ฉีกกฎเกณฑ์และทุบทำลายสามัญสำนึก
คำพูดของซื่อจิงเฉิงเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต้องการพูด
แต่ก่อนหน้าพวกมันถูกหยานตงไหลหยอกเป็นตัวตลกไปรอบหนึ่งแล้ว
ตอนนี้จะถูกหยินเฟยหยางหลอกอีกหรือไม่ ?
หยินเฟยหยางได้ยินคำพูดของซื่อจิงเฉิง
แต่ทว่าใบหน้าของมันก็ยังไม่เปลี่ยนสี มันเผยรอยยิ้มหยอกเย้าและกล่าวว่า “ศิษย์น้องท่านนี้ด่วนสรุปเกินไปกระมัง ? ศิษย์พี่ของข้ามีเส้นชีพจรลมปราณสิบเส้นจริงๆ”
“ในเมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านดูเหมือนจะไม่เชื่อ
เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ฟัง ศิษย์พี่ฮั่งเชินแห่งนิกายกระบี่ฟ้าของพวกข้านั้นต่างจากคนทั่วไป
เขาครอบครองสายเลือดกระบี่ยุทธ์ซึ่งเป็นสายเลือดระดับล้ำลึก
ดังนั้นเขาจึงเกิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรลมปราณหลักสิบเส้น”
“แล้วก็เป็นเพราะสายเลือดกระบี่ยุทธ์ที่ทำให้เขามีความเข้าใจต่อเต๋ากระบี่อย่างลึกซึ้ง ยามที่เขาอายุเพียง 18 ปีก็ทะลวงเข้าสู้ขอบเขตปราณจิตได้แล้ว
จากนั้นต่อมาอีกสองปีเขาก็เข้าสู่ขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า !”
ต้องบอกว่าหยินเฟยหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความอิจฉาออกมาในขณะที่เชิดชูความสามารถของฮั่งเชิน
ภายนอกห้องโถงใหญ่ที่รวบรวมศิษย์นิกายฝ่ายนอกหลายร้อยคนต่างได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของหยินเฟยหยางต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงและตามมาด้วยเสียงอุทาน
ศิษย์หลายคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน
มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อของศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งแห่งนิกายกระบี่ฟ้า
ในเวลาเดียวกันศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนก็เริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการประลองหลงซานเสียแล้ว บางคนเริ่มมองในแง่ร้าย หอยุทธ์ฟงอวิ๋นต้องพ่ายแพ้ในการประลองหลงซานแน่นอน
เป็นไปไมได้ที่จะชนะ !
ในขณะนี้เองภายในลานกว้างนอกห้องโถงของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่
หยินเฟยหยางและหยานตงไหลได้ยินเสียงอุทานและการโต้เถียงจากนอกห้องโถง
พวกมันหันไปสบตากันด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกมันต้องการเห็น
ผ่านไปพักใหญ่เมื่อเสียงจ้อกแจ้กเริ่มซาลง
หยินเฟยหยางจึงพูดขึ้นว่า “เส้นชีพจรหลักเก้าเส้นในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่รู้กันดีในยุทธภพ
แต่มันจำกัดอยู่ที่คนทั่วไป ไม่รวมถึงอัจฉริยะที่มีความสามารถตามธรรมชาติ”
“อัจฉริยะเช่นศิษย์พี่ฮั่งเชินของพวกเรานั้นเกิดมาพร้อมกับสายเลือดพิเศษ
ดังนั้นคุณสมบัติและพรสวรรค์ของเขาจึงเหนือล้ำกว่าพวกเรา อีกทั้งยังสามารถระเบิดพลังยุทธ์ได้รุนแรงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน”
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายจะคาดไม่ถึง
ใช่เป็นเพราะพวกท่านไม่เคยเห็นอัจฉริยะที่มีสายเลือดพิเศษใช่หรือไม่ ?”
“เอ...ไม่สิ
หรือว่าในนิกายพันธมิตรสวรรค์ฝ่ายนอกของพวกท่านไม่มีศิษย์อัจฉริยะสักคนเดียวเลยหรือ
?”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา
ศิษย์ทั้งหลายของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็สีหน้าเปลี่ยนไป
ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความอับอาย
หยินเฟยหยางโอหังเกินไปแล้ว
!
เห็นได้ชัดเจน
พวกมันกำลังเยาะเย้ยถากถางเหล่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นว่าเป็นพวกสายตาแคบสั้น
อีกทั้งภายในนิกายก็ยังมีแค่เพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา
ศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่ด้านนอกต่างก็ได้ยินคำพูดของหยินเฟยหยาง
ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มถกเถียงกันเป็นวงกว้าง
ทุกคนรู้สึกอึดอัดคับข้องกับคำพูดของหยินเฟยหยางเป็นอย่างมากและเริ่มทนไม่ไหวที่จะก้นด่าสาบแช่ง
แต่ทว่า พวกมันก็เป็นเพียงศิษย์ของหอยุทธ์ไป๋ลู่และเจี้ยงหลิวจึงไม่มีปากเสียงพอที่จะไปเถียงศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้
แม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ห้องโถงใหญ่พวกมันก็ยังไม่มี
นับประสาอะไรกับการไปต่อว่าผู้อื่น ผลทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนทำได้เพียงภาวนาในใจลับๆและหวังว่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจะสามารถโต้ตอบกู้หน้ากลับคืนมาได้ !
บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่เริ่มมีสีสันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนรอบๆต่างมองออกว่าพวกฮั่งเชินทั้งสามคนนั้นกำลังถกเรื่องวรยุทธ์และจงใจโชว์ความแข็งแกร่งในเชิงยุทธ์เพื่อสะกดข่มฝ่ายศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
นี่คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเชิงยุทธ์
ทุกคนสามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้นหยานตงไหลและหยินเฟยหยางก็มิได้ใส่ร้ายป้ายสีหรือเล่นตุกติกต่อหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
สิ่งที่พวกมันพูดมาทั้งหมดก็คือความจริง
นี่เป็นเพราะความรู้และสายตาที่ไม่กว้างไกลพอทำให้ไม่สามารถหักล้างกับอีกฝ่ายได้และทำให้พวกมันพูดจาหยอกเย้าได้อย่างสนุกปาก
ศิษย์หลายคนเต็มไปด้วยความโกรธและความอับอายจนลอบกำหมัดแน่นเพื่อข่มความโกรธเคืองเอาไว้ในใจ
ในเวลานี้เอง
จี้เทียนซิงที่เงียบขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังหยินเฟยหยางอย่างสงบและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ศิษย์พี่หยินกล่าวว่าร่างกายมนุษย์ทุกคนกักเก็บพลังลมปราณไว้ในตันเถียนและเรียกใช้พวกมันผ่านเส้นชีพจรลมปราณ
เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์”
“ดังนั้นข้าจึงอยากถามศิษย์พี่หยินว่า ถ้าหากตันเถียนของบุคคลผู้หนึ่งถูกทำลาย คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถบ่มเพาะวิทยายุทธ์ได้อีก
เรื่องนี้จริงหรือไม่ ?”
หยินเฟยหยางและหยานตงไหลต่างก็ตกใจและมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกพิลึก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้นพลางกล่าวว่า
“เหอๆ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องจี้จะถามคำถามนี้
!”
“ตันเถียนถูกทำลายก็ไม่มีแหล่งกักเก็บพลังลมปราณ ไม่มีพลังปราณก็โคจรวรยุทธ์ไม่ได้
ด้วยเหตุผลทั้งมวลนี้ ผู้ที่ไร้ซึ่งตันเถียนจะบ่มเพาะวิทยายุทธ์ ? นี่เป็นความจริงที่แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังทราบดี เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องถามอีกหรือศิษย์น้องจี้ ?”
เห็นได้ชัดว่าทั้งหยินเฟยหยางและหยานตงไหลต่างก็รู้สึกว่าคำถามของจี้เทียนซิงนั้นทั้งงี่เง่าและไร้สาระ
!
หลังจากศิษย์หลายร้อยคนที่อยู่ในลานกว้างได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง
พวกมันก็หน้าดำเหมือนก้นหม้อ หลายคนเผยสีหน้าดูแคลน
บางคนก็หัวเราะหรือส่ายหัวอย่างเอือมระอา
ผู้คนจำนวนมากต่างคิดในใจว่าสมองของจี้เทียนซิงมีแต่น้ำงั้นหรือ
? การถามคำถามที่ขัดต่อสามัญสำนึกและความรู้ของคนทั่วหล้านั้น
เขาไม่กลัวจะถูกหาว่าปัญญาอ่อนงั้นหรือ ?
ในห้องโถงหลัก
ศิษย์ทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เผยสีหน้าเศร้าสลดและบูดบึ้ง
แต่เดิมพวกมันรู้สึกดีใจที่จี้เทียนซิงเอ่ยปากออกหน้า
พวกมันหวังว่าเขาจะกู้สถานการณ์กลับคืนมาและรักษาหน้าตาให้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง
พวกมันก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ใบหน้าของพวกมันทุกคนกลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม
พวกมันลอบทอดถอนใจด้วยความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาหรือวิทยายุทธ์
พวกมันไม่สามารถเถียงชนะศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้เลย
“เหอๆ
ข้าก็คิดว่าจี้เทียนซิงจะมีไม้เด็ดเอาชนะหยินเฟยหยางและกู้หน้าให้พวกเรา ที่ไหนได้
!”
“นี่จี้เทียนซิงเล่นมุขหรือเปล่า ? ถ้าไม่ใช่เขาก็ควรไปหาหมอนะ !”
“คำถามที่แม้แต่คนโง่ยังทราบ
เขากลับกล้ายกขึ้นมาถาม
นี่เขาคิดจะทำให้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นกลายเป็นตัวตลกของผู้คนหรือไง ?!”
“บ้าเอ้ย ข้างนอกเต็มไปด้วยศิษย์ฝ่ายนอก
พวกมันได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง มิใช่ว่าหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรอกหรือ ?”
“พวกเจ้าดูสีหน้าของศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้นสิ
พวกมันมองคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเราเป็นพวกงี่เง่าไปแล้ว”
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยและการเยาะเย้ยของผู้คน
จี้เทียนซิงก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เช่นนี้แสดงว่าศิษย์พี่หยินและสหายของท่านมั่นใจแน่นอนว่าหากไร้ซึ่งตันเถียนก็ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ใช่หรือไม่
?”
หยินเฟยหยางพยักหน้าและยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ถูกต้อง ข้าแน่ใจ หากตันเถียนเพียงได้รับความเสียหายยังพอจะมีโอกาสน้อยนิดที่จะฟื้นฟูได้
แต่ถ้าไร้ซึ่งตันเถียนก็ไม่มีทางที่จะบ่มเพาะพลังหรือฝึกวรยุทธ์ได้ !”
“อ้อ ?”
จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นและเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก
“หึๆ
ข้าเห็นศิษย์พี่หยินกล่าววาจายืดยาวแถมยังอภิปรายในเชิงยุทธ์ได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ข้าก็หลงคิดว่าท่านเต็มไปด้วยภูมิความรู้และหูตากว้างไกล ที่ไหนได้...... จิ๊ๆๆ”
“อัจฉริยะแห่งนิกายกระบี่ฟ้าที่แท้ก็ดีแต่ชื่อแถมยังมีสายตาตื้นเขินนัก”
“ตอนนี้ข้าอยากจะบอกพวกท่านว่า
ตันเถียนมิได้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับผู้ฝึกยุทธ์
และมิใช่เป็นที่เดียวที่เก็บพลังลมปราณ !”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้
ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็สีหน้าเปลี่ยนไป พวกมันทั้งหมดเต็มไปด้วยความสงสัย
ภายนอกห้องโถง
ศิษย์ร่วมร้อยคนก็เงียบกริบในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อและรอดูว่าเขาจะอธิบายอย่างไร
หยินเฟยหยาง
หลานตงไหลและฮั่งเชินต่างก็เผยสีหน้าท่าทางเย้ยหยันกันยกใหญ่ พวกมันรอดูว่าจี้เทียนซิงจะอธิบายอย่างไรต่อคำพูดที่ทุบทำลายกฎเกณฑ์ของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน
คำพูดของชายหนุ่มคนนี้เป็นความรู้ใหม่ที่น่าตกใจจริงๆ
มันขัดกับสามัญสำนึกของผู้ฝึกยุทธ์อย่างใหญ่หลวง !
หากเขาสามารถให้คำอธิบายและหลักฐานที่สมเหตุสมผล
เขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับยุทธภพและกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
แต่ในทางตรงกันข้าม
ถ้าหากเขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลพร้อมหลักฐานได้อย่างเหมาะสม
เขาจะกลายเป็นตัวตลกของทั่วทั้งนิกายและอาณาจักร !
อัจฉริยะทั้งสองฝ่ายที่อยู่ภายในห้องโถงหลัก
รวมไปถึงศิษย์ฝ่ายนอกนับร้อยคนในลานกว้างต่างก็จ้องมองไปยังจี้เทียนซิง
ทุกคนเงี่ยหูฟังและรอคำอธิบายของเขา
!
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved