ตอนที่ 109

พวกเจ้าติดพิษสุนัขบ้าแต่เด็กหรือ

?

เมื่อได้ยินประโยคนี้

ศิษย์หลายคนก็เผยรอยยิ้มของความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น

ทั้งซื่อจิงเฉิงและจี้หลิงต่างก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันเมื่อครูฝึกฮั่นกล่าวถึงจี้เทียนซิง “ครูฝึกฮั่น ท่านลืมไปแล้วหรือ ? จี้เทียนซิงถูกลงโทษให้ไปกวาดพื้นทำความสะอาดตำหนักไท่อันเป็นเวลา

7 วัน”

"ถูกต้อง ! ครูฝึกฮั่น

คำถามของท่าน จี้เทียนซิงคงมิมีวันตอบได้เพราะในสมองของมันเต็มไปด้วยใบไม้และวัชพืชหมดแล้ว”

จี้เทียนซิงสีหน้าเย็นลงและจ้องมองไปที่จี้หลิงกับซื่อจิงเฉิงด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ครูฝึกฮั่น สมุนไพรต้นนี้มิใช่เฟิงหลิงหลานแต่เป็นฮุ้ยเทียนเชวี่ย

(คืนสู่สวรรค์)”

เมื่อได้ยินคำตอบของจี้เทียนซิง

ฮั่นเฉียวเซิงก็นิ่งเงียบไปและศิษย์คนอื่นๆเริ่มขมวดคิ้ว

“ฮุ้ยเทียนเชวี่ย ? นี่มันเฟิงหลิงหลานชัดๆ

มันตาบอดไปแล้วหรือ ?”

“นั่นมันชื่อสมุนไพรอันใด ? ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน”

“สมุนไพรทั้ง 3,500

ชนิดที่ถูกบันทึกไว้ในตำราพันโอสถของนิกาย

ข้าจดจำได้ทั้งหมด ไม่มีทางที่สมุนไพรนี้จะเป็นฮุ้ยเทียนเชวี่ยไปได้ !”

“เหอะ ดูเหมือนว่าจี้เทียนซิงจะกวาดพื้นจนสมองพิการไปแล้ว

นั่นมันชื่อสมุนไพรผีสางอันใดกัน ?”

“ดูจากสีหน้าที่จริงจังของมัน

หากข้าไม่ได้อ่านตำราพันโอสถมาก่อน ข้าคงถูกมันหลอกเข้าจริงๆ !”

“เหอะ คอยดูเถอะ

มันกล้าเอ่ยชื่อสมุนไพรมั่วซั่วมาหลอกครูฝึกฮั่นเพื่อเอาตัวรอด

มันโดนลงโทษอีกกระทงแน่ !”

ซื่อจิงเฉิง

อี้โม่และจี้หลิงต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยหยันและมองจี้เทียนซิงอย่างขบขัน

ฮั่นเฉียวเซิงยังคงมองหน้าจี้เทียนซิงอย่างสงบและกล่าวย้ำอีกครั้ง

“จี้เทียนซิง

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือสมุนไพรที่มีชื่อว่าเฟิงหลิงหลาน

เจ้าแน่ใจนะว่ามันคือฮุ้ยเทียนเชวี่ย ?”

“เจ้าดูมันอย่างละเอียดหรือยัง? ข้าหวังว่าเจ้าจะลองคิดดูอีกครั้ง”

จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อการเยาะเย้ยของทุกคน

สีหน้าแววตาหนักแน่นมั่นคงและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ครูฝึกฮั่น

ข้าแน่ใจว่ามันคือฮุ้ยเทียนเชวี่ย!”

“ย่อมได้ งั้นเจ้าก็ลองอธิบายลักษณะนิสัยและคุณสมบัติของมันให้ข้าฟังซิ”

ดวงตาของฮันเฉียวเซิงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

จี้เทียนซิงกล่าวต่อไปอย่างเรียบเฉย

“ฮุ้ยเทียนเชวี่ยมักจะเติบโตบนภูเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรและปกคลุมไปด้วยหิมะและเมฆสีขาว มันมีคุณสมบัติในการขัดเกลาจิตวิญญาณและพัฒนาสัมผัสทางจิตวิญญาณ…”

“ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของมันจะเหมือนกับเฟิงหลิงหลานแทบทุกกระเบียดนิ้ว

แต่มันก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรหลายคนผิดพลาดในการระบุตัวตนของมันมานักต่อนัก หากไม่ได้สังเกตมันอย่างละเอียดพอ

มันมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเฟิงหลิงหลาน !”

“รากของเฟิงหลิงหลานจะต้องเป็นสีขาวขุ่นเหมือนน้ำนมและพวกมันมักจะเติบโตแผ่ขยายออกไปด้านนอก  ส่วนฮุ้ยเทียนเชวี่ยจะมีสีขาวเหมือนหิมะและนอกในบรรจบกัน…”

ฮั่นเฉียวเซิงฟังคำอธิบายของจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้ม

ส่วนซื่อจิงเฉิง

อี้โม่และจี้หลิงรวมไปถึงศิษย์อีกหลายคนต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

ในตอนแรกทุกคนตัดสินแล้วว่าจี้เทียนซิงกล่าวเพ้อเจ้อเพื่อเอาตัวรอด  พวกเขามีความสุขกับความโชคร้ายของอีกฝ่าย

แต่เมื่อเพื่อเขาได้ฟังคำอธิบายยาวเหยียดของจี้เทียนซิงก็เริ่มคิดว่าเรื่องนี้มีเหตุผลรองรับเพราะลักษณะของสมุนไพรต้นนี้เป็นอย่างที่เขาอธิบายจริงๆ

!

พวกเขาหันไปมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความตกใจและงุนงง

“ไม่น่าเป็นไปได้ ! เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเฟิงหลิงหลาน

ฮุ้ยเทียนเชวี่ยที่ว่านั่นไม่ได้อยู่ในบันทึกตำราพันโอสถแม้แต่น้อย !”

“เจ้าหนูนั่นมั่วขึ้นมาเองหรือไม่ ?”

“ไม่ต้องกังวลไป

ครูฝึกฮั่นยังไม่ได้บอกเลยว่ามันใช่หรือไม่”

“สมุนไพรฮุ้ยเทียนเชวี่ยอะไรกัน

ตำราพันโอสถมิเห็นบันทึกไว้

ครูฝึกฮั่นไม่น่านำสมุนไพรนอกตำราออกมาทดสอบ”

ทุกคนกระซิบกระซาบกันและพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง

จากนั้นห้องโถงหลักก็เข้าสู่ความเงียบสงบ

ฮั่นเฉียวเซิงวางสมุนไพรลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้น

เขามองไปที่จี้เทียนซิงด้วยแววตาชื่นชม

ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มและปรบมือเสียงดัง

“เยี่ยม

เยี่ยม  เยี่ยมมาก !”

ฮั่นเฉียวเซิงกล่าวชมถึงสามครั้งติดต่อกัน

เมื่อเห็นภาพนี้ซื่อจิงเฉิง

อี้โม่และจี้หลิงต่างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์และตกตะลึงโดยสิ้นเชิง

ศิษย์ที่เหลือต่างก็หันไปจ้องหน้าจี้เทียนซิงอย่างไม่อยากเชื่อ

การกล่าวชมของฮั่นเฉียวเซิงเปรียบเสมือนการเฉลยคำตอบ  เขากล่าวกับจี้เทียนซิงว่า “จี้เทียนซิง คำตอบและการอธิบายของเจ้าถูกต้องสมบูรณ์  เม็ดยาต้นกำเนิดหยวนตันสมควรเป็นของเจ้า  รับไปซะ”

ท้ายที่สุด

ฮั่นเฉียวเซิงก็หยิบเม็ดยาสีแดงเข้มจากถุงมิติสีดำและมอบให้กับจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยและรับเม็ดยาต้นกำเนิดหยวนตันมาพร้อมกับคารวะฮั่นเฉียวเซิง

“ขอบคุณครูฝึกฮั่น !”

ฮั่นเฉียวเซิงยิ้มพลางโบกมือ

“ไม่จำเป็น

นี่คือสิ่งเจ้าสมควรได้รับจากความพยายามและความรอบรู้ของเจ้าเอง !”

จากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็หันไปมองซื่อจิงเฉิงและอี้โม่ที่หน้าเหวอไปแล้ว

“พวกเจ้าที่เหลือจงจดจำเอาไว้ให้ดี

บนโลกนี้มีหลายสิ่งที่ไม่มีบันทึกไว้ในตำรา

ต่อให้พวกเจ้าท่องจำได้ทุกตัวอักษรก็ไม่เพียงพอต่อความใฝ่รู้อันไร้สิ้นสุดของผู้ที่เรียกว่าอัจฉริยะที่แท้จริง

!”

“ข้าสั่งให้พวกเจ้าศึกษาจากในตำราพันโอสถก็จริง

แต่ไม่ได้บอกว่าจะทดสอบจากในตำราเท่านั้น  พวกเจ้าไม่คิดที่จะไขว่คว้าหาความรู้ใหม่ๆนอกเหนือจากในตำราเลยหรือไง

?”

“ในอนาคตเมื่อพวกเจ้าเติบใหญ่กว่านี้จะต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมทารุณของโลกภายนอก

และย่อมได้พบเจอสุดยอดฝีมือที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

เจ้าจะนั่งนิ่งๆให้ผู้คนรุมสับทึ้งเช่นนั้นหรือ ?”

“หากเรื่องความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรแค่นี้พวกเจ้ายังไม่รอบคอบแล้วจะเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้อย่างไร

?  กลับไปหาภรรยา

เลี้ยงบุตรธิดาเป็นจอมยุทธ์ในกะลาแคบๆต่อไปเถิด !”

เหล่าศิษย์ทั้งหลายถูกตำหนิอย่างรุนแรงโดยฮั่นเฉียวเซิง

พวกเขาทั้งหมดต่างก้มหน้าและกำหมัดแน่น

แม้จะโดนดูถูกเหยียดหยามแต่พวกเขาก็ไม่กล้ามองหน้าฮั่นเฉียวเซิงตรงๆ

ส่วนซื่อจิงเฉิง, อี้โม่และจี้หลิงต่างก็เป็นผู้ที่เย้ยหยันจี้เทียนซิงมากที่สุด  แต่ตอนนี้สีหน้าพวกเขากลายเป็นปั้นยากและบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ที่สุด

ในบรรดาศิษย์ทั้งสิบคน

ศาสตร์เกี่ยวกับโอสถสมุนไพรนั้นเดิมทีซื่อจิงเฉิงกับอี้โม่ต่างก็เป็นตัวเต็งและเป็นผู้ที่มีความมั่นใจมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม

ทั้งคู่กลับตรวจสอบชนิดของสมุนไพรผิดพลาดและยืนยันว่ามันเป็นเฟิงหลิงหลาน

สุดท้ายจี้เทียนซิงที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะและควรเป็นคนที่อยู่อันดับรั้งท้ายกลับรู้จักตัวตนแท้จริงของสมุนไพรชนิดนี้แถมยังระบุข้อแตกต่างของมันได้อย่างละเอียดยิบ

นี่นับเป็นการเหยียบหน้าอย่างรุนแรงต่อผู้เชี่ยวชาญโอสถเช่นซื่อจิงเฉิงและอี้โม่

!

