิงนั้นได้มาถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้าไปแล้ว

ผู้ชมนับหมื่นในจัตุรัสต่างก็เคยได้ยินชื่อของเว่ยหลิงเฟิงและประจักษ์ในความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างดี

ดังนั้นจึงไม่มีใครมองชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงเพลิงที่ชื่อซุนอวี้เซียนแม้แต่น้อย

หลังจากได้เห็นชายหนุ่มทั้งสองคนขึ้นไปบนเวทีด้วยกระบี่ในมือ

ผู้สังเกตการณ์นับไม่ถ้วนต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ด้วยความแข็งแกร่งของเว่ยหลิงเฟิง ไม่ว่าจะสู้กับผู้ใดข้าก็มั่นใจว่าเขาต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน”

“ถูกต้อง เว่ยหลิงเฟิงเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของรัฐ

ซุนอวี้เซียนไม่ใช่คู่มือของมันอย่างแน่นอน”

“ข้ามั่นใจว่าซุนอวี้เซียนจะต้องพ่ายแพ้เว่ยหลิงเฟิงภายในสิบกระบวนท่า

!”

“ห้ะ ?

10 กระบวนท่า

?  ข้าว่า

6 ก็จบแล้ว !”

“5 กระบวนท่าต่างหาก ไม่เกิน 5 !”

ในระหว่างที่ฝูงชนพูดคุยกัน

ซุนอวี้เซียนก็เผยสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดต่อคำสบประมาท เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้หนทางกับเว่ยหลิงเฟิงว่า

“ท่านพี่เว่ย ข้าสู้ท่านไม่ได้

ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ !”

“เฮ้อ.... ข้าเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงหลงเหมินกับพวกท่าน

ข้าคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้านิกายหนุนสวรรค์

แต่มีเพียงพลังนั้นไม่มีประโยชน์ ต้องมีโชคด้วย  ข้าดวงซวยเองที่ต้องมาจับคู่กับท่าน !”

ไม่มีใครคิดว่าซุนอวี้เซียน

ยังไม่ทันได้ชักกระบี่ก็ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาเสียแล้ว !

ฝูงชนในจัตุรัสระเบิดเสียงสนทนาขึ้นมาอย่างกระทันหันและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

บางคนเย้ยหยันซุนอวี้เซียนที่ยังไม่ทันสู้สักกระบวนท่า

แต่กลับยอมแพ้เสียแล้ว

ส่วนบางคนก็คิดว่าหมากตานี้ของซุนอวี้เซียนนับว่าชาญฉลาดมาก  ในเมื่อดึงดันไปก็แพ้และเสียหน้าอยู่ดี

มิสู้ประกาศยอมแพ้ให้หมดเรื่องหมดราวไปตรงๆเลยดีกว่า

นอกจากนี้ทุกคนต่างก็ได้ยินคำพูดทิ้งท้ายของซุนอวี้เซียนและเข้าใจในความหมายของมัน  เขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะโบยบินเข้าสู่นิกายหนุนสวรรค์แต่โชคไม่ดีที่ต้องมาจับคู่กับสุดยอดฝีมือรุ่นนี้อย่างเว่ยหลิงเฟิง

นี่แหละชีวิต

!

เป็นดั่งโบราณว่าไว้

หากต้องเปลี่ยนตัวเองให้ผงาดขึ้นเป็นมังกรที่แท้จริง

ไม่เพียงต้องมีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ต้องมีโชคด้วยประมาณหนึ่ง !

