ตอนที่
339 ทั้งหมดล้วนมุ่งเป้ามาที่ข้า
จี้เทียนซิง, หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์นั่งอยู่ที่โต๊ะ
ทั้งสามหยิบฉวยผลไม้วิญญาณมากิน
บางครั้งก็ดื่มสุราจิบชาเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้าราบเรียบ พลางพูดคุยกันเองด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งก็ไม่ได้ดังเท่าแขกเหรื่อโต๊ะอื่นๆ
พวกเขาตกลงกันว่าให้ดื่มกินพอเป็นพิธี
รอจนกระทั่งเทียนเจี้ยนจงพูดจบจึงจะหาโอกาสล่าถอยออกไปเงียบๆ
อยู่ในถิ่นศัตรูแม้อาหารจะเลิศรส
สุราจะลื่นคอแต่มันก็ยากที่จะกระเดือกได้อย่างสนิทใจ
ยิ่งอยู่ในห้องโถงที่ไม่คุ้นเคยไปได้สักพักก็ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด
ต่อมาไม่นานนักเทียนเจี้ยนจงก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีสูงและตบมือเพื่อส่งสัญญาณให้กลุ่มสาวงามที่ร้องรำทำเพลงก้าวลงไป
คนเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีปรีดาและร่าเริง
มันกล่าวถ่อมตัวและทักทายแขกเหรื่ออย่างเป็นทางการอยู่หลายคำเพื่อชื่นชมและขอบคุณเหล่าผู้ที่มาร่วมงาน
จนกระทั่งเทียนเจี้ยนจงเอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่านโปรดรับสุราคารวะจากข้าด้วย” จี้เทียนซิงและพรรคพวกก็คิดไปว่านี่คือคำพูดสุดท้ายของอีกฝ่ายแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าเทียนเจี้ยนจงยังกล่าวต่อไปว่า
"โดยทั่วไปแล้ว พวกเราทุกคนนั้นยากที่จะหาโอกาสมาพบกันในยามปรกติ
หากมิใช่เพราะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเราประมุข
พวกเราคงไม่ได้มารวมกันอย่างคับคั่งพร้อมหน้าพร้อมตาขนาดนี้”
"เราท่านต่างก็เป็นสหายในยุทธภพที่บ่มเพาะมรรคยุทธ์
ดังนั้นงานฉลองวันเกิดของเราประมุขย่อมไม่เหมือนกับงานเลี้ยงของคนในโลกธรรมดาที่มีเพียงแค่ดื่มสุรา
ทานอาหารและร้องรำทำเพลง
แต่ยังต้องมีการแสดงที่ยอดเยี่ยมเพื่อปลุกปลอบขวัญกำลังใจของชาวยุทธ์ทุกท่าน !”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้
แขกหลายสิบคนในห้องโถงต่างก็หยุดการดื่มกิน
พวกมันหันหน้าไปมองที่เทียนเจี้ยนจงเป็นจุดเดียว
ทุกคนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย การแสดงที่ยอดเยี่ยมของเทียนเจี้ยนจงคืออะไร ?
เมื่อเห็นความสนใจของฝูงชน
เทียนเจี้ยนจงจึงอดไม่ได้ที่เผยรอยยิ้มลี้ลับพลางกล่าวว่า “ข้ามีข้อเสนอบางอย่าง
ในเมื่อหัวหน้าศิษย์รุ่นเยาว์ของแปดนิกายใหญ่ต่างก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าในวันนี้
นี่เป็นงานใหญ่ที่หลายปีจะมีสักครั้ง"
"อาศัยงานเลี้ยงใหญ่ในครั้งนี้
ให้เหล่าศิษย์หัวกะทิของแต่ละนิกายได้พูดคุยแลกเปลี่ยนชี้แนะกันบ้างเป็นอย่างไร
? มันไม่เพียงแค่ช่วยยกระดับมิตรภาพระหว่างนิกายเท่านั้น
แต่ยังทำให้เหล่ากองกำลังใต้สังกัดของแต่ละนิกายได้เห็นศักยภาพของนิกายใหญ่อีกด้วย"
เมื่อได้ยินประโยคนี้
สมาชิกของเหล่าสำนักนิกายและกองกำลังระดับสองลงไป รวมถึงแขกเหรื่อที่มา
ต่างก็ปรบมือส่งเสียงกันลั่นห้อง
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างแปดนิกายใหญ่กับกองกำลังระดับสองหรือสาม
พวกมันเหล่านั้นทำได้เพียงแหงนหน้ามองความยิ่งใหญ่สง่างามของแปดนิกายใหญ่
แน่นอนว่าพวกมันแทบไม่มีโอกาสได้เห็นเหล่าศิษย์หัวกะทิได้แสดงฝีมือมากเท่าใดนัก
พวกมันจึงตื่นเต้นและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
หลังจากทั้งหมด
ยิ่งเป็นระดับหัวหน้าศิษย์ของแปดนิกายใหญ่ ทุกคนต่างเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในรายชื่อแห่งดวงดาราและเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของอาณาจักรเทียนเฉิน
!
ในทุกๆสามปีเท่านั้นที่จะมีการจัดอันดับแห่งดวงดารา
ซึ่งเป็นมหกรรมที่เหล่าศิษย์ชั้นยอดจะประชันขันแข่งกันเองเพื่อชิงความเป็นที่สุดของอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม กองกำลังระดับที่สองและสามนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เข้าไปชมการประลองจัดอันดับรายชื่อแห่งดวงดารา
นั่นเป็นสาเหตุที่พวกมันแทบทั้งหมดปรบมือโห่ร้องและส่งเสียงเชียร์ให้หัวหน้าศิษย์ได้ชี้แนะกัน
ส่วนหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกายนั้นต่างก็นิ่งเงียบในขณะนั้น
พวกมันทุกคนกำลังดีดลูกคิดรางแก้วอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
ทุกคนทราบว่าปีหน้าคือการจัดอันดับรายชื่อแห่งดวงดาราที่มีขึ้นในทุกๆสามปี
ในเวลานั้นเหล่าสาวกระดับหัวกะทิของแต่ละนิกายจะต้องแข่งขันกันบนเวทีแห่งดวงดาราเพื่อชิงอันดับ
ด้วยโอกาสที่เทียนเจี้ยนจงเสนอขึ้นมานี้
เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้และสำรวจระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับสาวกทุกคน อย่างน้อยถึงจะต้องมีเรื่องขายหน้ากันบ้าง
แต่ก็ยังได้กลับไปเตรียมตัวล่วงหน้า
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้
ประมุขนิกายและเหล่าหัวหน้าศิษย์ก็เริ่มเกิดความคิดในใจ
ประมุขของทั้งสามนิกาย
ซึ่งก็คือนิกายพันใบไม้ร่วง
นิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วเห็นด้วยกับข้อเสนอของเทียนเจี้ยนจงในทันทีและตอบตกลง
ส่วนหัวหน้าศิษย์จากสามนิกายก็พยักหน้าเป็นสัญญาณรู้กัน
จากนั้นหรี่ตาลงเพ่งมองไปที่จี้เทียนซิงและคนอื่นๆอย่างยั่วยุ
ประมุขนิกายตันติงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็พยักหน้าเห็นด้วย
เป็นผลทำให้มีเพียงกลุ่มสามมิตร, พันธมิตรสวรรค์
ฤทัยจันทราและหลิวเหอเท่านั้นที่ยังคงนิ่งอยู่
พวกเขายังไม่ได้แสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้
บังเอิญที่สามอาวุโสของกลุ่มสามมิตรนั่งติดๆกันพอดี
คราวนี้จึงมิใช่แค่สมาชิกของแปดนิกายใหญ่เท่านั้น
แต่เป็น ‘ทุกคน’ ในห้องโถงที่จ้องมองไปที่กลุ่มของจี้เทียนซิงเป็นจุดเดียว
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วในทันทีพลันส่งเสียงสนทนากับหยุนเหยาลับๆว่า
“ศิษย์พี่
ประลองชี้แนะที่เทียนเจี้ยนจงเสนอขึ้นมานี้มิใช่เรื่องดีแน่
เป็นไปได้สูงว่าพวกมันวางแผนการบางอย่างเอาไว้"
หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและส่งเสียงตอบกลับลับๆ
“อืม ข้ารู้”
"อย่างไรก็ตาม
ในเมื่อเทียนเจี้ยนจงกล้าทำข้อเสนอนี้ขึ้นมาต่อหน้าธารกำนัล
ข้าเกรงว่าผู้อาวุโสจวินอวี้และประมุขนิกายหลิวเหอจะไม่กล้าปฏิเสธ"
เป็นที่แน่นอน หลังจากคุยกันไม่กี่คำจวินอวี้และประมุขนิกายหลิวเหอก็พยักหน้ายอมรับในเรื่องนี้
ในเมื่ออาวุโสและประมุขของเจ็ดนิกายใหญ่ต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
หยุนเหยาย่อมมิอาจปฏิเสธได้ตามธรรมชาติ
นางไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่เทียนเจี้ยนจงรับรู้ได้ว่านางยอมรับแล้วจึงมีรอยยิ้มและกล่าวต่อไปว่า “หยุนเหยา
เจ้าคืออันดับหนึ่งในการจัดอันดับแห่งดวงดาราอยู่แล้ว
และยังเป็นที่เลื่องลือในนามอัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน
ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมในการชี้แนะของเหล่าศิษย์พี่น้อง มิฉะนั้นคงเป็นเอาเปรียบกันเกินไป เจ้าว่าไหม ?"
เหล่าประมุขนิกายทั้งหลายต่างก็ลอบหัวเราะแผ่วเบาตามหลังคำพูดหยอกเย้าของเทียนเจี้ยนจงที่มีต่อหยุนเหยา
จากนั้นเทียนเจี้ยนจงก็กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มว่า
"หยุนเหยา
เจ้ามีพลังยุทธ์ในระดับปราณโอสถมานานแล้ว เจ้าเหนือล้ำยิ่งกว่าหัวหน้าศิษย์ทุกคน
หากเจ้าก้าวขึ้นไปบนเวทีคงเป็นการรังแกกันเสียเปล่าๆ"
"ข้าได้ยินมาว่านิกายพันธมิตรสวรรค์มีอัจฉริยะที่เพิ่งแจ้งเกิด
มันเป็นศิษย์สายตรงคนใหม่ของฉู่เทียนเซิง มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องของเจ้า
ดูเหมือนจะชื่อว่าจี้เทียนซิงใช่ไหม ?"
"เช่นนั้นให้จี้เทียนซิงขึ้นไปแทนเจ้าให้ทุกคนได้รู้จักกันหน่อยเป็นอย่างไร
?”
หลังเทียนเจี้ยนจงพูดจบ เหล่าคนของนิกายพันใบไม้ร่วง, นิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็เห็นด้วย
ซื่อเหวินหยู, เฉียวซวน, หวังตงและคนอื่นๆจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้ายั่วยุพลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน
เมื่อเห็นสถานการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้
จี้เทียนซิงเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมุ่งเป้ามาที่มัน
หยุนเหยาลอบส่งเสียงลับๆถามว่า “ศิษย์น้องเทียนซิงเจ้าคิดอย่างไร
หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าจะออกหน้าหยุดเรื่องนี้ให้"
จี้เทียนซิงส่ายหัวและยกยิ้มบางสายหนึ่งพลางกล่าวว่า
“ซื่อเหวินหยูและเฉียวซวนถูกข้าทุบตี
อาการบาดเจ็บของพวกมันยังไม่หายดี ในเมื่อพวกมันคิดจะท้าทายข้าอีกครั้ง
ข้าก็พร้อมสนอง ข้าก็อยากจะรู้นักว่าพวกมันคิดจะทำอะไร !”
หยุนเหยาขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อยพลางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นนางก็พยักหน้าเห็นด้วยและส่งเสียงเตือนอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้อย ระวังตัวด้วย”
เอี๋ยนเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ๆก็จ้องมองจี้เทียนซิงและกำหมัดพลางกล่าวให้กำลังใจว่า
“ศิษย์พี่เทียนซิง
ข้าเชื่อว่าท่านสามารถล้มพวกมันทั้งหมดได้ !”
จี้เทียนซิงลูบหัวศิษย์น้องด้วยรอยยิ้มมั่นใจและกล่าวตอบว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ในไม่ช้าผู้คนของนิกายกระบี่ฟ้าก็เคลียร์เวทีและจัดวางค่ายกลให้กลายเป็นเวทีรูปวงแหวน
ซื่อเหวินหยู
เฉียวซวนและคนอื่นๆกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง พวกมันพยักหน้ารู้กันโดยปริยาย
จากนั้นหวังตง
หัวหน้าศิษย์ของนิกายเจิ้นหวู่จึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน คนกระโดดขึ้นไปบนเวทีสูง
โค้งคำนับแขกเหรื่อทั่วห้องโถงและกล่าวด้วยเสียงดังว่า “ข้าน้อยหวังตง
หัวหน้าศิษย์ของนิกายเจิ้นหวู่ ขอคารวะผู้อาวุโสและศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน !"
เมื่อกล่าวทักทายจบ มันมองไปที่จี้เทียนซิงพลางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จี้เทียนซิง, ศิษย์น้องจี้”
"เหตุการณ์ในวันนั้นใต้หอคอยเจ็ดดาว
สิ่งที่เจ้าพูดไว้กับข้า ข้ายังไม่เคยลืมเลือน"
"วันนี้ เจ้ากับข้าได้มาอยู่บนเวทีเดียวกันต่อหน้าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย
รบกวนศิษย์น้องจี้ช่วยชี้แนะข้าสักหน่อยเถิด !”
"ข้าอยากรู้นักว่าความสามารถของศิษย์น้องจี้นั้นจะคู่ควรกับความเย่อหยิ่งอวดดีของเจ้าหรือไม่
!"
ผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนในห้องโถงที่ได้ยินคำพูดของหวังตงพลันเผยรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นมาในทันที
ในใจของพวกมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง
วาจาของหวังตงทุกคนได้ยินเต็มสองหูและเข้าใจว่าสองคนนี้เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
และคิดใช้โอกาสนี้สะสางความแค้นต่อหน้าทุกคน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved