ตอนที่ 12

ตอนที่

12 นางฟ้าบนกระเรียนขาว

ในช่วงวิกฤตที่จี้เทียนซิงกำลังจะถูกแทงด้วยกระบี่ยาว

ทันใดนั้นจี้ฮ่าวก็ร้องตะโกนเสียงหลง

“พี่ใหญ่

ระวัง !”

เขาพุ่งไปหาจี้เทียนซิงด้วยความรวดเร็วสุดกำลัง และยื่นกระบี่ยาวปัดป้องการโจมตีถึงชีวิตไว้ได้

จี้เทียนซิงหนีรอดออกมาได้และกระโจนเข้าไปในป่า

จี้ห่าวช่วยเขาปัดป้องกระบี่หมายชีวิตเอาไว้ได้

และถูกล้อมไว้โดยนักฆ่าสวมหน้ากากหลายคนทันที

ในขณะที่กวัดแกว่งกระบี่ปะทะกับการโจมตีของนักฆ่าสวมหน้ากาก

เขาก็ไม่ลืมที่จะกระตุ้นเตือน  “พี่ใหญ่ นักฆ่าพวกนี้ตามล่าท่าน

ท่านหนีไปข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง !”

เมื่อต้องรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์พร้อมกันถึง 6 คน

เรี่ยวแรงของจี้ห่าวแทบไม่เหลือ อีกทั้งแขนซ้ายยังถูกฟันด้วยกระบี่

โลหิตแดงฉาดเปรอะเปื้อนเสื้อคลุมสีน้ำเงินอันหรูหราในทันที

จี้เทียนซิงเห็นว่าน้องชายถูกรุมล้อมโดยนักฆ่าหลายคนและสถานการณ์ก็ยังอันตรายมาก เขาไม่ต้องการปล่อยทิ้งน้องชายไว้เพียงลำพังเพื่อหลบหนีไปคนเดียว

แต่เขาก็คิดได้ว่าจี้ห่าวมีพลังมากกว่า การที่ตนเองรั้งอยู่จะยิ่งเป็นการฉุดลากให้น้องชายต้องห่วงพะวงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จี้เทียนซิงได้ทำการตัดสินใจและหันหลังกลับหนีไปทันที

เขาวิ่งเข้าไปในป่าและวิ่งสุดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง  ในตอนนี้ร่างกายของเขาบอบบางราวกับแมวตัวน้อย

นักฆ่าสองคนต่อสู้กับจี้ห่าว ส่วนอีกสี่คนก็รีบเข้าไปในป่าหมายจะสังหารจี้เทียนซิงด้วยทุกอย่างที่มีให้จงได้

!

ป่าแห่งนี้รกครึ้มหนาแน่นและปกคลุมไปด้วยหนามและวัชพืช

ร่างกายของจี้เทียนซิงที่วิ่งผ่าป่าทึบถูกบาดเป็นรอยแผลมากมายทั่วร่าง

โลหิตหลั่งไหลชโลมเสื้อผ้าอันหรูหราจนกลายเป็นสีแดง

แต่เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจบาดแผล

เขาทำได้เพียงวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด

ด้วยความสามารถของนักฆ่าทั้งสี่

พวกมันรวดเร็วยิ่ง ไม่นานนักพวกมันก็ตามหลังชายหนุ่มทัน

เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นว่าทางข้างหน้าเป็นหน้าผา

เขาจึงต้องวิ่งไปทางภูเขาด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น

หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีเขาก็วิ่งหนีไปจนถึงพื้นที่เปิดโล่งในเชิงเขา

พื้นที่เปิดโล่ง ณ จุดนี้กินพื้นที่ไม่มากนัก พื้นดินปกคลุมไปด้วยใบไม้หนาและรอบๆเป็นป่าทึบ

นักฆ่าทั้งสี่คนก็ยังคงไล่ตามมาจนทันในที่สุด

พวกมันแยกย้ายกันกระจายตัวไปรอบๆเพื่อปิดล้อมชายหนุ่มไว้ในพื้นที่เปิดโล่ง

“เจ้าเด็กเหลือขอ

คิดจะหนีไปไหน ?”

“เฮ้ๆ

คราวนี้ข้าอยากจะรู้นักว่าจะหนีไปไหนได้อีก !”

“เจ้าต้องตาย

!”

“ร้องขอชีวิตต่อพวกข้าสิ

ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมานนัก !”

นักฆ่าทั้งหลายคำรามพร้อมกับหัวเราะราวกับแมวหยอกหนูที่หมดทางรอด

จี้เทียนซิงไม่มีที่หลบหนีอีกแล้ว หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้

แม้จะต้องตายแต่เขาก็จะสู้จนเฮือกสุดท้ายและไม่มีวันร้องขอความเมตตา

เขากระชับกระบี่มังกรโลหิต ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปที่นักฆ่าสวมหน้ากากทั้งหลายและคำรามด้วยความโกรธว่า

“ใครส่งพวกเจ้ามาสังหารข้า !"

“เหอะ

ตายแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง !”

นักฆ่าสวมหน้ากากแสยะยิ้มและฟันไปที่ลำคอของจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงรีบต้านรับด้วยกระบี่ทันทีแต่ก็ถูกอีกฝ่ายกระแทกถอยหลังด้วยระดับพลังที่สูงกว่า

กระบี่มังกรโลหิตของเขาแทบจะหลุดมือ

นักฆ่าที่เหลืออีกสามคนฉวยโอกาสนี้พากันโจมตีชายหนุ่มจนทิ้งบาดแผลกระบี่อันเหวอะหวะหลายแห่งบนร่าง

เขาได้รับบาดแผลยาวที่หลังและต้นขา

โลหิตแดงฉาดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องและย้อมเสื้อผ้าของเขาจนกลายเป็นสีแดง

ใบหน้าของจี้เทียนซิงซีดเซียวราวกับกระดาษ

เขาทั้งรู้สึกหนาวและมีเหงื่อเย็นซึมเต็มหน้าผาก

แต่เขาก็ไม่ยอมล้มลงและพยายามข่มอาการเจ็บปวดอันรุนแรงเอาไว้

ตราบใดที่นักฆ่าทั้ง 4

คนนี้เคลื่อนไหวและลงมืออย่างเรียบง่ายอีกเพียงครั้งเดียว เขาจะตกตายทันทีและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม

ในขณะที่เหล่านักฆ่ากำลังจะโจมตีอีกครั้งและพรากชีวิตของชายหนุ่มไป   ทุกคนก็ได้ยินเสียงนกที่ชัดเจนสดใส

เสียงของนกดังขึ้นจากบนภูเขาและจี้เทียนซิงก็ได้ยินเช่นกัน

แต่มันไม่ใช่เสียงของนกธรรมดา

วินาทีต่อมา เงาร่างมหึมาก็ลอยมาเหนือศีรษะของทุกคนบดบังแสงอาทิตย์ที่แผดจ้า

บนพื้นที่เปิดโล่ง จี้เทียนซิงและนักฆ่าสวมหน้ากากทั้งสี่คนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเงา

ทุกคนหยุดการโจมตีและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เมื่อได้มองขึ้นไปก็เห็นว่ามันเป็นนกสีขาวขนาดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินไป

100 เมตรและกำลังมองลงมาจากด้านบน

นกยักษ์ตัวนี้มีสีขาว มีเพียงขนบางส่วนและหางเท่านั้นที่มีสีดำและมียอดหงอนสีแดงที่ด้านบนของหัว รูปร่างของมันแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกับนกกระเรียนสีขาว

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงไม่เคยเห็นนกกระเรียนสีขาวขนาดใหญ่และน่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน

!

นกกระเรียนสีขาวตัวนี้กลับมีขนาดใหญ่เท่ากับบ้านและมีปีกสีขาวที่แผ่กว้างถึง

30 เมตร !

ทันใดนั้นเขาก็จดจำได้ว่าเคยเห็นนกยักษ์ตัวนี้ในหนังสือ

“นี่คือ…กระเรียนวิญญาณ

? มันน่าจะเป็นสัตว์วิญญาณ กระเรียนขาว !”

สัตว์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอดในภูเขาและแม่น้ำเป็นสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรอันดุร้าย ถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกจับเอามาเลี้ยง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เชื่อง ไม่เหมือนกับสัตว์วิญญาณ

พวกมันมีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์และเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ได้

จี้เทียนซิงเคยได้ยินมาว่าตระกูลราชวงศ์แห่งรัฐนภากระจ่างเลี้ยงสัตว์วิญญาณหลายชนิด กล่าวกันว่านิกายหนุนสวรรค์ก็มีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมากมาย แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาเคยได้ยิน ตอนนี้เขาได้เห็นกระเรียนวิญญาณในตำนานตัวเป็นๆเข้าแล้ว  มันเป็นที่เปิดหูเปิดตาและน่าตกใจมาก !

ในขณะนี้เองเขาก็ได้เห็นว่าแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของกระเรียนวิญญาณมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่

!

หัวใจของจี้เทียนซิงรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีกหลังจากเพ่งมองอย่างตั้งใจ

เขาพบว่าผู้ที่ยืนอยู่หลังกระเรียนวิญญาณนั้นเป็นหญิงงามที่สวมชุดสีขาวพิสุทธิ์

นางมีท่วงท่าอันงามสง่าและบริสุทธิ์

หญิงสาวผู้นี้มีอายุประมาณ 17-18 ปี นางสวมชุดคลุมสีขาวยาวโดยมีเกศายาวดำขลับห้อยลงมาราวกับน้ำตกจนถึงช่วงเอวคอดกิ่วของนาง

นางกุมฝักกระบี่สีดำไว้ในมือบอบบางขาวผ่องและมองอย่างไม่แยแสไปที่ผู้คนบนพื้นจากบนหลังกระเรียนวิญญาณ

ลมแรงพัดพลิ้วจนชายกระโปรงยาวและเส้นผมยาวสลวยของนางพริ้วไหวไปตามแรงลม

นางดูราวกับนางฟ้าที่มิใช่มนุษย์ !

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่นางและแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่ลึกซึ้งและรู้สึกทึ่ง

หัวใจสูบฉีดและเร่งร้อนขึ้น

ชายหนุ่มแน่ใจว่าต่อให้ทอดสายมองไปทั่วทั้งรัฐนภากระจ่างก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมกับความงามล่มเมืองของนางได้

นางราวกับว่าไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ควรจะอยู่บนสวรรค์ทั้ง

9 เสียมากกว่า !

ในเวลาเดียวกันนักฆ่าทั้งสี่ที่เหม่อมองอย่างโง่งมก็เพิ่งจะคืนสติกลับมา

พวกมันหันไปมองหน้ากันด้วยความอึ้ง

แต่พวกมันก็ไม่ลืมงานและภาระที่แบกไว้

พวกมันกระชับกระบี่และพุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงอย่างดุดันเพื่อสังหารเขาให้ได้

"ฆ่ามันก่อน

!"

“ไปตายซะ

เจ้าหนู !”

ประกายกระบี่พวยพุ่งและภูเขาอันเงียบสงัดก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร

จี้เทียนซิงข่มอาการบาดเจ็บและยกกระบี่ขึ้นหมายจะต้านรับอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

อย่างไรก็ตาม สาวงามอันน่าตกตะลึงบนหลังกระเรียนวิญญาณก็มีปฏิกิริยาและชักกระบี่ขึ้นมาในทันที

“ฟุ่บ

!”

เมื่อกระบี่ถูกชักออกจากฝัก

คมกระบี่ก็เบ่งบานเป็นประกายเจิดจ้าออกมาอย่างเย็นยะเยือก

“ฉวัะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ !”

สาวงามผู้น่าตกตะลึงสะบัดลำแสงกระบี่ 4

สายที่เปล่งออกมาจากกระบี่ยาวสามฟุตของนาง ลงมาจากท้องฟ้าและแทงเข้าใส่นักฆ่าสวมหน้ากากทั้ง

4 คน

เพียงชั่วพริบตา ลำแสงกระบี่ 4

สายก็แทงทะลุร่างนักฆ่าทั้ง 4 อย่างพร้อมเพรียง

พวกมันทั้งหมดแข็งค้างและนิ่งอยู่กับที่ มือที่กุมกระบี่เอาไว้ยังคงค้างอยู่ในอากาศแต่ศรโลหิตฉีดพุ่งบนจากบนศีรษะ

ในแววตาของพวกมันทั้งสี่เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกและล้มลงกับพื้น

ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอีกต่อไป

จี้เทียนซิงตกตะลึงและมองดูร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าทั้งสี่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ

“นางเพียงแค่สะบัดกระบี่อย่างรวบรัดก็สามารถสังหารนักฆ่าทั้ง

4 จากระยะ 100 เมตรได้ ?”

“ระดับพลังของนางอยู่ที่เขตแดนใดกัน

?!”