จากนั้นผู้ดูแลฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศผลเสียงดัง

เว่ยหลิงเฟิงเข้ารอบ ซุนอวี้เซียนถูกคัดออก

พวกเขาทั้งสองก้าวลงจากลานประลอง

แต่ฝูงชนก็ยังกระซิบกระซาบพูดคุยกันไม่หยุด

ต่อมา

การประลองรอบที่สามก็เริ่มขึ้น

รุ่นเยาว์สองคนขึ้นไปบนเวทีด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้น  หนึ่งในนั้นคือจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ชื่อว่าฟ่านเจียนเยิ่น

ชื่อของเขาเป็นที่ถูกล้อเลียนเป็นประจำ

ซึ่งคู่ต่อสู้ก็รับรู้และใช้เรื่องนี้กระตุ้นยั่วยุให้เขาโมโหจนขาดสติ

สุดท้าย

ผลที่ออกมาก็ชัดเจน ฟ่านเจียนเยิ่นที่ขาดสติเป็นฝ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย

จากนั้นการประลองรอบที่

4 ..  5 ก็ดำเนินต่อไปตามลำดับ

...

ผู้แพ้ถูกคัดออก

และหลบลี้หนีหน้าไปจากสถานที่นี้แทบจะทันที ส่วนผู้ชนะก็ดื่มด่ำไปกับเสียงเชียร์และความชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วน

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะนี้มีจอมยุทธ์

14 คนอยู่บนลานประลองส่วนอีก 14 คนถูกคัดออก

ผู้ที่ชนะเข้ารอบทั้ง

14 คนนั้นล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถสูง

เช่น เจียงไป๋อวี้และเจี้ยนหวู่เซิง

ในที่สุดการประลองรอบที่

15 ก็เริ่มขึ้นและถึงคิวของจี้เทียนซิง

คู่ต่อสู้ของเขาเป็นจอมยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สี่ที่มีนามว่า

ว่านซือหลิน เขาเป็นคุณชายของตระกูลว่าน หนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองจักรวรรดิ

อีกทั้งยังเป็นศัตรูกับจี้เทียนซิงและเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน

ว่านซือหลินกระโดดปราดขึ้นไปยืนกอดอกอยู่กลางลานประลองและยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันพลางกวักนิ้วเรียกจี้เทียนซิง

ดวงตาของจี้เทียนซิงพวยพุ่งประกายเย็นชา

เขากุมกระบี่มังกรดำไว้ในมือและก้าวยาวๆขึ้นไป

ทันใดนั้นเองสายตาของผู้คนนับหมื่นในจัตุรัสก็รวมกันที่ร่างของจี้เทียนซิงด้วยรูปลักษณ์อันซับซ้อน

จากนั้นเสียงสนทนาอันร้อนแรงก็ระเบิดขึ้น

“นั่น ! จี้เทียนซิงลงสนามแล้ว  นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเขา !”

“เหอๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นฟูพลังกลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าอยู่ในขีดขั้นไหน

ยังไม่แน่หรอกว่าเขาจะเอาชนะว่านซือหลินได้”

“ถูกต้อง

แม้ว่าพลังของจี้เทียนซิงจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มว่านซือหลินในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สี่ !”

“ข้าได้ยินมาว่า

ว่านซือหลินเคยมีเรื่องบาดหมางกับจี้เทียนซิงมาก่อน

วันนี้เขากำลังจะได้แก้แค้นสมใจอยากแล้ว

จี้เทียนซิงโดนเก็บต้นทบดอกแน่นอน !”

“จี้เทียนซิงเป็นขยะไร้ค่าหรืออัจฉริยะกลับมาทวงบัลลังก์

วันนี้เราคงได้รู้กันแล้ว !”

ว่านซือหลินมองไปที่จี้เทียนซิงพร้อมกับแสยะยิ้มและกล่าวว่า

“จี้เทียนซิง ! เมื่อคราวที่อยู่ในบ่อน

ข้าถูกเจ้าตบหน้าฉาดใหญ่สามครั้งกลางที่สาธารณะ ความแค้นครั้งนั้นข้าไม่เคยลืม ! วันนี้ต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง

ข้าจะตบเจ้าคืนให้เจ้าร้องขอความเมตตาและอับอายขายหน้า !”

จี้เทียนซิงเหลือบมองว่านซือหลินด้วยหางตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“เป็นเจ้าเองที่แส่หาเรื่อง

เจ้าวางแผนล่อลวงเด็กของตระกูลจี้ให้ติดการพนันและบีบให้พวกมันต้องขโมยเงินนับล้านในตระกูล

ข้าเพียงแค่ตบหน้าสั่งสอนก็ถือว่าไว้หน้าเจ้ากับตระกุลว่านพอแล้ว !”

“ส่วนเจ้า

คิดจะแก้แค้นโดยการเอาชนะข้าจนทำให้ข้าต้องขอความเมตตา ? เหอะ.... ชาติหน้าก็ไม่มีหวัง”

จี้เทียนซิงยกยิ้มมุมปากและเผยรอยยิ้มที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม

ทันใดนั้นเองว่านซือหลินก็เต็มไปด้วยโทสะและตะโกนออกมาว่า

“เพ้ย ! จี้เทียนซิง

เจ้ามันอวดดีเกินไปแล้ว !”

“มีข่าวลือในเมืองว่าเจ้าได้ฟื้นพลังกลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงแล้ว

ข้าอยากจะรู้นักว่าเพียงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน เจ้าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว ขยะตระกูลจี้อย่างเจ้า คิดจะล้างความอัปยศ ? เพ้อฝัน !”

หลังจากคำรามอย่างดุเดือด

ว่านซือหลินก็ชักกระบี่และพุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงด้วยเจตนาฆ่า

“เช้ง เช้ง เช้ง !”

ลำแสงกระบี่สามสายอันเฉียบคม

ฟาดฟันเข้าหาสามจุดสำคัญของจี้เทียนซิงอย่างดุดัน

“ใครเป็นขยะ เดี๋ยวก็รู้ !”

จี้เทียนซิงเย้ยหยัน

แต่น่าแปลกที่เขาไม่มีทีท่าชักกระบี่

วูบ

!

ฝ่าเท้าของเขาก้าวออกไปเป็นท่าร่างอันลึกลับ

เงาร่างกระพริบวูบวาบหลบเลี่ยงการโจมตีทั้งสามกระบี่ได้อย่างง่ายดาย

“ไม่ยอมชักกระบี่ ? โอหังสิ้นดี

!”

ว่านซือหลินรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างมาก

ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ

เช้ง

เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง !

เขาเหวี่ยงกระบี่ออกไปอีกห้าครั้งจนลำแสงกระบี่ครอบคลุมทั่วร่างจี้เทียนซิง

วูบ

วูบ วูบ วูบ วูบ

ร่างกายของเขากระพริบซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหลีกเลี่ยงลำแสงกระบี่อันเกรี้ยวดกราดพลางกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าใช้กระบี่ !”

เหล่าจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่รอบๆเวทีต่างก็จ้องมองไปที่การต่อสู้ของรุ่นเยาว์ทั้งสองด้วยความกังวล

เมื่อเห็นการโจมตีที่รุนแรงของว่านซือหลิน

จี้เทียนซิงก็ยังไม่ยอมชักกระบี่ ทำให้ทุกคนต่างก็กระซิบกระซาบกัน

ยิ่งได้ยินเสียงคำรามที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของจี้เทียนซิง

พวกเขาก็ยิ่งระเบิดการสนทนาในทันที

“ฮ่าๆๆ จี้เทียนซิงบ้าไปแล้ว !”

“เหอะ ! หมอนั่นปากดีนัก

หากมันแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆทำไมไม่ตอบโต้ไปเล่า ? เอาแต่หนีอยู่ได้”

“ฟื้นฟูกลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงแล้วยังไง ? สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่มือของว่านซือหลินอยู่ดี”

“เหอๆ ดูเหมือนว่าจี้เทียนซิงจะหวังสูงเกินไปหน่อย

เขาคิดจะติดหนึ่งในสิบอันดับงั้นหรือ ? เป็นความฝันอันงี่เง่านัก

!”