ตอนที่ 381 เจ้าไม่เห็นเราเป็นสหายหรือ

?

เล่มที่ 3  เทวทัณฑ์แห่งมารไร้พ่าย

หายนะแห่งพันธมิตรสวรรค์

ทัศนคติของหลงหยุนเซียวที่มีต่อนางนั้น

หยุนเหยาไม่แปลกใจแม้แต่น้อย

เมื่อหลายปีก่อนมันก็เคยกล่าวคำพูดเช่นนี้กับนางมาแล้วรอบหนึ่ง

และมันก็ยังไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ

นางขมวดคิ้วและกล่าวเสียงราบเรียบว่า

“เทียนจือ ท่านย่อมทราบดีว่าระหว่างเราเป็นไปไม่ได้  ไฉนท่านถึงต้องเสียเวลากับข้าอยู่อีก?"

หลงหยุนเซียวยังคงเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล

“ด้วยพรสวรรค์และระดับพลังของเรากับเจ้า

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเวลา พวกเราสามารถมีชีวิตยืนยาวได้หลายร้อยปี

เรารอเจ้าได้และจะรออยู่เสมอ"

หยุนเหยาจ้องมองอีกฝ่ายและไม่กล่าวอันใดอีก

นิสัยของทั้งสองคล้ายคลึงกัน

เรื่องใดตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเขาล้วนเป็นคนหนักแน่นมั่นคง

เพียงคำพูดสี่ห้าประโยคนั้นย่อมมิอาจเปลี่ยนความคิดกันได้ง่ายๆ

ในเมื่ออีกฝ่ายตอบเช่นนี้

หยุนเหยาก็คร้านจะถกเถียงให้เสียเวลา

นางยังคงเงียบขรึม

เดินไปตามทางเดินสีฟ้าริมทะเลสาบ ดวงตาคู่งามมองไปยังม่านหมอกยามเช้ารอบๆ

หลงหยุนเซียงยังคงเดินเคียงข้าง

เอ่ยปากบอกเล่าชวนคุยเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันที่น่าสนใจ  แววตาและน้ำเสียงของมันนุ่มนวลอ่อนโยนตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่ว่าปฏิกิริยาท่าทางที่หยุนเหยาแสดงออกต่อมันจะเป็นเช่นไร

มันก็ยังคงวางตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ

มันเป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว

และไม่เคยเปลี่ยนแปลง

..............

ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น

ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เดินขึ้นมาบนทางเดินหิน เผชิญหน้ากับทั้งสองที่อยู่สุดทางเดิน

ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็มาเดินเล่นรอบทะเลสาบเพื่อผ่อนคลาย

ทั้งสองฝ่ายจึงได้พบหน้ากันโดยบังเอิญ

ทันทีที่หยุนเหยาเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้น

ใบหน้าและแววตาที่เคยเย็นชาของนางก็ลดทอนลงไปหลายส่วน พลางเอ่ยปากทักทายแต่ไกลว่า

"ศิษย์น้องเทียนซิง

อรุณสวัสดิ์"

ไม่ต้องสงสัยเลย

บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าก็คือจี้เทียนซิงนั่นเอง

หลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืนจึงนั่งทำสมาธิ

พอถึงตอนเช้าเขาก็เดินเรื่อยเปื่อยไปตามยอดเขาฉิงเทียน

จนมาถึงทะเลสาบปี้โผที่อยู่หลังเขาแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว

เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับหยุนเหยาที่นี่

รวมไปถึงหลงหยุนเซียวที่อยู่ข้างๆนาง

จี้เทียนซิงอึ้งไปวูบหนึ่ง

จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาทั้งสองพลางโค้งคำนับทักทายหลงหยุนเซียวเป็นอันดับแรก

"คารวะเทียนจือ”

"ศิษย์พี่ใหญ่

พวกท่านมาที่นี่เพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของทะเลสาบปี้โผในยามเช้าหรือ ?”

เขามองหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวด้วยสีหน้าราบเรียบ

จากนั้นเอ่ยปากสนทนากับทั้งสองโดยไร้ซึ่งอาการหรืออารมณ์ผิดแผกใดๆ

หลงหยุนเซียวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเป็นการตอบรับ

อย่างไรก็ตาม

หลงหยุนเซียวมิได้รู้จักจี้เทียนซิงเป็นการส่วนตัว

รู้แต่เพียงว่าบุรุษตรงหน้ามันเป็นศิษย์เอกของฉู่เทียนเซิง

ดังนั้นมันจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยาเดินตรงเข้ามาหาจี้เทียนซิงและยืนเผชิญซึ่งๆหน้า

ปากเอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง

เทียนจือกับข้ารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก พวกเราจึงมาเดินเล่นรอบทะเลสาบกัน.....”

หยุนเหยาอธิบายสั้นๆ

ถึงแม้นางจะวางตัวดูปกติ

แต่จี้เทียนซิงที่อยู่ใกล้ชิดกับนางตลอดเวลาย่อมสังเกตเห็นว่านางมีท่าทางแปลกๆไปเล็กน้อย

เขาคิดในใจว่า

“ที่แท้ศิษย์พี่กับเทียนจือก็รู้จักกันมาก่อน

! เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ข้าเดาไว้ก่อนหน้าก็ไม่ผิดแล้ว  ปูมหลังของศิษย์พี่ไม่สามัญธรรมดา"

"ที่สำคัญ.. การที่ศิษย์พี่เดินมาอธิบายต่อหน้าข้า

นางเกรงว่าข้าจะเข้าใจผิด ?”

ทันทีที่เกิดความคิดนี้

เขาจึงกล่าวกับหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่กับเทียนจือจะรู้จักกันมาก่อน

สหายเก่ามีโอกาสได้พบกันอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่ดี"

หลงหยุนเซียวเพียงเอาใจใส่ต่อท่าทีของหยุนเหยาเท่านั้น

ดังนั้นมันจึงไม่สนใจคำพูดของจี้เทียนซิง

ในเวลานี้เอง

หยุนเหยาคารวะหลงหยุนเซียวพลางกล่าวขอโทษว่า

“เทียนจือ ข้าต้องขออภัย

ข้านัดหมายกับศิษย์น้องเทียนซิงไว้ก่อนแล้ว วันนี้พวกเราจะไปหุบเขาบุปผากัน"

"โปรดให้อภัยที่หยุนเหยามิอาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้แล้ว

ขอตัวก่อน”

ทันทีที่หยุนเหยาเอ่ยประโยคนี้ออกมา

ทั้งจี้เทียนซิงและหลงหยุนเซียวต่างก็แข็งค้าง

จี้เทียนซิงเปลือกนอกดูสงบเยือกเย็นแต่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

“แปลกจัง ข้าไปนัดกับศิษย์พี่ตั้งแต่ตอนไหน ?  แถมยังเป็นหุบเขาบุปผาเนี่ยนะ

?”

อย่างไรก็ตาม

หัวสมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามคาดเดาเจตนาแท้จริงของหยุนเหยา

“หรือว่าศิษย์พี่จงใจ ?  นางต้องการหาข้ออ้างปลีกตัวจากเทียนจือ

?"

เมื่อคิดได้เช่นนี้

เขาก็ร่วมมือกับนางทันที โค้งคำนับหลงหยุนเซียวพลางขอโทษด้วยรอยยิ้ม “เทียนจือ เช่นนั้นกระหม่อมขอลา”

หลงหยุนเซียวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย

หรี่ตามองจี้เทียนซิงและหันไปมองหยุนเหยาอีกครั้ง  ในในลอบขบคิดอะไรบางอย่าง

แม้ในใจจะเต็มไปด้วยเมฆหมอกของความคลางแคลงใจ

แต่เปลือกนอกยังคงวางท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเดิม กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มว่า

"เหยาเหยา

เราเทียนจืออุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงอาณาจักรเทียนเฉิน เพียงเพื่อพบเจ้า

แต่สนทนากันได้ไม่กี่คำเจ้าก็คิดทิ้งขว้างเรา ?  เจ้าไม่เห็นเราเทียนจือเป็นสหายอีกแล้วหรือ ?”

"เราก็อยากเห็นทิวทัศน์และความงดงามของอาณาจักรเทียนเฉินให้มากกว่านี้

เหยาเหยา ในฐานะเจ้าบ้าน เจ้าไม่คิดจะพาสหายของเจ้าไปเที่ยวชมบ้างหรือ

?"

ทั้งจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็คาดไม่ถึงว่าหลงหยุนเซียวจะใจกล้า

กล้าเอ่ยปากขอติดตามไปด้วย

หากเป็นคนทั่วไปเมื่อได้ยินเช่นนี้ย่อมหลบลี้หนีหน้า

ผละจากไปนานแล้ว

ทว่าหลงหยุนเซียวเป็นแขกระดับสูงสุด

ส่วนพวกเขาเป็นศิษย์สาวกของนิกายเจ้าบ้าน

แน่นอนว่าต้องปรนนิบัติและต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น

นอกจากนี้

หลงหยุนเซียวก็ใช้วาจาน่าฟังไม่น้อย คำพูดคำจาของมันล้วนผ่านการคิดคำนวณมาแล้ว

หากพูดเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ

ด้วยความสิ้นหวัง

หยุนเหยาทำได้เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า

“ในเมื่อเทียนจือต้องการเห็นทิวทัศน์รอบๆ

พวกเราในฐานะสาวกของนิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมต้องปฏิบัติตาม

สร้างความบันเทิงให้พระองค์ให้ดีที่สุด"

"เทียนจือ

เชิญ !"

จากนั้นหยุนเหยาและจี้เทียนซิงพร้อมกับหลงหยุนเซียวจึงเดินออกจากทะเลสาบปี้โผ

มุ่งหน้าไปยังภูเขาลึกในนิกายพันธมิตรสวรรค์

หุบเขาบุปผาที่ว่านั้นตั้งอยู่ในขุนเขาซีซาน

มันเป็นหนึ่งในเก้าขุนเขาของนิกายพันธมิตรสวรรค์   สถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาและมีทิวทัศน์ที่สวยงาม

ขุนเขาลูกนี้เต็มไปด้วยหุบเขา

ทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้วิญญาณหลากสีสัน ที่ยังไม่แก่ไม่เหี่ยวเฉา

อีกทั้งยังเบ่งบานตลอดทั้งปีและปกคลุมไปทิวทัศน์อันงดงามจับตา

นับตั้งแต่ที่จี้เทียนซิงเข้าเป็นศิษย์ของนิกาย

เขาเอาแต่ฝึกฝนบ่มเพาะและไม่เคยไปเยือนขุนเขาซีซานมาก่อน

หลังจากหนุ่มสาวทั้งสามออกจากยอดเขาฉิงเทียน

พวกมันก็เร่งรุดผ่านป่าไม้ระหว่างเทือกเขา มุ่งหน้าตรงไปยังขุนเขาซีซาน

หยุนเหยาเป็นสตรีที่มีอารมณ์เย็นชา

ส่วนจี้เทียนซิงก็เป็นบุคลจำพวกบ้าวรยุทธ์และเก็บตัว ทั้งสองเข้าสังคมไม่เก่งนัก

ทว่าหลงหยุนเซียวนั้นต่างออกไป

ปกติแล้วมันเป็นคนพูดเก่งและมีคารมคมคาย แต่ตอนนี้มันเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้

มิได้เอ่ยปากพูดคุยใดๆกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาตลอดทาง

มันลอบสังเกตคนทั้งสองอย่างเงียบเชียบจนพบเบาะแสบางอย่าง

มันสัมผัสได้แทบจะทันทีที่ร่วมเดินทางว่าทัศนคติที่หยุนเหยามีต่อบุรุษหนุ่มจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยความไว้วางใจและสนิทชิดเชื้อเกินกว่าจะเรียกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง

จุดสังเกตแรกคือ

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันห่างไม่เกินครึ่งฟุต เรียกได้ว่าแทบจะไหล่ชนกัน

ระยะห่างในการเดินนี้เมื่อเทียบกับที่ปฏิบัติต่อหลงหยุนเซียว

ทั้งสองดูราวกับคู่รักกันมากกว่า

ซึ่งภาพที่เห็นนี้ทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อย

หลงหยุนเซียวเข้าถึงนิสัยใจคอของหยุนเหยาเป็นอย่างดี

มันรู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หยุนเหยาเริ่มสนิทชิดเชื้อกับผู้อื่นเช่นนี้ ?

“ไม่  ไม่สิ...  เหยาเหยาจะตาต่ำสนใจคนธรรมดาแบบเจ้าหนุ่มนี่ได้อย่างไร

? นางเอามันมาเป็นไม้กันหมา แสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้ามากกว่า

!”

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้

หลงหยุนเซียวก็เริ่มรู้สึกเบาใจ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ทั้งสามก็มาถึงตีนเขาซีซาน

ในเวลานี้เองสัมผัสญาณของหลงหยุนเซียวพลันจับความผิดปกติได้โดยไม่ตั้งใจ

มันพบว่าทางด้านหลังห่างออกไปราวๆร้อยเมตร

มีชายชราคิ้วขาวในเสื้อคลุมสีเหลืองเหมือนจะลอบติดตามพวกมันมา

ชายชราคิ้วขาวผู้นี้อ้วนเตี้ยและไว้เคราแพะที่คาง

ระดับปราณยุทธ์ของมันอยู่ในขั้นสูงสุดปราณโอสถ

ถึงแม้หลงหยุนเซียวจะพบบุคลผู้นี้

แต่มันก็คร้านจะใส่ใจ

*******

เล่มที่ 3  เทวทัณฑ์แห่งมารไร้พ่าย

หายนะแห่งพันธมิตรสวรรค์