ตอนที่ 103

ไร้ทางขัดขืน

“สารเลวน้อย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ นี่เพิ่งจะหมัดที่สองอย่าเพิ่งนอนวัดพื้นซี่  ลุกขึ้นมา !”

ชายชราเคราขาวโพลนแสยะยิ้มพลางเดินไปหาจี้เทียนซิงและกล่าววาจาดูหมิ่น

จี้เทียนซิงสะสมมวลโทสะไว้คับข้องเต็มอกจนแทบระเบิด

เขาพยายามผุดลุกขึ้นอย่างอ่อนล้าด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ดวงตาจับจ้องไปอยู่ที่ชายชราเคราขาว

“ผู้อาวุโส ท่านคิดจะฆ่าแกงกันจริงๆเลยหรือ ?!”

ชายชราหนวดเคราขาวยิ้มและกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม

“เหอะ เหตุใดศิษย์ของนิกายรุ่นนี้ถึงได้บอบบางนัก ?

แค่สองกระบวนท่าเอง ไม่ถึงตายหรอกน่า!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตกอยู่ในมือของตาเฒ่าผู้นี้หากคิดอยากตายก็ยังต้องให้ข้าอนุญาตเสียก่อน

!”

หลังจากกล่าวจบ

ชายชราหนวดเคราขาวก็คำรามอย่างเยือกเย็นและเหวี่ยงหมัดเข้าหาจี้เทียนซิงอีกครั้ง

ครั้งนี้จี้เทียนซิงโกรธจริงๆแล้ว

ในเมื่อกระบี่หลุดมือเขาจึงต้องใช้ไพ่ตายและกระตุ้นปราณกระบี่หกสายออกมา

“เช้ง เช้ง เช้ง..... !”

ปราณกระบี่ทองคำหกสายพวยพุ่งออกจากฝ่ามือและโบยบินโฉบไปมารอบๆร่างกายของเขาทันที

จากนั้นก็แตกตัวออกเป็นปราณกระบี่ 12สายและควบรวมเป็นริ้วลำแสงของตาข่ายกระบี่

“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !”

เมื่อข่ายกระบี่กางออก, ริ้วลำแสงของเส้นสายกระบี่สีทองนับหมื่นพันก็ฉวัดเฉวียนไปมาเป็นตาข่ายปกคลุมร่างในระยะสามเมตร

กำปั้นของชายชราเคราขาวกำลังจะถึงร่างของจี้เทียนซิงแต่กลับถูกปิดกั้นไว้ด้วยตาข่ายกระบี่

ข่ายกระบี่หลายเส้นสายแทงเข้าหาหมัดของชายชราและส่งเสียงดัง

‘เคร้ง’ ราวกับว่ามันแทงเข้ากับเหล็กกล้า

ชายชราชักกำปั้นกลับอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความประหลาดใจและจ้องมองปราณกระบี่ที่โบยบินไปมาด้วยความสนอกสนใจ

“โฮ่ๆ คาดไม่ถึงว่าไอ้หนูอย่างเจ้าก็มีของดีให้โอ้อวดอยู่บ้าง

!”

“ปราณกระบี่ควบแน่นชนิดนี้....

เหมือนข้าจะเคยได้ยินจากไหนมาก่อน…”

ชายชราเคราขาวขมวดคิ้วและริมฝีปากขยับพึมพำพูดกับตัวเอง  หลังจากนั้นก็เงียบไปครู่ใหญ่จนกระทั่งคิดอะไรบางอย่างออก  ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

แต่เขาก็รีบเก็บซ่อนแววตาที่ตื่นตะลึงเอาไว้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้จี้เทียนซิงได้สังเกตเห็น

จี้เทียนซิงเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ลงมือต่อ

เขาเลยฉวยโอกาสพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโส

หากท่านไม่คิดลงมือแล้วก็ช่วยฟังคำอธิบายของผู้เยาว์ก่อนได้หรือไม่ ?"

ชายชราเคราขาวรั้งสายตากลับมาและจ้องมองชายหนุ่มพร้อมกับตะโกนด้วยความโกรธ

“อธิบายมารดาเจ้าเถอะ ยังคิดจะเถียงอะไรอีก ?”

“หลังคาบ้านข้าพังยับเยินด้วยน้ำมือเจ้า

ต้นวิญญาณมรกตก็ถูกเจ้าทำลาย แม้แต่หญ้าวิญญาณเขียวหลายสิบใบก็ถูกเจ้าถอนรากถอนโคน

เจ้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าฟังเจ้าอธิบายอีกงั้นหรือ ? ตลกสิ้นดี !”

