หนังหน้าเจ้าตอนนี้ยังไม่คู่ควร
!
จี้เทียนซิงเข้านิกายมากว่าสามเดือนแล้ว
มันคุ้นชินกับกฏเกณฑ์ต่างๆของนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นอย่างดี
มันรู้ว่าศิษย์ฝ่ายในนั้น
โดยทั่วไปก็มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเหล่าศิษย์ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
หนึ่งห้องต่อหนึ่งคนและมีห้องลับไว้บ่มเพาะ
มีเพียงศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในเท่านั้นที่จะได้รับตำหนักหนึ่งหลังเป็นรางวัล
โดยทั่วไปแล้วตำหนักจะตั้งชื่อตามศิษย์ผู้นั้นหรือแล้วแต่เจ้าของตำหนักจะเลือก
ตำหนักในอาณาเขตของศิษย์หัวกะทินั้นไม่เพียงแค่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วนสมบูรณ์กว่า
แต่ยังมีสาวใช้และศิษย์รับใช้อีกด้วย
ดังนั้น
จี้เทียนซิงที่เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายจึงได้รับการดูแลเช่นเดียวกับไป๋หวู่เชิน
ฮ่าวเมิ่งและหัวกะทิอีกสองคน
แน่นอนว่าระดับผู้อาวุโสและผู้ดูแลทั้งหลายล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน
เว้นแต่เพียงหัวหน้าศิษย์หยุนเหยาที่มีความเป็นอยู่และสถานะสูงที่สุด
แทนที่นางจะได้อาศัยอยู่ในตำหนักของเขตชั้นใน
แต่นางกลับอยู่บนยอดเขาเมฆาสีชาดที่มีตำหนักส่วนตัวนามว่าวังเมฆขาว
ความเป็นอยู่ของนางจึงเทียบเท่ากับผู้อาวุโสหลักทั้งเก้าของนิกายเลยทีเดียว
..........
หลังจากเสร็จธุระและอำลาฉู่เทียนเซิง
จี้เทียนซิงก็ลงจากยอดเขาเมฆาสีชาดและมุ่งหน้าไปที่อาณาเขตของฝ่ายใน
มันคือยอดเขาลูกหนึ่งที่ชื่อว่ายอดเขาฉิงเทียน
พื้นที่ส่วนนี้มีตำหนักนับสิบหลังกระจุกกันอยู่และมีลานกว้างหลายสิบแห่ง
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ของส่วนใน
ผู้อาวุโส ผู้ดูแลและคนสำคัญของนิกายต่างก็อาศัยอยู่ในบริเวณเชิงเขานี้
อาณาเขตบริเวณนี้กว้างใหญ่มาก
จี้เทียนซิงต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามกว่าจะหาตำหนักเทียนซิงของตนเองพบ
ลานกว้างที่ล้อมรอบตำหนักหลังเล็กแห่งนี้ตั้งอยู่ถัดจากหน้าผาเชิงเขา
รอบบริเวณรายล้อมไปด้วยต้นไม้และมีบรรยากาศที่เงียบสงบสวยงามเป็นอย่างมาก
ลานกว้างนี้มีขนาดเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีพื้นที่ห้าสิบเมตร
ตำหนักแห่งนี้มีห้องหับรวมๆกันอยู่นับสิบห้อง
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ดูร่มรื่นและสง่างาม
เหนือธรณีประตูด้านนอกมีป้ายแผ่นไม้โบราณที่สลักไว้ด้วยคำว่า “ตำหนักเทียนเซิง”
ภายในนั้นมีศิษย์รับใช้สองคนและสาวใช้หนึ่งคน
พวกมันกำลังทำความสะอาดสวนและห้องหับต่างๆอย่างขะมักเขม้นเพื่อรอคอยเจ้าของคนใหม่อย่างจี้เทียนซิง
เมื่อเขาเดินเข้ามา
พวกมันก็ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมและเรียกขานชื่ออีกฝ่ายว่าศิษย์พี่เทียนซิง
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มแผ่วบางและพยักหน้าทักทาย เขาเหลียวมองกลับมาที่สนามหญ้าและได้เห็นต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ที่ปลูกไว้
อีกทั้งยังมีเก้าอี้หินและโต๊ะหินที่อยู่ใต้ร่มไม้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีสวนหย่อมเล็กๆในมุมหนึ่งของสนามซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกพืชพรรณสมุนไพรได้
ห้องโถงใหญ่หันหน้าไปที่ธรณีประตูโดยเป็นตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึง
มันทั้งสว่างและเป็นหวงจุ้ยที่เหมาะสม ถัดไปก็คือห้องนอนและห้องหนังสือส่วนแถบทางซ้ายเป็นห้องฝึกยุทธ์และห้องโอสถ
จี้เทียนซิงหันไปมองรอบๆด้วยสายตายินดี
เขารู้สึกพึงพอใจกับลานกว้างขนาดเล็กแห่งนี้มาก
หลังจากทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
เขาก็เข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน
ห้องนอนที่เขาอาศัยอยู่นั้น
ด้านหลังชั้นเก็บตำราเป็นประตูลับที่เชื่อมต่อไปยังห้องลับ โดยที่พื้นและผนังของห้องลับถูกจารึกไว้ด้วยเส้นสายอักขระและสัญลักษณ์ของข่ายอาคม
เห็นได้ชัดเจนว่าข่ายอาคมที่ช่วยเร่งความเร็วในการบ่มเพาะภายในห้องลับแห่งนี้
เหนือล้ำกว่าในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมากนัก
จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของข่ายอาคมในห้องลับแห่งนี้สูงกว่าที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นอย่างน้อยๆก็สามถึงห้าเท่า
หากได้ฝึกฝนในห้องลับแห่งนี้ผลที่ออกมาย่อมดีขึ้นมากและความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น
คืนนี้
จี้เทียนซิงจึงได้พักที่ตำหนักเทียนซิงด้วยความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต
เช้าวันรุ่งขึ้น
เขาทำตามคำแนะนำของฉู่เทียนเซิงและไปพบผู้อาวุโสนิกายชั้นใน
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย
แต่ทว่าฉู่เทียนเซิงที่เป็นอาจารย์นั้นก็ไม่ได้ว่างมาชี้แนะและสอนเขาได้ทุกวัน ส่วนใหญ่เขาก็ยังคงต้องทำตามคำแนะนำของเหล่าอาวุโสและผู้ดูแลเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ
แน่นอนศิษย์ฝ่ายในของนิกายนั้นมีอิสระที่มากกว่าพวกมันสามารถเลือกได้ว่าจะฟังการอบรมทฤษฎีหรือไม่ฟังก็ได้
โดยไม่ถูกรบกวนและไม่ถูกลงโทษ
ผู้อาวุโสนิกายฝ่ายในมีชื่อว่าเย่ฮง
เขาเป็นบุรุษร่างผอมสูงแก้มตอบ ใบหน้าดำคล้ำและมีลักษณะเป็นพวกหัวรุนแรง
จี้เทียนซิงไม่เคยติดต่อกับผู้อาวุโสเย่ฮงท่านนี้มาก่อน
แต่เมื่อวานเขาเคยพบหน้าอีกฝ่ายแล้ว
ในเวลานั้นอาวุโสเย่ฮงได้มอบของขวัญให้เขาและกล่าวถ้อยคำแสดงความยินดี
อีกทั้งพูดจาให้กำลังใจอยู่หลายคำ
จี้เทียนซิงได้พบกับเย่ฮงในห้องโถงใหญ่ของนิกายชั้นใน
ซึ่งปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นดูซึมกระทื่อ
เขาเพียงแค่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการให้ชายหนุ่มและมอบชุดของฝ่ายในรวมไปถึงเบี้ยหวัดรายเดือน
จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ในเวลาไม่นาน
ต่อมาผู้ดูแลศิษย์ฝ่ายในก็มารับช่วงต่อ
เขากระซิบกระซาบแนะนำจี้เทียนซิงให้ทราบถึงสถานการณ์ของฝ่ายใน รวมไปถึงหลักสูตรการเรียนรู้และการฝึกฝนตามปกติ
ลูกศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดมีประมาณร้อยคน
และทุกคนที่เป็นศิษย์ฝ่ายในต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขึ้นไป โดยทางนิกายจะไม่สนทักษะภายในหรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะเฉพาะตัว
เพียงดูจากพลังยุทธ์ขั้นสุดท้ายที่แผ่ออกมาเท่านั้น
ตามปกติแล้วศิษย์ฝ่ายในไม่จำเป็นต้องเข้าฟังการอบรมทุกวัน
ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะปิดด่านบ่มเพาะและฝึกฝนด้วยตัวเอง
มีเพียงบางครั้งที่เหล่าศิษย์จะมาปรึกษาผู้ดูแลและผู้อาวุโสเมื่อพวกมันประสบปัญหาในการบ่มเพาะหรือติดปัญหาคอขวด
หลังจากแนะนำเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับฝ่ายใน
เย่ฮงก็บอกต่อจี้เทียนซิงอีกเรื่องหนึ่ง
“จี้เทียนซิง เจ้าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากท่านประมุข
อีกทั้งยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเข้าสู่ฝ่ายในโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ
นี่นับเป็นเกียรติยศและโชควาสนาสำหรับเจ้า แต่มันก็จะเป็นภาระอันหนักอึ้งเช่นกัน”
“ข้าจะบอกเจ้าว่า
ประจวบเหมาะเหลือเกินที่เดือนหน้าจะเป็นการประกาศผลการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ของศิษย์ฝ่ายใน”
“ในช่วงเวลานี้ของปี ศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยคนของนิกายชั้นในจะแข่งขันและช่วงชิงอันดับดีๆบนรายชื่อขั้นสวรรค์”
“การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์มีความสำคัญมากต่อการกำหนดทรัพยากรของศิษย์ผู้นั้น
อาจเรียกได้ว่ามันเป็นตัวชี้วัดอนาคตในการฝึกยุทธ์ของศิษย์ผู้นั้นเลยก็ว่าได้.....”
หลังกล่าวถึงช่วงนี้
เย่ฮงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไป
ในฐานะผู้ดูแลฝ่ายใน
เขาทำได้เพียงตักเตือนจี้เทียนซิงด้วยเจตนาที่ดีและบอกให้ทำดีที่สุด
จี้เทียนซิงพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวขอบคุณเย่ฮง
หลังจากนั้นเขาก็อำลาอีกฝ่ายและกลับไปที่ตำหนักเทียนซิง
เขาเพิ่งกลับมาถึงห้องได้ไม่ทันไรก็มีสาวใช้นางหนึ่งยืนอยู่นอกประตูและรายงานเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ศิษย์พี่จี้เจ้าคะ
มีศิษย์พี่ผู้แซ่ไป๋ท่านหนึ่งมาขอพบท่าน เขากำลังรออยู่ที่หน้าประตูเจ้าค่ะ”
จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ศิษย์พี่, ที่แซ่ไป๋มาพบข้า ?..... หรือว่าจะเป็นไป๋หวู่เชิน ?”
เขาออกจากห้องและเดินไปที่ประตูทางเข้าทันที
จากนั้นก็ได้เห็นไป๋หวู่เชินที่กำลังยืนหันหลังให้อยู่ด้วยท่าทางเย็นชา
“ศิษย์พี่ไป๋มาเยี่ยมเยียน ไม่ทราบมีกิจธุระอันใด
?”
จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยชาและถามอย่างเงียบงัน
ไป๋หวู่เชินผินกายกลับมา
ดวงตาจับจ้องอีกฝ่าย มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางกล่าวแดกดันว่า
“เหอะๆ ศิษย์น้องจี้
ท่วงท่าโอ่อ่าอาจหาญของเจ้าเมื่อหลายวันก่อนช่างน่าดูชมยิ่งนัก ยอดเยี่ยมจริงๆ !”
เมื่อได้ยินประโยคนี้
จี้เทียนซิงก็มุ่นหัวคิ้วและรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาดีสักเท่าไหร่
เขากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ศิษย์พี่ไป๋ คำพูดท่านหมายความว่าอะไร ?”
ไป๋หวู่เชินยิ้มอย่างเย่อหยิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ข้าลดตัวมาหาเจ้าวันนี้ก็เพื่ออยากเตือนด้วยความหวังดี”
“จี้เทียนซิง เจ้าอย่าได้อวดดีเกินไปนัก ! นิกายฝ่ายในมิใช่ฝ่ายนอก
พวกเราศิษย์ฝ่ายในไม่มีผู้ใดอ่อนแอแม้แต่คนเดียว !
ด้วยขอบเขตพลังยุทธ์ของเจ้าตอนนี้
หากจะให้พูดตรงๆก็คือต่ำสุดของฝ่ายใน”
“ถึงแม้เจ้าจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับนิกายอย่างมากมายจนได้รับเลือกเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข
แต่มันก็เป็นเพราะโชคเข้าข้างเจ้าที่ท่านประมุขเป็นผู้มีจิตใจดีงามต่างหาก”
“อย่าได้ลืมกำพืดตัวเอง
เจ้ามันเป็นแค่คุณชายในตระกูลพ่อค้าจากเมืองเล็กๆเท่านั้น
อย่าหลงคิดไปว่าได้เป็นศิษย์สายตรงท่านประมุขแล้วจะอาจหาญมาเปรียบเทียบกับศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในได้
!”
“จำใส่สมองไว้ให้ดี
หนังหน้าเจ้าตอนนี้ยังไม่คู่ควร !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved