ตอนที่ 8

ตอนที่

8 สถานการณ์ของสกุลจี้

ในห้องโถงของหอวิญญาณโอสถ, ปรมาจารย์เสวี่ยกำลังสนทนาด้วยเสียงหัวเราะกับหลิงหยุนเฟย

ในขณะนี้เอง

ยามชุดดำทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาในห้องโถงและร่ำร้องอย่างตื่นตระหนก

“เรียนท่านผู้เฒ่าเสวี่ย

เกิดเรื่องใหญ่ไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ จี้เทียนซิงสังหารคุณชายสามกู่เฮาในที่สาธารณะ !”

“เรียนท่านปรมาจารย์เสวี่ย

เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน หน้าหอวิญญาณโอสถ

คุณชายกู่เฮาถูกสังหารโดยน้ำมือจี้เทียนซิงขอรับ !”

ทันทีที่ได้ยินข่าว เสียงหัวเราะของปรมาจารย์เสวี่ยและหลิงหยุนเฟยต่างก็ชะงักค้างในทันที

สีหน้าของทั้งสองแปรเปลี่ยนไปในพริบตา

ปรมาจารย์เสวี่ยขมวดคิ้วและตะโกนออกมาว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ? จี้เทียนซิงกล้าสังหารผู้คนต่อหน้าหอวิญญาณโอสถของข้า

?”

“มันเกินเหตุไปหรือไม่

เพียงแค่ถูกข้าปฏิเสธไม่รับแขก มันกลับสังหารผู้คนกลางวันแสกๆเพื่อระบายความอับอาย

?”

ใบหน้าของปรมาจารย์เสวี่ยดูมืดมนเล็กน้อย

แววตาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ เขากำลังขบคิดถึงผลกระทบและปัญหาที่กำลังจะตามมาจากเหตุการณ์นี้

หลิงหยุนเฟยก็ส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆเช่นกัน

บนหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ  “จี้เทียนซิงสังหารกู่เฮางั้นหรือ ?”

“เป็นไปได้อย่างไร

? เขากลายเป็นขยะไร้ค่าในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่สาม

เขาจะเอาอะไรไปชนะกู่เฮาที่มีความสามารถในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ห้า ?”

ดวงตาคู่งามของหลิงหยุนเฟยเริ่มเย็นชาลง

นางคิดในใจว่า “ไม่ดีแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องประหลาดอันใดขึ้นกับขยะอย่างจี้เทียนซิง

ข้าต้องรีบไปพบองค์ชายน้อยเพื่อหาทางกำจัดจี้เทียนซิงโดยเร็วที่สุด !”

ดังนั้นหลังจากหลิงหยุนเฟยสนทนากับปรมาจารย์เสวี่ยอีกเล็กน้อย

นางก็หาข้ออ้างปลีกตัวจากไป

หลังจากที่นางจากไปแล้วปรมาจารย์เสวี่ยก็สั่งยามชุดดำทั้งสองคนว่า

“พวกเจ้าสองคนไปเก็บร่างของกู่เฮามา

แล้วส่งคนไปรายงานเรื่องนี้ต่อตระกูลกู่ มีเจ้าหนี้ย่อมมีลูกหนี้  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหอวิญญาณโอสถของข้า

คนของตระกูลกู่ย่อมไปทวงหนี้กับตระกูลจี้เอง”

ยามชุดดำสองคนโค้งคำนับและเดินออกจากห้องโถงไป

......

รถม้าของจี้เทียนซิงเดินทางกลับมาถึงบ้านสกุลจี้

ทันทีที่จี้เทียนซิงและฮวนเอ๋อลงจากรถม้าก็มีคนรับใช้ของสกุลจี้วิ่งเข้ามารายงานว่า

หัวหน้าตระกูลกำลังรออยู่ในห้องหนังสือ

“ท่านพ่อทราบข่าวที่ข้าสังหารกู่เฮาไปแล้ว

? รวดเร็วเช่นนี้ ?”

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“มิน่าใช่.. น่าจะเป็นเรื่องอื่น”

ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกให้ฮวนเอ๋อกลับห้องไปก่อน

ส่วนตนเองก็เดินไปที่ห้องหนังสือของบ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง

โขลก

โขลก.... !

ที่ทางเข้าห้องหนังสือ จี้เทียนซิงยังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงไอรุนแรง

เขาก้าวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วและได้เห็นจี้ชางคงอยู่เพียงลำพังในห้อง

จี้ชางคงนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายหลังชั้นหนังสือ ใบหน้าของเขาเป็นสีเหลืองและไร้ความสดชื่น

นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นผมขาวหลายเส้นที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนได้อย่างชัดเจน

จี้ชางคงยกมือปิดปากพยายามระงับอาการไอและหายใจถี่ขึ้น

จี้เทียนซิงจ้องไปที่มือของบิดาและได้เห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงเข้มบนนั้น

ในเวลานี้จี้ชางคงเห็นบุตรชายเดินเข้ามาก็ขยำผ้าเช็ดหน้าซุกไว้ในแขนเสื้อของเขา

จี้ชางคงพยายามเค้นรอยยิ้มและถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า

“เจ้ามาแล้วหรือเทียนซิง ร่างกายของเจ้าดีขึ้นหรือยัง ?”

เมื่อได้เห็นอาการของบิดา จี้เทียนซิงก็รู้สึกเศร้าสลดและเป็นกังวลเล็กน้อย

“ท่านพ่อ ร่างกายของข้าไม่มีปัญหาใดๆอีกแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล”

“แล้วอาการของท่าน...

ท่านได้พบหมอบ้างหรือยัง ?”

จี้ชางคงโบกมือไปมาและกล่าวว่า “เทียนซิง

ลูกไม่ต้องห่วงพ่อ เพียงแค่แผลเก่ากำเริบ หมอดูแล้วไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง”

จี้เทียนซิงเงียบลง

แต่หมัดสองข้างกำแน่นและอารมณ์หนักหน่วงขึ้น

เขารู้เรื่องนี้ดี นับตั้งแต่ที่บิดาได้ประลองกับมือกระบี่ผู้หนึ่งเมื่อสิบปีก่อน

เขาได้รับบอบช้ำภายในที่ฝังลึก

หลังจากที่ได้เชิญหมอเทวดา

หมอลงความเห็นว่าอาการบอบช้ำเช่นนี้มิอาจรักษาให้หายขาดได้และทำได้เพียงเยียวยาไปตามอาการเป็นประจำวันเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นจี้ชางคงก็ไม่อาจใช้พลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงได้อีกต่อไป

มิฉะนั้นเขาจะมีอายุขัยไม่เกิน 50 ปี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อาการบอบช้ำของจี้ชางคงกำเริบซ้ำหลายครั้งและได้รับความเจ็บปวดทุกครั้งไป

ในขณะนี้เอง

จี้ชางคงก็เอ่ยคำพูดขัดจังหวะความคิดของจี้เทียนซิงและมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “เทียนซิง

ก่อนนี้ลูกหมดสติไปหลายวันพ่อจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า

พ่อได้ให้คนไปสืบเรื่องนี้

ก่อนเกิดเหตุเจ้าไปที่ภูเขาศาลาสวรรค์กับหลิงหยุนเฟยเพียงลำพัง

จากนั้นเจ้าก็สลบไปและถูกส่งตัวกลับตระกูลตอนกลางคืน สำหรับเรื่องนี้

พ่อรู้สึกว่ามันไม่ปกติ เจ้าเพียงไปเที่ยวกับหลิงหยุนเฟย

ไฉนพลังของเจ้าถึงตกลงไปที่ปรับแต่งกายาขั้นที่สามในคืนเดียว ?”

“เจ้าบอกพ่อมาตามตรงว่านี่เป็นแผนการของหลิงหยุนเฟยใช่หรือไม่

? ตระกูลหลิงทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ ?”

เมื่อพูดจบใบหน้าของจี้ชางคงก็มืดครึ้มและเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง

จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาทั่วห้อง

เห็นได้ชัดว่าจี้ชางคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ปกติอย่างมาก

ยิ่งอาการที่บุตรชายตนเองแสดงต่อหลิงหยุนเฟยในการขอยกเลิกการหมั้นหมายก็ยิ่งทำให้มั่นใจ

ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลชนชั้นสูงของเมืองจักรวรรดิ

บุตรชายคนโตของตระกูลกลายเป็นคนธรรมดานั้นหมายถึงอะไร ?

ท้ายที่สุดแล้วตระกูลจี้ก็เป็นตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดกันมาเกือบร้อยปีและเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักของรัฐนภากระจ่าง

ตระกูลจี้เป็นช่างทำอาวุธและควบคุมเหล่าช่างทำอาวุธเกือบครึ่งหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง

เหล่าทหารร่วมล้านคนในรัฐนภากระจ่างต่างก็ใช้ตระกูลจี้หลอมสร้างอาวุธ

กระบี่ของเหล่ามือกระบี่และยอดยุทธ์นับไม่ถ้วนล้วนผ่านมือช่างทำอาวุธของสกุลจี้มานักต่อนัก

ความมั่งคั่งและอำนาจของตระกูลจี้นั้นเพียงพอที่จะทำให้ราชวงศ์เกิดความริษยา

จี้ชางคงเป็นผู้ดูแลใหญ่ตระกูลจี้และยังสามารถดำรงรากฐานเก่าแก่มานับศตวรรษได้โดยไม่เสื่อมถอย  หรือว่าจะต้องตกต่ำลงในรุ่นต่อจากนี้ ?

จี้เทียนซิงคาดเดาว่าบิดากำลังสงสัยตระกูลหลิง

แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมัดตัวอีกฝ่าย

จึงได้แต่เพียงเรียบๆเคียงๆถามตนเอง

แต่ทันทีที่จี้เทียนซิงเล่าความจริงได้มีหลักฐาน

รับรองได้ว่าบิดาของเขาจะอุทิศพลังความมั่งคั่งของทั้งตระกูลจี้เพื่อแก้แค้นตระกูลหลิงโดยไม่สนใจว่าจะต้องสูญเสียอันใด

!

เพราะเขาคือบุตรชายคนโปรดของบิดา อัจฉริยะที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของสกุลจี้

นับตั้งแต่ที่เขาถือกำเนิดมา

มารดาก็เสียชีวิต บิดาจึงรู้สึกเจ็บปวดและต้องการชดเชยให้เขาอย่างเต็มที่ด้วยการประคบประหงม

รักถนอมและทุ่มเทชีวิตในการฝึกฝนอบรมสั่งสอน

มีหลายครั้งที่จี้เทียนซิงรู้สึกว่า

แม้กระทั่งถ้าเขาลงมือสังหารรัชทายาทหรือจักรพรรดิ

บิดาของเขาก็พร้อมที่จะประจันหน้ากับศัตรูของบุตรชายเพื่อก่อกบฏได้ด้วยซ้ำ !

ตอนนี้ตันเถียนของเขาถูกทำลายและกลายเป็นคนไร้ค่า

บิดาของเขาย่อมไม่มีวันปล่อยตระกูลหลิงไป แม้จะเป็นการสู้ที่ไม่มีทางชนะ

บิดาของเขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้ !

แต่เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่จี้เทียนซิงไม่ต้องการเห็น

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาตระกูลจี้ได้ตกเป็นเป้าของสาธารณะชน

ไม่รู้ว่ามีกองกำลังมากน้อยเพียงใดที่พยายามจะทำลายล้างตระกูลจี้ แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังมีเจตนาที่จะปราบตระกูลจี้ด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องขัดแย้งมากมายในตระกูลจี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนภายนอกดูอ่อนน้อมสงบเสงี่ยม แต่ก็เหมือนเสือที่กำลังจ้องมองเหยื่อที่ใกล้จะหมดแรง  สภาพร่างกายของจี้ชางคงเริ่มแย่ลงเรื่อยๆและอำนาจในการควบคุมคนในตระกูลก็ลดลง

สถานการณ์ของตระกูลจี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนตระกูลหลิงเป็นตระกูลปรุงโอสถและมีอำนาจความมั่งคั่งที่ไม่ได้ขัดแย้งใดๆกับตระกูลจี้โดยตรง

ภายใต้การบริหารของหลิงหยุนเฟยและบิดาของนาง ตระกูลหลิงแอบสมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์และยังรวบรวมกองทัพและยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากทำให้ตระกูลหลิงมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้จี้เทียนซิงเพียงมองได้ด้วยตาและเก็บไว้ในใจเพราะเขายังเด็กไป

นอกจากนี้เขายังสามารถคาดเดาได้ว่าหลิงหยุนเฟยกล้าที่จะยอมรับการกระทำของนางและเปิดสงครามกับตระกูลจี้แน่นอน

อีกทั้งนางไม่ต้องกังวลเนื่องจากนางมีอำนาขเบื้องหลังที่แข็งแกร่งกว่า

ในกรณีนี้ หากบิดาของเขาโกรธแค้นตระกูลหลิงและทำสงครามกัน

ฝ่ายที่ล่มสลายย่อมต้องเป็นตระกูลจี้ !

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงพยายามข่มความเกลียดชังโกรธแค้นเอาไว้ในใจ

และปิดบังเรื่องลูกปัดครองวิญญาณเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยปากเล่าให้บิดาฟัง

ความโกรธแค้นเกลียดชังที่มีต่อหลิงหยุนเฟยของตระกูลหลิง

เขาต้องการชำระแค้นเป็นการส่วนตัวและไม่ต้องการลากตระกูลจี้ไปจมน้ำด้วยกัน

หลิงหยุนเฟยทำให้เขาเจ็บปวดและอัปยศอดสู

เขาก็ต้องทวงแค้นคืน !

เมื่อตอนนี้ได้เห็นบิดาซักไซ้

จี้เทียนซิงเพียงลังเลครู่หนึ่งและกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ท่านพ่อ ข้ามีเหตุผลของข้า โปรดอย่าถามอีกเลย”

“ส่วนเรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือท่านพ่อต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี

หากท่านล้มไปสักคน สกุลจี้ก็จะล่มสลายไปด้วยและกลายเป็นเนื้อบนเขียงของผู้คน”

“เทียนซิงนี่เจ้า

… ไฮ้ !” จี้ชางคงทั้งกังวลและโมโห

แต่ในเมื่อบุตรชายไม่ยอมเอ่ยปาก เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

“เทียนซิง

จะอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก ด้วยอัจฉริยภาพดั้งเดิมไร้สิ้นสุดของเจ้า

แม้วันนี้จะต้องล้มลุกคลุกคลาน ให้เจ้าถือว่ามันคือบททดสอบหน้าหนึ่ง

ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลของมัน พ่อเชื่อว่าไม่มีผู้ใดล้มลงได้ตลอด

มันย่อมมีสักทางที่จะทะยานสู่สวรรค์ เจ้าจักต้องผงาดขึ้นอีกครั้ง !”