พวกเขาทั้งคู่กำหมัดและกัดฟันแน่น

ในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อและจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างไม่ละสายตา

พวกเขาคิดในใจว่า

ถ้าหากจี้เทียนซิงไม่ตอบถูก พวกเขาคงไม่ถูกครูฝึกฮั่นด่าทอจนเสียผู้เสียคนในที่สาธารณะ

!

ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บความแค้นไว้ในใจและต้องคิดบัญชีกับจี้เทียนซิงในภายภาคหน้า

หลังจากฮั่นเฉียวเซิงอบรมบรรดาศิษย์เรียบร้อยก็ประกาศต่อไปว่า

“ในสัปดาห์หน้า หน้าที่ของพวกเจ้าทุกคนคือการเรียนรู้วิธีการจัดแบ่งประเภทของโอสถ และวิธีจับคู่การจ่ายยากับโอสถ”

จากนั้นตู้หวู่ก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และหยิบตำราโบราณหนาเท่าก้อนอิฐสิบเล่มออกมาแจกจ่ายให้กับทุกคน

หน้าปกของตำราโบราณสีดำเล่มนี้เขียนไว้ว่า

[สูตรตำรับพันโอสถ]

ฮั่นเฉียวเฉิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“สัปดาห์นี้พวกเจ้าทุกคนสามารถศึกษาและอ้างอิงจากตำรับพันโอสถดูก่อนได้”

หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ออกจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับตู้หวู่

ศิษย์ทั้งสิบต่างก็ถือตำรับพันโอสถไว้ในมือ

แต่ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซื่อจิงเฉิงกับอี้โม่

พวกเขาจ้องจี้เทียนซิงด้วยดวงตาเย็นเฉียบแฝงไปด้วยความโกรธแค้น

เมื่อเห็นจี้เทียนซิงมีสีหน้าไม่แยแสและกำลังจะเดินออกจากห้องโถง

ซื่อจิงเฉิงก็ไปขวางทางไว้พลางกล่าวว่า “จี้เทียนซิง

! อย่าได้คิดว่าเพียงแค่เดาถูกจนได้รางวัลจากครูฝึกแล้วจะทำตัวจองหองเช่นนี้ต่อไปได้”

“เพียงแค่ระบุสมุนไพรได้จะมีประโยชน์อันใด ? เมื่อถึงสิ้นเดือนเจ้าจะต้องปรุงโอสถของจริง

ถึงเวลานั้นข้าจะเหยียบย่ำเจ้าให้จมธรณี !”

อี้โม่ก็เป็นอีกคนที่เดินมาหาจี้เทียนซิงและตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

“จี้เทียนซิง อวดดีต่อไปเถอะ

เจ้าลักเล็กขโมยน้อยทำตัวเยี่ยงโจร ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องถูกขับจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

!”

จี้เทียนซิงเอียงคอยักไหล่ไม่ตอบโต้ใดๆ  เขากำลังอารมณ์ดีและคิดจะรีบกลับห้องเพื่อกินเม็ดยาต้นกำเนิดหยวนตันเพื่อพัฒนาพลังของเขา

แต่ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่กลับไม่ยอมเลิกรา

ไม่เพียงก้นด่าสาปแช่งแต่ยังคิดจะทุบตีจนจี้เทียนซิงเหลืออด ใบหน้าของเขามืดครึ้ม

ดวงตาเย็นเยียบและจ้องมองไปที่คนทั้งสองพลางกล่าวว่า “เหอๆ ปกติแล้วข้าจะด่าศัตรูและคนที่เกลียดชังเท่านั้น

แต่พวกเจ้าทำให้ข้าเหลือจะทนแล้ว

ข้าอยู่ของข้าดีๆพวกเจ้าก็เอาแต่ดูถูกด่าทอข้าแบบไร้เหตุผล”

“ข้าเริ่มสงสัยแล้วสิว่าตอนเด็กพวกเจ้าทั้งสองได้ถูกสุนัขบ้ากัดมาหรือไม่

ถึงได้ไล่กัดชาวบ้านเขาไปทั่ว !"