“เรื่องนี้....” จี้เทียนซิงพูดไม่ออก

เพียงแสดงสีหน้าที่เอียงอาย

โชคดียังดีที่ชายชราเคราขาวนั้นไม่ได้โกรธแค้นอย่างรุนแรงเหมือนตอนแรกอีกต่อไป  สีหน้าของเขาดูสงบลงเล็กน้อย

จี้เทียนซิงสลายข่ายกระบี่และชักนำปราณกระบี่กลับเข้าร่าง

ในขณะนี้เองชายชราก็โบกพลังฝ่ามือไร้สภาพสายหนึ่งออกมาและห่อหุ้มกระบี่มังกรดำที่ตกอยู่มุมสวน

กระบี่มังกรดำถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็นและลอยมาที่เบื้องหน้าของชายชราทันที

ชายชราเคราขาวคว้ากระบี่มังกรดำและมองตาจี้เทียนซิงพลางเหยียดนิ้วออกมาและดีดไปที่ตัวกระบี่

“เฮอะ เจ้าตัวน้อยที่น่ารังเกียจ

เจ้าทำลายสวนโอสถของข้า !”

ถึงแม้ว่าฉากหน้าจะสงบลงไม่น้อยและเหมือนจะพูดกับจี้เทียนซิง  แต่ที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้ชายชรากล่าวกับเสี่ยวเฮยหลง

เขารู้แต่แรกแล้วว่าทั้งหมดเป็นฝีมือใคร

สุดท้ายเสี่ยวเฮยหลงที่ถูกนิ้วดีดหลายครั้งคราก็เริ่มเจ็บปวดจนไม่ไหวและส่งเสียงร่ำร้องออกมา

จากนั้นชายชราก็เหยียดมือหยิบฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของจี้เทียนซิง

“ชึ่บ !”

เขาสอดกระบี่กลับเข้าไปในฝักและพูดกับจี้เทียนซิงด้วยใบหน้ามืดครึ้มว่า

“ไอ้หนู

เจ้าถูกริบกระบี่เล่มนี้ไว้กับข้าชั่วคราว นี่เป็นการลงโทษสำหรับเจ้า !”

“วะ ว่าไงนะ... !?”

จี้เทียนซิงหน้าถอดสีและตะโกนออกมาอย่างกระวนกระวายว่า

“ผู้อาวุโส กระบี่เล่มนั้นมีความสำคัญต่อข้ามาก

มันเปรียบได้ดั่งชีวิต....”

กระบี่มังกรดำไม่เพียงแค่เป็นไม้ตายของเขาเท่านั้น

แต่ยังเป็นความลับของเขาอีกด้วย  ความลับนี้จะต้องไม่ถูกเปิดเผยเด็ดขาดมิฉะนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงที่ไม่คาดฝันขึ้น

ชายชราจ้องหน้าจี้เทียนซิงและตะโกนออกมาว่า

“ผายลม !  ไอ้หนูอย่างเจ้าทำผิดมหันต์ต่อข้า  ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรองใดๆทั้งสิ้น !”

จากนั้นชายชราก็ชี้ไปที่สนามหญ้าที่เต็มไปด้วยใบไม้และแผ่นกระเบื้องที่แตกกระจายพลางตะโกนออกมาอีกครั้ง  “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องรับผิดชอบ

จงเก็บกวาดให้สะอาด!”

“นอกจากนี้ยังมีแผ่นกระเบื้องที่พังเสียหาย

เจ้าต้องซ่อมให้ข้าด้วย !”

จี้เทียนซิงแสดงสีหน้าอึดอัดและเต็มไปด้วยความโกรธพลางกล่าวว่า  “ตาเฒ่า

นั่นเป็นฝีมือของท่านเองต่างหาก....

ท่านหนักมือเองจนกระเบื้องแตก ข้าไม่ได้ทำ!”

“อ๋อ เหรอ?”

ชายชราจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธแล้วพูดว่า

“ทำไม เจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบใช่ไหม ?”

ฟุ่บ

!

ในขณะที่กล่าวจบชายชราก็วูบไหวร่างกายไปหยุดเบื้องหน้าจี้เทียนซิงในพริบตาและกวาดมือไปที่เอวของมัน

จี้เทียนซิงตื่นตระหนกและคิดจะกระโดดหลบตามสัญชาตญาณ  แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นฝ่ามือที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของชายชราไปได้

“ฟุ่บ !”

ถุงมิติที่เขาผูกติดไว้กับเข็มขัดถูกชายชราคว้าไว้ในมือทันที  จี้เทียนซิงยังไม่ทันจะมีปฎิกิริยา ชายชราก็ล้วงมือไปในถุงมิติแล้วจับจิ้งจอกน้ำแข็งตัวน้อยที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นออกมา

เฉียนเยวี่ยที่น่าสงสาร

มันกำลังนอนหลับสบายอยู่ในถุงมิติแต่เมื่อถูกดึงออกมามันก็ตกตะลึงและตื่นตัวขึ้นในทันที

มันเปิดดวงตาที่ยาวเรียวและแหลมคมจับจ้องไปที่ชายชราหนวดเคราขาวพลางสะบัดตัวดิ้นรนขัดขืนอย่างหนักพลางตะโกนออกมาว่า

“ระยำ ! ลิงแก่หนวดขาวที่ไหนมาจับข้า  ปล่อยข้านะโว้ย !"

โชคร้ายนัก  ไม่ว่าเฉียนเยวี่ยจะดิ้นรนขัดขืนเพียงใดก็ไม่อาจสลัดหลุดจากน้ำมือของชายชราไปได้

จี้เทียนซิงหน้าซีดลงทันที

ดวงตากลายเป็นเย็นชา เขาคิดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงขั้นมองทะลุถุงมิติจนรู้ว่ามีจิ้งจอกน้ำแข็งซ่อนอยู่ข้างใน

!

ยิ่งไปกว่านั้นการที่ชายชราริบกระบี่มังกรดำของเขาเอาไว้ย่อมแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายรู้ความลับของกระบี่มังกรดำได้อย่างชัดเจน

!

ต่อหน้าชายชราผู้นี้จี้เทียนซิงรู้สึกราวกับว่าร่างกายเปลือยร้อนจ้อนไม่อาจปกปิดเรื่องราวใดๆได้เลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว

ในใจของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแตะเกล็ดย้อนและเริ่มเกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ขึ้น

เขาจ้องมองชายชราด้วยแววตาเยือกเย็นและกล่าวด้วยเสียงแข็งว่า “ผู้อาวุโส !  ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต่างก็มีความลับและไพ่ตายของตัวเอง

เราท่านไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นกันทำไมถึงได้ล่วงล้ำกันขนาดนี้”

“เอาเถอะ

วันนี้ข้าสู้ท่านไม่ได้แถมท่านยังเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งสูงส่งของนิกาย    หากท่านคิดจะริบเอากระบี่และสัตว์อสูรของข้าไป

ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ท่านจงจำไว้ให้ดี

สักวันหนึ่งข้าจะกลับมาทวงคืน !”

ชายชราจ้องมองชายหนุ่มด้วยความรังเกียจพลางกล่าวว่า

“เฮอะ ไอ้หนู เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะอยากได้กระบี่กับสัตว์เลี้ยงของเจ้างั้นหรือ ? ไร้สาระ ! เจ้าดูถูกข้าเกินไปนัก”

“ถึงแม้ว่ากระบี่กับจิ้งจอกน้ำแข็งน้อยตัวนี้จะหายากได้ยิ่ง

แต่ตาเฒ่าอย่างข้าเคยท่องไปในแผ่นดินหลักมาแล้วร่วมสองร้อยปี  เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในโลกภายนอกหรือไง

?

เจ้ามันเด็กน้อยนัก !”

ไม่รู้ว่าทำไมยามที่ชายชรากล่าวถึงแผ่นดินหลัก

จี้เทียนซิงรู้สึกราวกับว่าร่างกายของอีกฝ่ายกำลังส่งเสียงกรีดร้องจนก้องโลก บรรยากาศรอบตัวของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิและเย้ยหยันกดขี่ผู้คน

รูปร่างผอมเตี้ยของเขานั้นดูยิ่งใหญ่อหังการราวกับยักษาที่ทำให้ผู้คนเพียงได้แต่แหงนหน้ามอง

หลังจากนั้นชายชราก็หยิกจิ้งจอกน้ำแข็งน้อยเฉียนเยวี่ยด้วยนิ้วมือ

จนเฉียนเยวี่ยอ้าปากงับนิ้วของเขา แต่ก็กัดไม่เข้า

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกล่าวอย่างเงียบ

ๆ  “ไอ้หนู ฟ้าเริ่มมืด

เจ้าควรกลับไปพักผ่อนที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้แล้ว กระบี่และสัตว์อสูรของเจ้า

ตาเฒ่าผู้นี้จะกักตัวพวกมันไว้ที่นี่ หากเจ้าต้องการกระบี่และสัตว์อสูรคืน

เจ้าจงกวาดพื้นทำความสะอาดที่นี่อย่างซื่อสัตย์ทุกวัน ! เมื่อใดที่ข้าเห็นความตั้งใจจริงของเจ้าและอารมณ์ดีขึ้นมา

ข้าจะคืนมันให้เจ้าเอง”

หลังจากนั้นชายชราก็จ้องมองไปที่กระบี่มังกรดำและจิ้งจอกน้ำแข็งเฉียนเยวี่ย

สุดท้ายก็หันหลังเดินลึกเข้าไปในสนาม

“เอ่อ.....”

จี้เทียนซิงก้าวเท้าเดินติดตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวและคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง  แต่ทว่าชายชรากลับโบกมือสะเปะสะปะและส่งพลังไร้สภาพสายหนึ่งผลักร่างจี้เทียนซิงออกจากสนามจนไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู