ตอนที่ 233

หนังหน้าเจ้าตอนนี้ยังไม่คู่ควร

!

จี้เทียนซิงเข้านิกายมากว่าสามเดือนแล้ว

มันคุ้นชินกับกฏเกณฑ์ต่างๆของนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นอย่างดี

มันรู้ว่าศิษย์ฝ่ายในนั้น

โดยทั่วไปก็มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเหล่าศิษย์ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

หนึ่งห้องต่อหนึ่งคนและมีห้องลับไว้บ่มเพาะ

มีเพียงศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในเท่านั้นที่จะได้รับตำหนักหนึ่งหลังเป็นรางวัล

โดยทั่วไปแล้วตำหนักจะตั้งชื่อตามศิษย์ผู้นั้นหรือแล้วแต่เจ้าของตำหนักจะเลือก

ตำหนักในอาณาเขตของศิษย์หัวกะทินั้นไม่เพียงแค่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วนสมบูรณ์กว่า

แต่ยังมีสาวใช้และศิษย์รับใช้อีกด้วย

ดังนั้น

จี้เทียนซิงที่เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายจึงได้รับการดูแลเช่นเดียวกับไป๋หวู่เชิน

ฮ่าวเมิ่งและหัวกะทิอีกสองคน

แน่นอนว่าระดับผู้อาวุโสและผู้ดูแลทั้งหลายล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน

เว้นแต่เพียงหัวหน้าศิษย์หยุนเหยาที่มีความเป็นอยู่และสถานะสูงที่สุด

แทนที่นางจะได้อาศัยอยู่ในตำหนักของเขตชั้นใน

แต่นางกลับอยู่บนยอดเขาเมฆาสีชาดที่มีตำหนักส่วนตัวนามว่าวังเมฆขาว

ความเป็นอยู่ของนางจึงเทียบเท่ากับผู้อาวุโสหลักทั้งเก้าของนิกายเลยทีเดียว

..........

หลังจากเสร็จธุระและอำลาฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิงก็ลงจากยอดเขาเมฆาสีชาดและมุ่งหน้าไปที่อาณาเขตของฝ่ายใน

มันคือยอดเขาลูกหนึ่งที่ชื่อว่ายอดเขาฉิงเทียน

พื้นที่ส่วนนี้มีตำหนักนับสิบหลังกระจุกกันอยู่และมีลานกว้างหลายสิบแห่ง

เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ของส่วนใน

ผู้อาวุโส ผู้ดูแลและคนสำคัญของนิกายต่างก็อาศัยอยู่ในบริเวณเชิงเขานี้

อาณาเขตบริเวณนี้กว้างใหญ่มาก

จี้เทียนซิงต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามกว่าจะหาตำหนักเทียนซิงของตนเองพบ

ลานกว้างที่ล้อมรอบตำหนักหลังเล็กแห่งนี้ตั้งอยู่ถัดจากหน้าผาเชิงเขา

รอบบริเวณรายล้อมไปด้วยต้นไม้และมีบรรยากาศที่เงียบสงบสวยงามเป็นอย่างมาก

ลานกว้างนี้มีขนาดเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีพื้นที่ห้าสิบเมตร

ตำหนักแห่งนี้มีห้องหับรวมๆกันอยู่นับสิบห้อง

อย่างไรก็ตาม

ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ดูร่มรื่นและสง่างาม

เหนือธรณีประตูด้านนอกมีป้ายแผ่นไม้โบราณที่สลักไว้ด้วยคำว่า “ตำหนักเทียนเซิง”

ภายในนั้นมีศิษย์รับใช้สองคนและสาวใช้หนึ่งคน

พวกมันกำลังทำความสะอาดสวนและห้องหับต่างๆอย่างขะมักเขม้นเพื่อรอคอยเจ้าของคนใหม่อย่างจี้เทียนซิง

เมื่อเขาเดินเข้ามา

พวกมันก็ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมและเรียกขานชื่ออีกฝ่ายว่าศิษย์พี่เทียนซิง

ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มแผ่วบางและพยักหน้าทักทาย เขาเหลียวมองกลับมาที่สนามหญ้าและได้เห็นต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ที่ปลูกไว้

อีกทั้งยังมีเก้าอี้หินและโต๊ะหินที่อยู่ใต้ร่มไม้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีสวนหย่อมเล็กๆในมุมหนึ่งของสนามซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกพืชพรรณสมุนไพรได้

ห้องโถงใหญ่หันหน้าไปที่ธรณีประตูโดยเป็นตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึง

มันทั้งสว่างและเป็นหวงจุ้ยที่เหมาะสม  ถัดไปก็คือห้องนอนและห้องหนังสือส่วนแถบทางซ้ายเป็นห้องฝึกยุทธ์และห้องโอสถ

จี้เทียนซิงหันไปมองรอบๆด้วยสายตายินดี

เขารู้สึกพึงพอใจกับลานกว้างขนาดเล็กแห่งนี้มาก

หลังจากทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม

เขาก็เข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน

ห้องนอนที่เขาอาศัยอยู่นั้น

ด้านหลังชั้นเก็บตำราเป็นประตูลับที่เชื่อมต่อไปยังห้องลับ โดยที่พื้นและผนังของห้องลับถูกจารึกไว้ด้วยเส้นสายอักขระและสัญลักษณ์ของข่ายอาคม

เห็นได้ชัดเจนว่าข่ายอาคมที่ช่วยเร่งความเร็วในการบ่มเพาะภายในห้องลับแห่งนี้

เหนือล้ำกว่าในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมากนัก

จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของข่ายอาคมในห้องลับแห่งนี้สูงกว่าที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นอย่างน้อยๆก็สามถึงห้าเท่า

หากได้ฝึกฝนในห้องลับแห่งนี้ผลที่ออกมาย่อมดีขึ้นมากและความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น

คืนนี้

จี้เทียนซิงจึงได้พักที่ตำหนักเทียนซิงด้วยความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต

เช้าวันรุ่งขึ้น

เขาทำตามคำแนะนำของฉู่เทียนเซิงและไปพบผู้อาวุโสนิกายชั้นใน

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย

แต่ทว่าฉู่เทียนเซิงที่เป็นอาจารย์นั้นก็ไม่ได้ว่างมาชี้แนะและสอนเขาได้ทุกวัน ส่วนใหญ่เขาก็ยังคงต้องทำตามคำแนะนำของเหล่าอาวุโสและผู้ดูแลเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ

แน่นอนศิษย์ฝ่ายในของนิกายนั้นมีอิสระที่มากกว่าพวกมันสามารถเลือกได้ว่าจะฟังการอบรมทฤษฎีหรือไม่ฟังก็ได้

โดยไม่ถูกรบกวนและไม่ถูกลงโทษ

ผู้อาวุโสนิกายฝ่ายในมีชื่อว่าเย่ฮง

เขาเป็นบุรุษร่างผอมสูงแก้มตอบ ใบหน้าดำคล้ำและมีลักษณะเป็นพวกหัวรุนแรง

จี้เทียนซิงไม่เคยติดต่อกับผู้อาวุโสเย่ฮงท่านนี้มาก่อน

แต่เมื่อวานเขาเคยพบหน้าอีกฝ่ายแล้ว

ในเวลานั้นอาวุโสเย่ฮงได้มอบของขวัญให้เขาและกล่าวถ้อยคำแสดงความยินดี

อีกทั้งพูดจาให้กำลังใจอยู่หลายคำ

จี้เทียนซิงได้พบกับเย่ฮงในห้องโถงใหญ่ของนิกายชั้นใน

ซึ่งปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นดูซึมกระทื่อ

เขาเพียงแค่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการให้ชายหนุ่มและมอบชุดของฝ่ายในรวมไปถึงเบี้ยหวัดรายเดือน

จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ในเวลาไม่นาน

ต่อมาผู้ดูแลศิษย์ฝ่ายในก็มารับช่วงต่อ

เขากระซิบกระซาบแนะนำจี้เทียนซิงให้ทราบถึงสถานการณ์ของฝ่ายใน รวมไปถึงหลักสูตรการเรียนรู้และการฝึกฝนตามปกติ

ลูกศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดมีประมาณร้อยคน

และทุกคนที่เป็นศิษย์ฝ่ายในต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขึ้นไป โดยทางนิกายจะไม่สนทักษะภายในหรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะเฉพาะตัว

เพียงดูจากพลังยุทธ์ขั้นสุดท้ายที่แผ่ออกมาเท่านั้น

ตามปกติแล้วศิษย์ฝ่ายในไม่จำเป็นต้องเข้าฟังการอบรมทุกวัน

ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะปิดด่านบ่มเพาะและฝึกฝนด้วยตัวเอง

มีเพียงบางครั้งที่เหล่าศิษย์จะมาปรึกษาผู้ดูแลและผู้อาวุโสเมื่อพวกมันประสบปัญหาในการบ่มเพาะหรือติดปัญหาคอขวด

หลังจากแนะนำเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับฝ่ายใน

เย่ฮงก็บอกต่อจี้เทียนซิงอีกเรื่องหนึ่ง

“จี้เทียนซิง เจ้าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากท่านประมุข

อีกทั้งยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเข้าสู่ฝ่ายในโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ

นี่นับเป็นเกียรติยศและโชควาสนาสำหรับเจ้า แต่มันก็จะเป็นภาระอันหนักอึ้งเช่นกัน”

“ข้าจะบอกเจ้าว่า

ประจวบเหมาะเหลือเกินที่เดือนหน้าจะเป็นการประกาศผลการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ของศิษย์ฝ่ายใน”

“ในช่วงเวลานี้ของปี ศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยคนของนิกายชั้นในจะแข่งขันและช่วงชิงอันดับดีๆบนรายชื่อขั้นสวรรค์”

“การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์มีความสำคัญมากต่อการกำหนดทรัพยากรของศิษย์ผู้นั้น

อาจเรียกได้ว่ามันเป็นตัวชี้วัดอนาคตในการฝึกยุทธ์ของศิษย์ผู้นั้นเลยก็ว่าได้.....”

หลังกล่าวถึงช่วงนี้

เย่ฮงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไป

ในฐานะผู้ดูแลฝ่ายใน

เขาทำได้เพียงตักเตือนจี้เทียนซิงด้วยเจตนาที่ดีและบอกให้ทำดีที่สุด

จี้เทียนซิงพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวขอบคุณเย่ฮง

หลังจากนั้นเขาก็อำลาอีกฝ่ายและกลับไปที่ตำหนักเทียนซิง

เขาเพิ่งกลับมาถึงห้องได้ไม่ทันไรก็มีสาวใช้นางหนึ่งยืนอยู่นอกประตูและรายงานเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ศิษย์พี่จี้เจ้าคะ

มีศิษย์พี่ผู้แซ่ไป๋ท่านหนึ่งมาขอพบท่าน เขากำลังรออยู่ที่หน้าประตูเจ้าค่ะ”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ศิษย์พี่, ที่แซ่ไป๋มาพบข้า ?..... หรือว่าจะเป็นไป๋หวู่เชิน ?”

เขาออกจากห้องและเดินไปที่ประตูทางเข้าทันที

จากนั้นก็ได้เห็นไป๋หวู่เชินที่กำลังยืนหันหลังให้อยู่ด้วยท่าทางเย็นชา

“ศิษย์พี่ไป๋มาเยี่ยมเยียน ไม่ทราบมีกิจธุระอันใด

?”

จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยชาและถามอย่างเงียบงัน

ไป๋หวู่เชินผินกายกลับมา

ดวงตาจับจ้องอีกฝ่าย มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางกล่าวแดกดันว่า

“เหอะๆ ศิษย์น้องจี้

ท่วงท่าโอ่อ่าอาจหาญของเจ้าเมื่อหลายวันก่อนช่างน่าดูชมยิ่งนัก ยอดเยี่ยมจริงๆ !”

เมื่อได้ยินประโยคนี้

จี้เทียนซิงก็มุ่นหัวคิ้วและรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาดีสักเท่าไหร่

เขากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ศิษย์พี่ไป๋ คำพูดท่านหมายความว่าอะไร ?”

ไป๋หวู่เชินยิ้มอย่างเย่อหยิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ข้าลดตัวมาหาเจ้าวันนี้ก็เพื่ออยากเตือนด้วยความหวังดี”

“จี้เทียนซิง เจ้าอย่าได้อวดดีเกินไปนัก ! นิกายฝ่ายในมิใช่ฝ่ายนอก

พวกเราศิษย์ฝ่ายในไม่มีผู้ใดอ่อนแอแม้แต่คนเดียว !

ด้วยขอบเขตพลังยุทธ์ของเจ้าตอนนี้

หากจะให้พูดตรงๆก็คือต่ำสุดของฝ่ายใน”

“ถึงแม้เจ้าจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับนิกายอย่างมากมายจนได้รับเลือกเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

แต่มันก็เป็นเพราะโชคเข้าข้างเจ้าที่ท่านประมุขเป็นผู้มีจิตใจดีงามต่างหาก”

“อย่าได้ลืมกำพืดตัวเอง

เจ้ามันเป็นแค่คุณชายในตระกูลพ่อค้าจากเมืองเล็กๆเท่านั้น

อย่าหลงคิดไปว่าได้เป็นศิษย์สายตรงท่านประมุขแล้วจะอาจหาญมาเปรียบเทียบกับศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในได้

!”

“จำใส่สมองไว้ให้ดี

หนังหน้าเจ้าตอนนี้ยังไม่คู่ควร !”