ตอนที่ 299

กระบี่มังกรเพลิง

เสียงของจี้เทียนซิงไม่ดังมาก

แต่มันแพร่กระจายอย่างชัดแจ้งไปทั่วทั้งจัตุรัส

ในช่วงเวลานั้นเสียงกระซิบและการโต้เถียงรอบๆกลุ่มคนดูพลันชะงักค้างลงอย่างกะทันหัน

ศิษย์สาวกนิกายหลายร้อยคนต่างก็เหลียวหน้ามองดูจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว  เผยให้เห็นอาการตกใจ

ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบไปวูบหนึ่ง

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น

“ทะ...ท้าทายอันดับที่สาม ?”

“จี้เทียนซิงเพิ่งเอาชนะไป๋หวู่เชินและได้ครองอันดับที่สี่

แต่มันกลับไม่พอใจจนประกาศท้าทายอันดับที่สามเลยงั้นหรือ ?  อันดับที่สามคือศิษย์พี่อาวุโสถังอี้ลั่วเชียวนะ

!”

“เมื่อครู่นี้มันพล่ามอะไร ? ไม่ต้องการเสียเวลา ? หมายความว่ามันรีบจัดเลยงั้นสิ

?”

“สวรรค์ ! การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกายเราเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์

มันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง ยังมีเรื่องอะไรที่สำคัญกับเขามากกว่าเรื่องนี้หรือ ?”

“ผู้ชายคนนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว ! ดูสีหน้าเฉื่อยชาของมันให้ดีสิ

เห็นชัดๆว่ามันมิได้ใส่ใจต่อการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์แม้แต่น้อย !”

“ฮ่าๆๆ …วิเศษ มีละครชั้นเยี่ยมให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาอีกแล้ว

!

เดาว่าศิษย์พี่ถังก็คงคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงจะท้าทายเขาทันทีใช่หรือไม่ ?”

ศิษย์สาวกของนิกายฝ่ายในหลายร้อยคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดวงตาของพวกเขาประกายไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สีหน้าของถังอี้ลั่วมืดมนลงในทันที

คนขมวดคิ้วไปที่จี้เทียนซิงบนลานประลอง  ดวงตาทอประกายขุ่นเคืองและเกลียดชัง

“ไอ้บัดซบเอ๊ย ! มันต้องอาฆาตพยาบาทข้ามาก่อนแล้วแน่นอน

ไม่งั้นจู่ๆมันจะรีบประกาศท้าทายอันดับของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร !”

ใบหน้าของเฉินซู่ก็มิได้เป็นธรรมชาติมากนัก เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ก่อนหน้าที่มันจะประลองกับไป๋หวู่เชิน

พวกเราเพียงเมตตาพูดจาหวังดีกับมันไม่กี่คำ ข้าก็ไม่คิดว่าจะใจแคบเยี่ยงนี้”

“ศิษย์น้องถัง

จะอย่างไรเสียมันก็ย่อมท้าทายอันดับของเจ้าไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี  เจ้าสมควรรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสีย"

"ไป ! แสดงเคล็ดวิชาอันร้ายกาจของเจ้าออกมา

ให้เจ้าเด็กเมื่อวานซืนได้รับรู้ถึงความพิเศษของอันดับสามในรายชื่อขั้นสวรรค์ !”

เฉินซู่กล่าวให้กำลังใจอย่างแผ่วเบาฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ

แต่สีหน้าท่าทางของถังอี้ลั่วนั้นมิได้ดูดีนัก

อารมณ์ของเขาค่อนข้างหนักอึ้งและกลัดกลุ้ม

ดวงตาของมันจ้องมองไปที่เฉินซู่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“หึ ศิษย์พี่เฉิน อย่าได้ด่วนดีใจไป

ท่านสมควรภาวนาให้ข้าเป็นผู้ชนะจะดีกว่า มิฉะนั้น หากข้าแพ้ขึ้นมา ต่อไปก็ถึงตาท่านแล้ว

!”

เฉินซู่ถูกถังอี้ลั่วพูดแทงใจดำแต่เขาก็มิได้อับอาย

เพียงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ศิษย์น้องถัง ระวังด้วย”

“เฮอะ”

ถังอี้ลั่วแค่นเสียงเย็นและเลิกสนใจอีกฝ่าย

จากนั้นก็เดินไปที่กลางจัตุรัสอย่างช้าๆ

ถึงแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าจี้เทียนซิง

แต่หลังจากได้เห็นอีกฝ่ายลงมือก็รู้สึกกริ่นเกรงอยู่หลายส่วน  เขากลัวว่าตนเองจะมีสภาพเหมือนไป๋หวู่เชิน

ดำเป็นเถ้าถ่านโดยที่ยังไม่มีโอกาสแสดงวิชาลับเพื่อต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี

อย่างไรก็ตามเขาเป็นหัวกะทิในบรรดาศิษย์ทั้งหมดและเป็นถึงยอดฝีมืออันดับสามในรายชื่อขั้นสวรรค์

ซึ่งเป็นที่เทิดทูนบูชาในสายตาของศิษย์นับไม่ถ้วน ในช่วงเวลาสำคัญที่อยู่ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้

เขาจะกล้าเปิดเผยความหวาดกลัวออกมาได้อย่างไร ?

อัจฉริยะย่อมต้องแสดงออกถึงความมั่นใจและหยิ่งทนงของผู้เป็นอัจฉริยะ

มิฉะนั้นแล้วจะต่างอะไรกับสามัญชน ?

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของผู้คนนับไม่ถ้วน

ถังอี้ลั่วก้าวลงจากตำแหน่ง

ใบหน้าของเขาสงบเยือกและเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ดวงตาจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเฉื่อยชาไร้อารมณ์พลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องจี้

เจ้าเพิ่งประลองกับศิษย์น้องไป๋มาหมาดๆสมควรกลับไปพักผ่อนบ้าง

เหตุใดถึงได้ด่วนท้าทายกันนักเล่า ?”

“หากเจ้าดึงดันเช่นนี้ ต่อให้ข้าชนะเจ้าได้ก็คงไม่รู้สึกว่าชนะอย่างแท้จริง”

กล่าวถึงตอนนี้ถังอี้ลั่วก็เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา

ดูราวกับว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยจี้เทียนซิงจริงๆ

เมื่อเขาเห็นจี้เทียนซิงเงียบไปจึงกล่าวต่อไปว่า

“การต่อสู้ของเจ้ากับศิษย์น้องไป๋นั้นดุร้ายรุนแรงเนื่องจากเป็นความบาดหมางส่วนตัว

ต่อให้พิกลพิการไป ทุกคนย่อมเข้าใจดีและเป็นเรื่องสมเหตุสมผล "

“แต่ตอนนี้พวกเรากลับสู่การประลองจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์

พวกเราคือศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มิได้มีความแค้นต่อกัน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก

ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องประหัตถ์ประหารกันบนเวทีเดียวกัน

ทั้งหมดก็เพื่อการแข่งขันจัดอันดับ พวกเราไม่สมควรหนักมือทำร้ายกัน    ศิษย์น้องจี้  ที่ข้าพูดมาทั้งหมดเจ้าว่าถูกต้องหรือไม่ ?”

จี้เทียนซิงเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายกล่าววาจายืดยาวราวกับกำลังพูดเรื่องที่ชอบธรรม

เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามอย่างเคร่งขรึมว่า

“ที่พูดมาทั้งหมด

ความหมายของเจ้าคือ ?”

ถังอี้ลั่วยิ้มแผ่วเบาและกล่าวว่า

“เพื่อมิให้เสียบรรยากาศ พวกเราสมควรเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ไม่จำเป็นต้องหักหาญกันให้เสียน้ำใจหรือเอากันถึงชีวิต....”

ดวงตาของจี้เทียนซิงเปล่งประกาย

คนเผยรอยยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ใช้หัตถ์เปลวอัคคีกับเจ้า อย่าได้กลัวไปนัก”

ถึงแม้ว่าคำพูดของเขาจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

แต่มันก็ทำให้ถังอี้ลั่วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายออกปากว่าจะไม่ใช้ฝ่ามือเพลิงที่น่ากลัวนั่น

เท่ากับว่าถังอี้ลั่วบรรลุจุดประสงค์ในวาจายืดยาวเพิ่งกล่าวออกไปเรียบร้อยแล้ว  ในใจของเขาลอบแสยะยิ้มและเย้ยหยัน

“จิ๊ๆๆ จี้เทียนซิงเอ๋ยจี้เทียนซิง  ด้วยระดับพลังปราณของเจ้า

หากมิใช่เพราะเคล็ดวิชาลับนั่น เจ้าจะเอาชนะไป๋หวู่เชินได้อย่างไร”

“ในเมื่อเจ้าอวดดีจนลืมตัว

รับปากข้าต่อหน้าผู้คนว่าจะไม่ใช้มัน เช่นนั้นข้าก็ยินดีสนอง !”

ในเวลาเดียวกันเย่หงก็ประกาศเสียงดังว่า

“การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

!”

“การต่อสู้รอบแรก รายชื่อขั้นสวรรค์อันดับที่สี่ จี้เทียนซิง

ท้าทายอันดับที่สามถังอี้ลั่ว !”

เมื่อเสียงของเขาลดลง

การจัดอันดับก็เริ่มต้นขึ้น

ประกายแสงสีทองกระพริบขึ้นในมือของถังอี้ลั่ว

ปรากฏกระบี่สีทองเล่มหนึ่งขึ้นมา

“ศิษย์น้องจี้ รับกระบวนท่านี้ดู !”

ถังอี้ลั่วคำรามเสียงเย็น

คนพุ่งเป็นริ้วลำแสงสีทองเข้าหาจี้เทียนซิงในพริบตา

“หนึ่งกระบี่ภูผาวายุ !!”

ในขณะนั้นถังอี้ลั่วพลันปะทุพลังเต็มสิบส่วนและใช้ออกด้วยเพลงกระบี่ขั้นสุดยอดของตนเองออกมา

เขารู้ว่าพลังของจี้เทียนซิงมิอาจประเมินได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วไป

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเก็บออมพลังและใช้ออกด้วยเพลงกระบี่ที่รุนแรงที่สุดด้วยพลังทั้งหมด

ร่างของเขาราวกับหลวมรวมเข้ากับกระบี่ในมือ

กลายเป็นคลื่นลำแสงกระบี่ขนาดใหญ่กว่าห้าเมตรที่กระแทกเข้าหาจี้เทียนซิงอย่างดุดัน

“ซัวะ !”

คลื่นกระบี่ที่กว้างใหญ่นี้เปรียบเสมือนวายุสังหารจากเก้าสวรรค์ที่แผ่พัดลงมาสะกดขุนเขา

พลังของมันรุนแรงเกรี้ยวกราดอย่างสุดขั้ว

ในช่วงเวลานั้นเอง

ลานประลองร้อยเมตรก็ส่องสว่างไปด้วยแสงสีทองและมวลอากาศเต็มไปด้วยเจตน์กระบี่อันดุร้าย

จี้เทียนซิงถูกปิดกั้นไว้ด้วยคลื่นกระบี่ขนาดใหญ่จนแทบหายใจไม่ออก

เขารู้สึกอึดอัดจากแรงกดทับที่หนักหน่วงนี้และตกอยู่ในอันตราย

ศิษย์สาวกหลายร้อยคนในจัตุรัสเต็มไปด้วยเสียงอุทานตกใจ

บางคนถอนหายอย่างชื่นชมต่อเพลงกระบี่อันน่าทึ่งของถังอี้ลั่ว

ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า

หากจี้เทียนซิงไม่ใช้หัตถ์เปลวอัคคี เขาจะต้านทานเพลงกระบี่นี้ได้อย่างไร ?

ทว่า

จี้เทียนซิงยังไม่หลบเลี่ยงและยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง

เมื่อคลื่นกระบี่ล้างปฐพีใกล้จะตกกระทบ

ฝักกระบี่สีดำเล่มหนึ่งพลันปรากฏวูบขึ้นในมือของเขา

“เช้ง !”

ในที่สุดชายหนุ่มก็ใช้กระบี่

และเมื่อกระบี่ที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในฝักสีดำได้ถูกชักออกมา  เสียงแหลมแสบแก้วหูพลันกระทบโสตในทันที

“ฮู่ม !!

เสียงคำรามของมังกรตัวหนึ่งปะทุขึ้นไปทั่วสี่ทิศแปดทางและแผ่กระจายไปทั่วจัตุรัสและขุนเขา  ผู้ชมทั้งหลายต่างก็ตัวสั่นเทาไปด้วยความตกตะลึง

กระบี่มังกรดำเปลี่ยนเป็นกระบี่ยักษ์สีแดงก่ำขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง

มันดูราวกับมังกรเพลิงสีแดงสถิตย์อยู่ที่ตัวกระบี่ มันนำมาซึ่งพลังในการทำลายล้างปฐพีที่เหวี่ยงฟาดเข้าใส่ถังอี้ลั่วในฉับพลัน

มังกรเพลิงสีแดงชาดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันและเขี้ยวโห่ร้องกู่ก้องเหนือนภา

มันดูเหมือนจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งในโลกให้เป็นจุล  !

“ครืน.........  !!”

กระบี่ทั้งสองกระทบกันอย่างดุร้ายบนอากาศระเบิดเป็นเสียงดังกัมปนาทอย่างรุนแรง

หนึ่งคือกระบี่ภูผาวายุที่สามารถเบิกผ่าขุนเขา

อีกหนึ่งคือกระบี่มังกรเพลิงที่โอบล้อมไปด้วยเปลวไฟอันร้อนระอุ

ทั้งสองล้วนเป็นกระบี่ชั้นยอดที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ถังอี้ลั่วและจี้เทียนซิงต่างก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถสูงสุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์

การปะทะกันของสองมือกระบี่ช็อคโลกนี้

คือการเผชิญหน้ากันของสองอัจฉริยะในศาสตร์กระบี่อีกด้วย !