ตอนที่ 188

ฉีกกฎเกณฑ์และทุบทำลายสามัญสำนึก

คำพูดของซื่อจิงเฉิงเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต้องการพูด

แต่ก่อนหน้าพวกมันถูกหยานตงไหลหยอกเป็นตัวตลกไปรอบหนึ่งแล้ว

ตอนนี้จะถูกหยินเฟยหยางหลอกอีกหรือไม่ ?

หยินเฟยหยางได้ยินคำพูดของซื่อจิงเฉิง

แต่ทว่าใบหน้าของมันก็ยังไม่เปลี่ยนสี มันเผยรอยยิ้มหยอกเย้าและกล่าวว่า “ศิษย์น้องท่านนี้ด่วนสรุปเกินไปกระมัง ? ศิษย์พี่ของข้ามีเส้นชีพจรลมปราณสิบเส้นจริงๆ”

“ในเมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านดูเหมือนจะไม่เชื่อ

เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ฟัง ศิษย์พี่ฮั่งเชินแห่งนิกายกระบี่ฟ้าของพวกข้านั้นต่างจากคนทั่วไป

เขาครอบครองสายเลือดกระบี่ยุทธ์ซึ่งเป็นสายเลือดระดับล้ำลึก

ดังนั้นเขาจึงเกิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรลมปราณหลักสิบเส้น”

“แล้วก็เป็นเพราะสายเลือดกระบี่ยุทธ์ที่ทำให้เขามีความเข้าใจต่อเต๋ากระบี่อย่างลึกซึ้ง  ยามที่เขาอายุเพียง 18 ปีก็ทะลวงเข้าสู้ขอบเขตปราณจิตได้แล้ว

จากนั้นต่อมาอีกสองปีเขาก็เข้าสู่ขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า !”

ต้องบอกว่าหยินเฟยหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความอิจฉาออกมาในขณะที่เชิดชูความสามารถของฮั่งเชิน

ภายนอกห้องโถงใหญ่ที่รวบรวมศิษย์นิกายฝ่ายนอกหลายร้อยคนต่างได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด

ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของหยินเฟยหยางต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงและตามมาด้วยเสียงอุทาน

ศิษย์หลายคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน

มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อของศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งแห่งนิกายกระบี่ฟ้า

ในเวลาเดียวกันศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนก็เริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการประลองหลงซานเสียแล้ว บางคนเริ่มมองในแง่ร้าย หอยุทธ์ฟงอวิ๋นต้องพ่ายแพ้ในการประลองหลงซานแน่นอน

เป็นไปไมได้ที่จะชนะ !

ในขณะนี้เองภายในลานกว้างนอกห้องโถงของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่

หยินเฟยหยางและหยานตงไหลได้ยินเสียงอุทานและการโต้เถียงจากนอกห้องโถง

พวกมันหันไปสบตากันด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกมันต้องการเห็น

ผ่านไปพักใหญ่เมื่อเสียงจ้อกแจ้กเริ่มซาลง

หยินเฟยหยางจึงพูดขึ้นว่า “เส้นชีพจรหลักเก้าเส้นในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่รู้กันดีในยุทธภพ

แต่มันจำกัดอยู่ที่คนทั่วไป ไม่รวมถึงอัจฉริยะที่มีความสามารถตามธรรมชาติ”

“อัจฉริยะเช่นศิษย์พี่ฮั่งเชินของพวกเรานั้นเกิดมาพร้อมกับสายเลือดพิเศษ

ดังนั้นคุณสมบัติและพรสวรรค์ของเขาจึงเหนือล้ำกว่าพวกเรา อีกทั้งยังสามารถระเบิดพลังยุทธ์ได้รุนแรงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน”

“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายจะคาดไม่ถึง

ใช่เป็นเพราะพวกท่านไม่เคยเห็นอัจฉริยะที่มีสายเลือดพิเศษใช่หรือไม่ ?”

“เอ...ไม่สิ

หรือว่าในนิกายพันธมิตรสวรรค์ฝ่ายนอกของพวกท่านไม่มีศิษย์อัจฉริยะสักคนเดียวเลยหรือ

?”

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา

ศิษย์ทั้งหลายของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็สีหน้าเปลี่ยนไป

ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความอับอาย

หยินเฟยหยางโอหังเกินไปแล้ว

!

เห็นได้ชัดเจน

พวกมันกำลังเยาะเย้ยถากถางเหล่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นว่าเป็นพวกสายตาแคบสั้น

อีกทั้งภายในนิกายก็ยังมีแค่เพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา

ศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่ด้านนอกต่างก็ได้ยินคำพูดของหยินเฟยหยาง

ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มถกเถียงกันเป็นวงกว้าง

ทุกคนรู้สึกอึดอัดคับข้องกับคำพูดของหยินเฟยหยางเป็นอย่างมากและเริ่มทนไม่ไหวที่จะก้นด่าสาบแช่ง

แต่ทว่า พวกมันก็เป็นเพียงศิษย์ของหอยุทธ์ไป๋ลู่และเจี้ยงหลิวจึงไม่มีปากเสียงพอที่จะไปเถียงศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้

แม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ห้องโถงใหญ่พวกมันก็ยังไม่มี

นับประสาอะไรกับการไปต่อว่าผู้อื่น  ผลทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนทำได้เพียงภาวนาในใจลับๆและหวังว่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจะสามารถโต้ตอบกู้หน้ากลับคืนมาได้ !

บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่เริ่มมีสีสันมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกคนรอบๆต่างมองออกว่าพวกฮั่งเชินทั้งสามคนนั้นกำลังถกเรื่องวรยุทธ์และจงใจโชว์ความแข็งแกร่งในเชิงยุทธ์เพื่อสะกดข่มฝ่ายศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

นี่คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเชิงยุทธ์

ทุกคนสามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้นหยานตงไหลและหยินเฟยหยางก็มิได้ใส่ร้ายป้ายสีหรือเล่นตุกติกต่อหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

สิ่งที่พวกมันพูดมาทั้งหมดก็คือความจริง

นี่เป็นเพราะความรู้และสายตาที่ไม่กว้างไกลพอทำให้ไม่สามารถหักล้างกับอีกฝ่ายได้และทำให้พวกมันพูดจาหยอกเย้าได้อย่างสนุกปาก

ศิษย์หลายคนเต็มไปด้วยความโกรธและความอับอายจนลอบกำหมัดแน่นเพื่อข่มความโกรธเคืองเอาไว้ในใจ

ในเวลานี้เอง

จี้เทียนซิงที่เงียบขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังหยินเฟยหยางอย่างสงบและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ศิษย์พี่หยินกล่าวว่าร่างกายมนุษย์ทุกคนกักเก็บพลังลมปราณไว้ในตันเถียนและเรียกใช้พวกมันผ่านเส้นชีพจรลมปราณ

เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์”

“ดังนั้นข้าจึงอยากถามศิษย์พี่หยินว่า  ถ้าหากตันเถียนของบุคคลผู้หนึ่งถูกทำลาย คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถบ่มเพาะวิทยายุทธ์ได้อีก

เรื่องนี้จริงหรือไม่ ?”

หยินเฟยหยางและหยานตงไหลต่างก็ตกใจและมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกพิลึก  จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขึ้นพลางกล่าวว่า

“เหอๆ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องจี้จะถามคำถามนี้

!”

“ตันเถียนถูกทำลายก็ไม่มีแหล่งกักเก็บพลังลมปราณ ไม่มีพลังปราณก็โคจรวรยุทธ์ไม่ได้

ด้วยเหตุผลทั้งมวลนี้ ผู้ที่ไร้ซึ่งตันเถียนจะบ่มเพาะวิทยายุทธ์ ? นี่เป็นความจริงที่แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังทราบดี  เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องถามอีกหรือศิษย์น้องจี้ ?”

เห็นได้ชัดว่าทั้งหยินเฟยหยางและหยานตงไหลต่างก็รู้สึกว่าคำถามของจี้เทียนซิงนั้นทั้งงี่เง่าและไร้สาระ

!

หลังจากศิษย์หลายร้อยคนที่อยู่ในลานกว้างได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง

พวกมันก็หน้าดำเหมือนก้นหม้อ หลายคนเผยสีหน้าดูแคลน

บางคนก็หัวเราะหรือส่ายหัวอย่างเอือมระอา

ผู้คนจำนวนมากต่างคิดในใจว่าสมองของจี้เทียนซิงมีแต่น้ำงั้นหรือ

? การถามคำถามที่ขัดต่อสามัญสำนึกและความรู้ของคนทั่วหล้านั้น

เขาไม่กลัวจะถูกหาว่าปัญญาอ่อนงั้นหรือ ?

ในห้องโถงหลัก

ศิษย์ทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เผยสีหน้าเศร้าสลดและบูดบึ้ง

แต่เดิมพวกมันรู้สึกดีใจที่จี้เทียนซิงเอ่ยปากออกหน้า

พวกมันหวังว่าเขาจะกู้สถานการณ์กลับคืนมาและรักษาหน้าตาให้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง

พวกมันก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ใบหน้าของพวกมันทุกคนกลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

พวกมันลอบทอดถอนใจด้วยความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาหรือวิทยายุทธ์

พวกมันไม่สามารถเถียงชนะศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้เลย

“เหอๆ

ข้าก็คิดว่าจี้เทียนซิงจะมีไม้เด็ดเอาชนะหยินเฟยหยางและกู้หน้าให้พวกเรา ที่ไหนได้

!”

“นี่จี้เทียนซิงเล่นมุขหรือเปล่า ? ถ้าไม่ใช่เขาก็ควรไปหาหมอนะ !”

“คำถามที่แม้แต่คนโง่ยังทราบ

เขากลับกล้ายกขึ้นมาถาม

นี่เขาคิดจะทำให้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นกลายเป็นตัวตลกของผู้คนหรือไง ?!”

“บ้าเอ้ย ข้างนอกเต็มไปด้วยศิษย์ฝ่ายนอก

พวกมันได้ยินคำถามของจี้เทียนซิง มิใช่ว่าหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรอกหรือ ?”

“พวกเจ้าดูสีหน้าของศิษย์ฝ่ายนอกพวกนั้นสิ

พวกมันมองคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเราเป็นพวกงี่เง่าไปแล้ว”

เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยและการเยาะเย้ยของผู้คน

จี้เทียนซิงก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เช่นนี้แสดงว่าศิษย์พี่หยินและสหายของท่านมั่นใจแน่นอนว่าหากไร้ซึ่งตันเถียนก็ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ใช่หรือไม่

?”

หยินเฟยหยางพยักหน้าและยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ถูกต้อง ข้าแน่ใจ หากตันเถียนเพียงได้รับความเสียหายยังพอจะมีโอกาสน้อยนิดที่จะฟื้นฟูได้

แต่ถ้าไร้ซึ่งตันเถียนก็ไม่มีทางที่จะบ่มเพาะพลังหรือฝึกวรยุทธ์ได้ !”

“อ้อ ?”

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นและเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก

“หึๆ

ข้าเห็นศิษย์พี่หยินกล่าววาจายืดยาวแถมยังอภิปรายในเชิงยุทธ์ได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

ข้าก็หลงคิดว่าท่านเต็มไปด้วยภูมิความรู้และหูตากว้างไกล ที่ไหนได้......  จิ๊ๆๆ”

“อัจฉริยะแห่งนิกายกระบี่ฟ้าที่แท้ก็ดีแต่ชื่อแถมยังมีสายตาตื้นเขินนัก”

“ตอนนี้ข้าอยากจะบอกพวกท่านว่า

ตันเถียนมิได้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับผู้ฝึกยุทธ์

และมิใช่เป็นที่เดียวที่เก็บพลังลมปราณ !”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้

ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็สีหน้าเปลี่ยนไป พวกมันทั้งหมดเต็มไปด้วยความสงสัย

ภายนอกห้องโถง

ศิษย์ร่วมร้อยคนก็เงียบกริบในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อและรอดูว่าเขาจะอธิบายอย่างไร

หยินเฟยหยาง

หลานตงไหลและฮั่งเชินต่างก็เผยสีหน้าท่าทางเย้ยหยันกันยกใหญ่ พวกมันรอดูว่าจี้เทียนซิงจะอธิบายอย่างไรต่อคำพูดที่ทุบทำลายกฎเกณฑ์ของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน

คำพูดของชายหนุ่มคนนี้เป็นความรู้ใหม่ที่น่าตกใจจริงๆ

มันขัดกับสามัญสำนึกของผู้ฝึกยุทธ์อย่างใหญ่หลวง !

หากเขาสามารถให้คำอธิบายและหลักฐานที่สมเหตุสมผล

เขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับยุทธภพและกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

แต่ในทางตรงกันข้าม

ถ้าหากเขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลพร้อมหลักฐานได้อย่างเหมาะสม

เขาจะกลายเป็นตัวตลกของทั่วทั้งนิกายและอาณาจักร !

อัจฉริยะทั้งสองฝ่ายที่อยู่ภายในห้องโถงหลัก

รวมไปถึงศิษย์ฝ่ายนอกนับร้อยคนในลานกว้างต่างก็จ้องมองไปยังจี้เทียนซิง

ทุกคนเงี่ยหูฟังและรอคำอธิบายของเขา

!