ตอนที่ 308

ปลดเปลื้องความทุกข์นับปี

เสี่ยวไป๋กลืนกินเพลิงคะนองทั้งหมดจนหลับไปในที่สุด

ถึงแม้จะไม่เป็นอันตราย

แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องนอนหลับสักพักหนึ่งเพื่อทำให้กระบวนการปรับแต่งเสร็จสมบูรณ์

จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากเสี่ยวไป๋ได้กลืนกินเพลิงคะนองของเอี๋ยนเอ๋อร์เข้าไป

พลังของมันก็มาถึงขอบเขตปราณโอสถขั้นที่สี่ !

ในขณะนี้เองเสียงปริแตกดัง

‘แกร่ก แกร่ก’ ก็เกิดขึ้น

จี้เทียนซิงหันมามองและพบว่ารังไหมทรงไข่สีเทาสูงครึ่งตัวได้ระเบิดออก

รอยปริแตกบนเปลือกไข่เริ่มใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นและลามไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากรังไหมน้ำแข็งก็แตกอย่างสมบูรณ์

เด็กชายตัวเล็กอายุประมาณสิบขวบปีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจี้เทียนซิง

เด็กชายสวมเสื้อคลุมสีขาว เขายังเป็นเด็กน้อยที่ไม่สูงนัก รูปร่างผอมเพรียวและมีผมสีแดงเข้ม

ใบหน้าเล็กๆของเขานั้นเข้ารูปดูดีและมีความหล่อเหลาดิบเถื่อนด้วยกลิ่นอายแปลกๆไม่เหมือนใครของเผาอัคคี

นอกจากนี้ยังมีปานสัญญาณสีแดงเพลิงกลางหน้าผากของเขาอีกด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เห็นหน้ากัน

จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะคิดในใจลับๆว่า “จักรพรรดิเพลิงและราชินี

สมควรเป็นหงส์มังกรในมวลมนุษย์

มิฉะนั้นจะให้กำเนิดบุตรที่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามอย่างเอี๋ยนเอ๋อร์ได้อย่างไร”

เอี๋ยนเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในรังไหมที่แตกออก

สองฝ่ามือวางทาบไว้บนหัวเข่า ซึ่งฝ่ามือแต่ละข้างนั้นถูกจุดขึ้นด้วยเปลวไฟสองสีที่แตกต่างกัน

กลางฝ่ามือซ้ายคือเพลิงหยินคลั่ง

ส่วนฝ่ามือขวาคือเพลิงหยางสีชาด

คุณสมบัติของเปลวเพลิงที่ตรงข้ามกันทั้งสองแผ่พุ่งเข้าหาฝ่ามือ เผยให้เห็นบรรยากาศอันลี้ลับและกดดัน

หากไร้ซึ่งการกัดกร่อนของเพลิงคะนอง

เอี๋ยนเอ๋อร์ก็ได้ความสามารถและพรสวรรค์โดยธรรมชาติกลับมาคืน เขาสามารถควบคุมสายเลือดพรสวรรค์ทั้งสองชนิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อีกทั้งยังสามารถชักนำพลังงานทั้งสองสายได้อย่างอิสระ

เอี๋ยนเอ๋อร์เพิ่งจะขจัดเพลิงคะนองออกไปได้ไม่นาน

ดังนั้นเขาต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะออกไปจากข่ายปราณ

จี้เทียนซิงเห็นเอี๋ยนเอ๋อร์และเสี่ยวไป๋กำลังฟื้นฟูรักษาตัว

ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและนั่งลงบนพื้นด้วยสองตาที่ปิดสนิท เพื่อรอคอยเวลาอย่างเงียบงัน

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

หนึ่งวันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวไป๋ได้ตื่นขึ้นมาก่อน

มันเบิกตากลมโตและหันไปมองบนร่างของเอี๋ยนเอ๋อร์

มันไม่สามารถเข้าไปในข่ายปราณได้

มันทำได้เพียงนอนหมอบอยู่บนหินก้อนใหญ่ สองตาจับจ้องเอี๋ยนเอ๋อร์ไม่วางตาเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองเขาอย่างเงียบๆ

ไม่นานนักเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ยุติการปรับสภาพร่างกายและตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง

เด็กหนุ่มเปิดตาขึ้นและกวาดสายตามองจนได้เห็นจี้เทียนซิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าน้อยๆของเขาเกิดรอยยิ้มขึ้น คนตะโกนเรียกอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่เทียนซิง !”

จี้เทียนซิงพยักหน้าให้ฝ่ายหลังด้วยรอยยิ้มพลางถามว่า

“เอี๋ยนเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ?"

เอี๋ยนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า

"ศิษย์พี่เทียนซิง ข้าคิดว่าหายขาดแล้ว

ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องเพลิงคะนองที่ปะทุภายในกายอีกต่อไป  ศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมากเลย

หากมิใช่เพราะท่านช่วยไว้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหายดีเมื่อใด”

ในขณะที่พูดเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากข่ายปราณ

ตรงไปหาจี้เทียนซิง เมื่อเดินผ่านแผ่นหิน

เสี่ยวไป๋ก็วิ่งเข้ามาหาและเอาศีรษะของมันถูไถไปกับตัวเขา

เอี๋ยนเอ๋อร์จ้องมองเสี่ยวไป๋และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา

เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวมันพลางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋

ขอบคุณเจ้ามากที่คอยปกป้องคุ้มครองสถานที่นี้มานับปี”

พยัคฆ์ขาวเนตรทอง, เสี่ยวไป๋เดิมทีเป็นสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายเกรี้ยวกราด

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเอี๋ยนเอ๋อร์มันกลับเชื่องยิ่งกว่าลูกแมวเสียอีก

เอี๋ยนเอ๋อร์เดินไปหาจี้เทียนซิงโดยมีเสี่ยวไป๋เดินตามหลังมา

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันและเดินออกจากถ้ำ

“เอี๋ยนเอ๋อร์

เจ้านอนอยู่ในถ้ำอู๋หยามาเป็นเวลานาน

ท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ย่อมเป็นห่วงมากแล้ว”

“ในที่สุดเจ้าก็สามารถขจัดฝันร้ายและความเจ็บปวดออกไปได้

พวกเราสมควรรีบกลับนิกายโดยเร็วที่สุดเพื่อรายงานต่อพวกเขา”

เอี๋ยนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ

“ก็ดี ตกลงตามนี้”

ทั้งสองหันหลังและเดินออกจากถ้ำอู๋หยา

ผ่านเส้นทางที่แคบและคดเคี้ยวจนกระทั่งออกไปนอกภูเขา

เสี่ยวไป๋เดินตามหลังมาไม่ห่าง

เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดจะจากไป

เมื่อชายทั้งสองเดินออกจากถ้ำมาถึงปากทางเข้า

มันก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้น

จี้เทียนซิงเห็นเสี่ยวไป๋เดินตามเอี๋ยนเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์ เสี่ยวไป๋อยู่กับเจ้ามาร่วมปีและสามารถปรับแต่งเพลิงคะนองของเจ้าได้

ดูเหมือนมันจะมีวาสนากับเจ้า"

“ในเมื่อมันติดเจ้าขนาดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเอายังไงกับมัน

ทางที่ดีเจ้ารับมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคู่กายจะดีกว่า”

เอี๋ยนเอ๋อร์ค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้และหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างรวดเร็ว

ปากเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ายินดีจะติดตามข้า

เป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจของข้าไปตลอดหรือไม่ ?”

เสี่ยวไป๋ยังคงมีท่าทีหยิ่งยโส

ดวงตาเพียงจับจ้องมองเอี๋ยนเอ๋อร์อย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ

ทันใดนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ปรบมือและกล่าวด้วยความดีใจว่า

“เจ้าไม่ปฏิเสธใช่มั้ย

เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงนะ !”

จากนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์ก็กอดคอ

ลูบขนเงางามมันหลายครั้งและกระโดดขึ้นขี่หลัง

หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว

เสี่ยวไป๋ก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าวิ่งไปที่ตีนเขา

“ฟุ่บ !”

ครั้นเสี่ยวไป๋ออกตัว

ร่างของมันเปลี่ยนเป็นภาพติดตาสีขาวที่รวดเร็วราวกับสายลมแรง

เอี๋ยนเอ๋อร์ปรับสมดุลร่างกายของเขาและพยายามในการควบคุมเสี่ยวไป๋ให้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตนเองต้องการ

จนกระทั่งเสี่ยวไป๋ทะยานออกไปไกล

เสียงหัวเราะร่าเริงอย่างมีความสุขของเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ดังสะท้อนไปทั่วป่า

เมื่อเห็นภาพนี้เจี้เทียนซิงก็แย้มยิ้มและไล่ตามหลังไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเฉียนเยวี่ย

............

ภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์

ทั่วทั้งภูเขากลายเป็นสีเขียวอมทองสีทองจากแสงสะท้อน

พยัคฆ์ขาวเนตรทองวิ่งไปตามภูเขาอู๋หยาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

จี้เทียนซิงยืนอยู่กลางหลังเฉียนเยวี่ย

บินบนท้องฟ้าตามหลังเสี่ยวไป๋และเอี๋ยนเอ๋อร์ เมื่อได้เห็นเสี่ยวไป๋วิ่งทะยานอย่างดุดันผสมผสานไปกับเสียงหัวเราะของเอี๋ยนเอ๋อร์

ก็ทำให้ชายหนุ่มคาดเดาได้ว่าศิษย์น้องผู้นี้อาจเป็นเด็กร่าเริงและมีชีวิตชีวามาก่อน

นับตั้งแต่เพลิงคะนองปะทุขึ้นในร่างจนได้รับความเจ็บปวดทรมาน

เขาคงต้องโดดเดี่ยวอ้างว้าง

เกรงว่าเอี๋ยนเอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะร่าเริงเช่นนี้มานานนับปีแล้วกระมัง

?

หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เสี่ยวไป๋วิ่งไปตามเทือกเขาสูงพร้อมกับเอี๋ยนเอ๋อร์ที่อยู่กลางหลัง

หากข้ามยอดเขานี้และเดินทางไปต่ออีกไม่กี่ร้อยไมล์ก็จะถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์

ในขณะนี้เอง

จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็ดูเหมือนจะชนกำแพงที่มองไม่เห็นเข้าจนเกิดเสียงดัง “ปึง !” ขึ้น

เสี่ยวไป๋เสียหลักกลิ้งตกลงไปบนภูเขาและกระแทกกับพื้นเสียงดัง

เอี๋ยนเอ๋อร์ก็กระเด็นและตกลงไปในพงหญ้าห่างออกไปหลายสิบเมตร

จี้เทียนซิงตกใจและรีบบอกให้เฉียนเยวี่ยลงจอดที่จุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงเขาก็รีบพยุงเอี๋ยนเอ๋อร์ขึ้นมาจากพงหญ้าและถามด้วยความเป็นห่วง

“เอี๋ยนเอ๋อร์ เจ้าเป็นไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

?”