ปลดเปลื้องความทุกข์นับปี
เสี่ยวไป๋กลืนกินเพลิงคะนองทั้งหมดจนหลับไปในที่สุด
ถึงแม้จะไม่เป็นอันตราย
แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องนอนหลับสักพักหนึ่งเพื่อทำให้กระบวนการปรับแต่งเสร็จสมบูรณ์
จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากเสี่ยวไป๋ได้กลืนกินเพลิงคะนองของเอี๋ยนเอ๋อร์เข้าไป
พลังของมันก็มาถึงขอบเขตปราณโอสถขั้นที่สี่ !
ในขณะนี้เองเสียงปริแตกดัง
‘แกร่ก แกร่ก’ ก็เกิดขึ้น
จี้เทียนซิงหันมามองและพบว่ารังไหมทรงไข่สีเทาสูงครึ่งตัวได้ระเบิดออก
รอยปริแตกบนเปลือกไข่เริ่มใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นและลามไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากรังไหมน้ำแข็งก็แตกอย่างสมบูรณ์
เด็กชายตัวเล็กอายุประมาณสิบขวบปีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจี้เทียนซิง
เด็กชายสวมเสื้อคลุมสีขาว เขายังเป็นเด็กน้อยที่ไม่สูงนัก รูปร่างผอมเพรียวและมีผมสีแดงเข้ม
ใบหน้าเล็กๆของเขานั้นเข้ารูปดูดีและมีความหล่อเหลาดิบเถื่อนด้วยกลิ่นอายแปลกๆไม่เหมือนใครของเผาอัคคี
นอกจากนี้ยังมีปานสัญญาณสีแดงเพลิงกลางหน้าผากของเขาอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เห็นหน้ากัน
จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะคิดในใจลับๆว่า “จักรพรรดิเพลิงและราชินี
สมควรเป็นหงส์มังกรในมวลมนุษย์
มิฉะนั้นจะให้กำเนิดบุตรที่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามอย่างเอี๋ยนเอ๋อร์ได้อย่างไร”
เอี๋ยนเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในรังไหมที่แตกออก
สองฝ่ามือวางทาบไว้บนหัวเข่า ซึ่งฝ่ามือแต่ละข้างนั้นถูกจุดขึ้นด้วยเปลวไฟสองสีที่แตกต่างกัน
กลางฝ่ามือซ้ายคือเพลิงหยินคลั่ง
ส่วนฝ่ามือขวาคือเพลิงหยางสีชาด
คุณสมบัติของเปลวเพลิงที่ตรงข้ามกันทั้งสองแผ่พุ่งเข้าหาฝ่ามือ เผยให้เห็นบรรยากาศอันลี้ลับและกดดัน
หากไร้ซึ่งการกัดกร่อนของเพลิงคะนอง
เอี๋ยนเอ๋อร์ก็ได้ความสามารถและพรสวรรค์โดยธรรมชาติกลับมาคืน เขาสามารถควบคุมสายเลือดพรสวรรค์ทั้งสองชนิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
อีกทั้งยังสามารถชักนำพลังงานทั้งสองสายได้อย่างอิสระ
เอี๋ยนเอ๋อร์เพิ่งจะขจัดเพลิงคะนองออกไปได้ไม่นาน
ดังนั้นเขาต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะออกไปจากข่ายปราณ
จี้เทียนซิงเห็นเอี๋ยนเอ๋อร์และเสี่ยวไป๋กำลังฟื้นฟูรักษาตัว
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและนั่งลงบนพื้นด้วยสองตาที่ปิดสนิท เพื่อรอคอยเวลาอย่างเงียบงัน
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน
หนึ่งวันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวไป๋ได้ตื่นขึ้นมาก่อน
มันเบิกตากลมโตและหันไปมองบนร่างของเอี๋ยนเอ๋อร์
มันไม่สามารถเข้าไปในข่ายปราณได้
มันทำได้เพียงนอนหมอบอยู่บนหินก้อนใหญ่ สองตาจับจ้องเอี๋ยนเอ๋อร์ไม่วางตาเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองเขาอย่างเงียบๆ
ไม่นานนักเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ยุติการปรับสภาพร่างกายและตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มเปิดตาขึ้นและกวาดสายตามองจนได้เห็นจี้เทียนซิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าน้อยๆของเขาเกิดรอยยิ้มขึ้น คนตะโกนเรียกอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่เทียนซิง !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าให้ฝ่ายหลังด้วยรอยยิ้มพลางถามว่า
“เอี๋ยนเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ?"
เอี๋ยนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า
"ศิษย์พี่เทียนซิง ข้าคิดว่าหายขาดแล้ว
ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องเพลิงคะนองที่ปะทุภายในกายอีกต่อไป ศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมากเลย
หากมิใช่เพราะท่านช่วยไว้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหายดีเมื่อใด”
ในขณะที่พูดเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากข่ายปราณ
ตรงไปหาจี้เทียนซิง เมื่อเดินผ่านแผ่นหิน
เสี่ยวไป๋ก็วิ่งเข้ามาหาและเอาศีรษะของมันถูไถไปกับตัวเขา
เอี๋ยนเอ๋อร์จ้องมองเสี่ยวไป๋และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวมันพลางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋
ขอบคุณเจ้ามากที่คอยปกป้องคุ้มครองสถานที่นี้มานับปี”
พยัคฆ์ขาวเนตรทอง, เสี่ยวไป๋เดิมทีเป็นสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายเกรี้ยวกราด
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเอี๋ยนเอ๋อร์มันกลับเชื่องยิ่งกว่าลูกแมวเสียอีก
เอี๋ยนเอ๋อร์เดินไปหาจี้เทียนซิงโดยมีเสี่ยวไป๋เดินตามหลังมา
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันและเดินออกจากถ้ำ
“เอี๋ยนเอ๋อร์
เจ้านอนอยู่ในถ้ำอู๋หยามาเป็นเวลานาน
ท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ย่อมเป็นห่วงมากแล้ว”
“ในที่สุดเจ้าก็สามารถขจัดฝันร้ายและความเจ็บปวดออกไปได้
พวกเราสมควรรีบกลับนิกายโดยเร็วที่สุดเพื่อรายงานต่อพวกเขา”
เอี๋ยนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ
“ก็ดี ตกลงตามนี้”
ทั้งสองหันหลังและเดินออกจากถ้ำอู๋หยา
ผ่านเส้นทางที่แคบและคดเคี้ยวจนกระทั่งออกไปนอกภูเขา
เสี่ยวไป๋เดินตามหลังมาไม่ห่าง
เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดจะจากไป
เมื่อชายทั้งสองเดินออกจากถ้ำมาถึงปากทางเข้า
มันก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ขึ้น
จี้เทียนซิงเห็นเสี่ยวไป๋เดินตามเอี๋ยนเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์ เสี่ยวไป๋อยู่กับเจ้ามาร่วมปีและสามารถปรับแต่งเพลิงคะนองของเจ้าได้
ดูเหมือนมันจะมีวาสนากับเจ้า"
“ในเมื่อมันติดเจ้าขนาดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเอายังไงกับมัน
ทางที่ดีเจ้ารับมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคู่กายจะดีกว่า”
เอี๋ยนเอ๋อร์ค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้และหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างรวดเร็ว
ปากเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ายินดีจะติดตามข้า
เป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจของข้าไปตลอดหรือไม่ ?”
เสี่ยวไป๋ยังคงมีท่าทีหยิ่งยโส
ดวงตาเพียงจับจ้องมองเอี๋ยนเอ๋อร์อย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
ทันใดนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ปรบมือและกล่าวด้วยความดีใจว่า
“เจ้าไม่ปฏิเสธใช่มั้ย
เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงนะ !”
จากนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์ก็กอดคอ
ลูบขนเงางามมันหลายครั้งและกระโดดขึ้นขี่หลัง
หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว
เสี่ยวไป๋ก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าวิ่งไปที่ตีนเขา
“ฟุ่บ !”
ครั้นเสี่ยวไป๋ออกตัว
ร่างของมันเปลี่ยนเป็นภาพติดตาสีขาวที่รวดเร็วราวกับสายลมแรง
เอี๋ยนเอ๋อร์ปรับสมดุลร่างกายของเขาและพยายามในการควบคุมเสี่ยวไป๋ให้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตนเองต้องการ
จนกระทั่งเสี่ยวไป๋ทะยานออกไปไกล
เสียงหัวเราะร่าเริงอย่างมีความสุขของเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ดังสะท้อนไปทั่วป่า
เมื่อเห็นภาพนี้เจี้เทียนซิงก็แย้มยิ้มและไล่ตามหลังไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเฉียนเยวี่ย
............
ภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์
ทั่วทั้งภูเขากลายเป็นสีเขียวอมทองสีทองจากแสงสะท้อน
พยัคฆ์ขาวเนตรทองวิ่งไปตามภูเขาอู๋หยาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
จี้เทียนซิงยืนอยู่กลางหลังเฉียนเยวี่ย
บินบนท้องฟ้าตามหลังเสี่ยวไป๋และเอี๋ยนเอ๋อร์ เมื่อได้เห็นเสี่ยวไป๋วิ่งทะยานอย่างดุดันผสมผสานไปกับเสียงหัวเราะของเอี๋ยนเอ๋อร์
ก็ทำให้ชายหนุ่มคาดเดาได้ว่าศิษย์น้องผู้นี้อาจเป็นเด็กร่าเริงและมีชีวิตชีวามาก่อน
นับตั้งแต่เพลิงคะนองปะทุขึ้นในร่างจนได้รับความเจ็บปวดทรมาน
เขาคงต้องโดดเดี่ยวอ้างว้าง
เกรงว่าเอี๋ยนเอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะร่าเริงเช่นนี้มานานนับปีแล้วกระมัง
?
หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวไป๋วิ่งไปตามเทือกเขาสูงพร้อมกับเอี๋ยนเอ๋อร์ที่อยู่กลางหลัง
หากข้ามยอดเขานี้และเดินทางไปต่ออีกไม่กี่ร้อยไมล์ก็จะถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์
ในขณะนี้เอง
จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็ดูเหมือนจะชนกำแพงที่มองไม่เห็นเข้าจนเกิดเสียงดัง “ปึง !” ขึ้น
เสี่ยวไป๋เสียหลักกลิ้งตกลงไปบนภูเขาและกระแทกกับพื้นเสียงดัง
เอี๋ยนเอ๋อร์ก็กระเด็นและตกลงไปในพงหญ้าห่างออกไปหลายสิบเมตร
จี้เทียนซิงตกใจและรีบบอกให้เฉียนเยวี่ยลงจอดที่จุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงเขาก็รีบพยุงเอี๋ยนเอ๋อร์ขึ้นมาจากพงหญ้าและถามด้วยความเป็นห่วง
“เอี๋ยนเอ๋อร์ เจ้าเป็นไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
?”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved