?
เล่มที่ 3 เทวทัณฑ์แห่งมารไร้พ่าย
หายนะแห่งพันธมิตรสวรรค์
ทัศนคติของหลงหยุนเซียวที่มีต่อนางนั้น
หยุนเหยาไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เมื่อหลายปีก่อนมันก็เคยกล่าวคำพูดเช่นนี้กับนางมาแล้วรอบหนึ่ง
และมันก็ยังไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ
นางขมวดคิ้วและกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เทียนจือ ท่านย่อมทราบดีว่าระหว่างเราเป็นไปไม่ได้ ไฉนท่านถึงต้องเสียเวลากับข้าอยู่อีก?"
หลงหยุนเซียวยังคงเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล
“ด้วยพรสวรรค์และระดับพลังของเรากับเจ้า
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเวลา พวกเราสามารถมีชีวิตยืนยาวได้หลายร้อยปี
เรารอเจ้าได้และจะรออยู่เสมอ"
หยุนเหยาจ้องมองอีกฝ่ายและไม่กล่าวอันใดอีก
นิสัยของทั้งสองคล้ายคลึงกัน
เรื่องใดตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเขาล้วนเป็นคนหนักแน่นมั่นคง
เพียงคำพูดสี่ห้าประโยคนั้นย่อมมิอาจเปลี่ยนความคิดกันได้ง่ายๆ
ในเมื่ออีกฝ่ายตอบเช่นนี้
หยุนเหยาก็คร้านจะถกเถียงให้เสียเวลา
นางยังคงเงียบขรึม
เดินไปตามทางเดินสีฟ้าริมทะเลสาบ ดวงตาคู่งามมองไปยังม่านหมอกยามเช้ารอบๆ
หลงหยุนเซียงยังคงเดินเคียงข้าง
เอ่ยปากบอกเล่าชวนคุยเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันที่น่าสนใจ แววตาและน้ำเสียงของมันนุ่มนวลอ่อนโยนตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่ว่าปฏิกิริยาท่าทางที่หยุนเหยาแสดงออกต่อมันจะเป็นเช่นไร
มันก็ยังคงวางตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ
มันเป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว
และไม่เคยเปลี่ยนแปลง
..............
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น
ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เดินขึ้นมาบนทางเดินหิน เผชิญหน้ากับทั้งสองที่อยู่สุดทางเดิน
ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็มาเดินเล่นรอบทะเลสาบเพื่อผ่อนคลาย
ทั้งสองฝ่ายจึงได้พบหน้ากันโดยบังเอิญ
ทันทีที่หยุนเหยาเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้น
ใบหน้าและแววตาที่เคยเย็นชาของนางก็ลดทอนลงไปหลายส่วน พลางเอ่ยปากทักทายแต่ไกลว่า
"ศิษย์น้องเทียนซิง
อรุณสวัสดิ์"
ไม่ต้องสงสัยเลย
บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าก็คือจี้เทียนซิงนั่นเอง
หลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืนจึงนั่งทำสมาธิ
พอถึงตอนเช้าเขาก็เดินเรื่อยเปื่อยไปตามยอดเขาฉิงเทียน
จนมาถึงทะเลสาบปี้โผที่อยู่หลังเขาแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับหยุนเหยาที่นี่
รวมไปถึงหลงหยุนเซียวที่อยู่ข้างๆนาง
จี้เทียนซิงอึ้งไปวูบหนึ่ง
จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาทั้งสองพลางโค้งคำนับทักทายหลงหยุนเซียวเป็นอันดับแรก
"คารวะเทียนจือ”
"ศิษย์พี่ใหญ่
พวกท่านมาที่นี่เพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของทะเลสาบปี้โผในยามเช้าหรือ ?”
เขามองหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวด้วยสีหน้าราบเรียบ
จากนั้นเอ่ยปากสนทนากับทั้งสองโดยไร้ซึ่งอาการหรืออารมณ์ผิดแผกใดๆ
หลงหยุนเซียวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเป็นการตอบรับ
อย่างไรก็ตาม
หลงหยุนเซียวมิได้รู้จักจี้เทียนซิงเป็นการส่วนตัว
รู้แต่เพียงว่าบุรุษตรงหน้ามันเป็นศิษย์เอกของฉู่เทียนเซิง
ดังนั้นมันจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตาม
หยุนเหยาเดินตรงเข้ามาหาจี้เทียนซิงและยืนเผชิญซึ่งๆหน้า
ปากเอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง
เทียนจือกับข้ารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก พวกเราจึงมาเดินเล่นรอบทะเลสาบกัน.....”
หยุนเหยาอธิบายสั้นๆ
ถึงแม้นางจะวางตัวดูปกติ
แต่จี้เทียนซิงที่อยู่ใกล้ชิดกับนางตลอดเวลาย่อมสังเกตเห็นว่านางมีท่าทางแปลกๆไปเล็กน้อย
เขาคิดในใจว่า
“ที่แท้ศิษย์พี่กับเทียนจือก็รู้จักกันมาก่อน
! เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ข้าเดาไว้ก่อนหน้าก็ไม่ผิดแล้ว ปูมหลังของศิษย์พี่ไม่สามัญธรรมดา"
"ที่สำคัญ.. การที่ศิษย์พี่เดินมาอธิบายต่อหน้าข้า
นางเกรงว่าข้าจะเข้าใจผิด ?”
ทันทีที่เกิดความคิดนี้
เขาจึงกล่าวกับหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่กับเทียนจือจะรู้จักกันมาก่อน
สหายเก่ามีโอกาสได้พบกันอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่ดี"
หลงหยุนเซียวเพียงเอาใจใส่ต่อท่าทีของหยุนเหยาเท่านั้น
ดังนั้นมันจึงไม่สนใจคำพูดของจี้เทียนซิง
ในเวลานี้เอง
หยุนเหยาคารวะหลงหยุนเซียวพลางกล่าวขอโทษว่า
“เทียนจือ ข้าต้องขออภัย
ข้านัดหมายกับศิษย์น้องเทียนซิงไว้ก่อนแล้ว วันนี้พวกเราจะไปหุบเขาบุปผากัน"
"โปรดให้อภัยที่หยุนเหยามิอาจอยู่เป็นเพื่อนท่านได้แล้ว
ขอตัวก่อน”
ทันทีที่หยุนเหยาเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ทั้งจี้เทียนซิงและหลงหยุนเซียวต่างก็แข็งค้าง
จี้เทียนซิงเปลือกนอกดูสงบเยือกเย็นแต่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
“แปลกจัง ข้าไปนัดกับศิษย์พี่ตั้งแต่ตอนไหน ? แถมยังเป็นหุบเขาบุปผาเนี่ยนะ
?”
อย่างไรก็ตาม
หัวสมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามคาดเดาเจตนาแท้จริงของหยุนเหยา
“หรือว่าศิษย์พี่จงใจ ? นางต้องการหาข้ออ้างปลีกตัวจากเทียนจือ
?"
เมื่อคิดได้เช่นนี้
เขาก็ร่วมมือกับนางทันที โค้งคำนับหลงหยุนเซียวพลางขอโทษด้วยรอยยิ้ม “เทียนจือ เช่นนั้นกระหม่อมขอลา”
หลงหยุนเซียวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย
หรี่ตามองจี้เทียนซิงและหันไปมองหยุนเหยาอีกครั้ง ในในลอบขบคิดอะไรบางอย่าง
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยเมฆหมอกของความคลางแคลงใจ
แต่เปลือกนอกยังคงวางท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเดิม กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มว่า
"เหยาเหยา
เราเทียนจืออุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงอาณาจักรเทียนเฉิน เพียงเพื่อพบเจ้า
แต่สนทนากันได้ไม่กี่คำเจ้าก็คิดทิ้งขว้างเรา ? เจ้าไม่เห็นเราเทียนจือเป็นสหายอีกแล้วหรือ ?”
"เราก็อยากเห็นทิวทัศน์และความงดงามของอาณาจักรเทียนเฉินให้มากกว่านี้
เหยาเหยา ในฐานะเจ้าบ้าน เจ้าไม่คิดจะพาสหายของเจ้าไปเที่ยวชมบ้างหรือ
?"
ทั้งจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็คาดไม่ถึงว่าหลงหยุนเซียวจะใจกล้า
กล้าเอ่ยปากขอติดตามไปด้วย
หากเป็นคนทั่วไปเมื่อได้ยินเช่นนี้ย่อมหลบลี้หนีหน้า
ผละจากไปนานแล้ว
ทว่าหลงหยุนเซียวเป็นแขกระดับสูงสุด
ส่วนพวกเขาเป็นศิษย์สาวกของนิกายเจ้าบ้าน
แน่นอนว่าต้องปรนนิบัติและต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น
นอกจากนี้
หลงหยุนเซียวก็ใช้วาจาน่าฟังไม่น้อย คำพูดคำจาของมันล้วนผ่านการคิดคำนวณมาแล้ว
หากพูดเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ
ด้วยความสิ้นหวัง
หยุนเหยาทำได้เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า
“ในเมื่อเทียนจือต้องการเห็นทิวทัศน์รอบๆ
พวกเราในฐานะสาวกของนิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมต้องปฏิบัติตาม
สร้างความบันเทิงให้พระองค์ให้ดีที่สุด"
"เทียนจือ
เชิญ !"
จากนั้นหยุนเหยาและจี้เทียนซิงพร้อมกับหลงหยุนเซียวจึงเดินออกจากทะเลสาบปี้โผ
มุ่งหน้าไปยังภูเขาลึกในนิกายพันธมิตรสวรรค์
หุบเขาบุปผาที่ว่านั้นตั้งอยู่ในขุนเขาซีซาน
มันเป็นหนึ่งในเก้าขุนเขาของนิกายพันธมิตรสวรรค์ สถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาและมีทิวทัศน์ที่สวยงาม
ขุนเขาลูกนี้เต็มไปด้วยหุบเขา
ทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้วิญญาณหลากสีสัน ที่ยังไม่แก่ไม่เหี่ยวเฉา
อีกทั้งยังเบ่งบานตลอดทั้งปีและปกคลุมไปทิวทัศน์อันงดงามจับตา
นับตั้งแต่ที่จี้เทียนซิงเข้าเป็นศิษย์ของนิกาย
เขาเอาแต่ฝึกฝนบ่มเพาะและไม่เคยไปเยือนขุนเขาซีซานมาก่อน
หลังจากหนุ่มสาวทั้งสามออกจากยอดเขาฉิงเทียน
พวกมันก็เร่งรุดผ่านป่าไม้ระหว่างเทือกเขา มุ่งหน้าตรงไปยังขุนเขาซีซาน
หยุนเหยาเป็นสตรีที่มีอารมณ์เย็นชา
ส่วนจี้เทียนซิงก็เป็นบุคลจำพวกบ้าวรยุทธ์และเก็บตัว ทั้งสองเข้าสังคมไม่เก่งนัก
ทว่าหลงหยุนเซียวนั้นต่างออกไป
ปกติแล้วมันเป็นคนพูดเก่งและมีคารมคมคาย แต่ตอนนี้มันเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้
มิได้เอ่ยปากพูดคุยใดๆกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาตลอดทาง
มันลอบสังเกตคนทั้งสองอย่างเงียบเชียบจนพบเบาะแสบางอย่าง
มันสัมผัสได้แทบจะทันทีที่ร่วมเดินทางว่าทัศนคติที่หยุนเหยามีต่อบุรุษหนุ่มจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยความไว้วางใจและสนิทชิดเชื้อเกินกว่าจะเรียกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง
จุดสังเกตแรกคือ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันห่างไม่เกินครึ่งฟุต เรียกได้ว่าแทบจะไหล่ชนกัน
ระยะห่างในการเดินนี้เมื่อเทียบกับที่ปฏิบัติต่อหลงหยุนเซียว
ทั้งสองดูราวกับคู่รักกันมากกว่า
ซึ่งภาพที่เห็นนี้ทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อย
หลงหยุนเซียวเข้าถึงนิสัยใจคอของหยุนเหยาเป็นอย่างดี
มันรู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หยุนเหยาเริ่มสนิทชิดเชื้อกับผู้อื่นเช่นนี้ ?
“ไม่ ไม่สิ... เหยาเหยาจะตาต่ำสนใจคนธรรมดาแบบเจ้าหนุ่มนี่ได้อย่างไร
? นางเอามันมาเป็นไม้กันหมา แสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้ามากกว่า
!”
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้
หลงหยุนเซียวก็เริ่มรู้สึกเบาใจ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ทั้งสามก็มาถึงตีนเขาซีซาน
ในเวลานี้เองสัมผัสญาณของหลงหยุนเซียวพลันจับความผิดปกติได้โดยไม่ตั้งใจ
มันพบว่าทางด้านหลังห่างออกไปราวๆร้อยเมตร
มีชายชราคิ้วขาวในเสื้อคลุมสีเหลืองเหมือนจะลอบติดตามพวกมันมา
ชายชราคิ้วขาวผู้นี้อ้วนเตี้ยและไว้เคราแพะที่คาง
ระดับปราณยุทธ์ของมันอยู่ในขั้นสูงสุดปราณโอสถ
ถึงแม้หลงหยุนเซียวจะพบบุคลผู้นี้
แต่มันก็คร้านจะใส่ใจ
*******
เล่มที่ 3 เทวทัณฑ์แห่งมารไร้พ่าย
หายนะแห่งพันธมิตรสวรรค์
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved