ข่มซึ่งหน้า
คำพูดของจี้เทียนซิงทำให้ทั่วทั้งจัตุรัสกลายเป็นเงียบกริบ
ศิษย์ฝ่ายนอกเกือบสองร้อยคนต่างก็แสดงสีหน้าที่ซับซ้อนในขณะจ้องมองจี้เทียนซิง
ทุกคนไม่ได้โง่
พวกมันต่างก็ได้ยินเต็มสองหูว่าจี้เทียนซิงหลอกด่าศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าแบบอ้อมๆว่า
‘มีฝีมือนิดหน่อยแต่กล้าโอ้อวดต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ’
มีหลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของจี้เทียนซิงและคิดในใจแต่แรกแล้วว่าการกระทำของหยินเฟยหยางและพรรคพวกนั้นจงใจโอ้อวดและสะกดข่มต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์
ทว่า
ยังมีศิษย์บางคนที่สับสนงุนงงและตามไม่ทัน
พวกมันคิดในใจว่าเหตุใดศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นถึงได้เกรี้ยวกราดขนาดนี้ ?
แน่นอนว่าศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้านั้นเข้าใจความหมายในวาจาของจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี
หลังจากหน้าเหวอไปวูบหนึ่งพวกมันก็กลับเป็นปกติตามเดิมและเผยยิ้มกว้างขึ้น
หยินเฟยหยางจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างสงบและพูดว่า “ข้าขอบังอาจถาม ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรหรือ
?”
“หอยุทธ์ฟงอวิ๋น
แซ่จี้ นามว่าเทียนซิง”
จี้เทียนซิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หยินเฟยหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า
“อ้อ ? ที่แท้ก็คือศิษย์น้องจี้ เจ้ากล่าวหนักไปกระมัง
พวกเรานับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันทั้งนั้น ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ก็คือการเรียนรู้
พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเรียนรู้จากพวกท่านทั้งหลายเท่านั้นมิได้มีเจตนาอื่นใด”
“เดิมทีพวกเราต้องการไปเยี่ยมชมหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกท่าน
แต่ได้ยินมาว่าพวกท่านกำลังยุ่งอยู่กับการปิดด่านบ่มเพาะ
พวกเราไม่อยากรบกวนจึงทำได้เพียงรั้งอยู่แถวนี้”
หยินเฟยหยางพูดได้น่าฟังและไม่มีท่าทางขุ่นเคืองต่อคำพูดเสียดสีของจี้เทียนซิง
แต่คนผู้นี้หากมองให้ดีก็นับว่าเป็นบุรุษเขี้ยวลากดินผู้หนึ่ง
อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงและคนอื่นๆฟังออกว่าคำพูดเหล่านี้ของหยินเฟยหยางเหน็บแนมพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
มันฟังดูราวกับว่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นปิดด่านเพราะกลัวการต่อสู้ !
ในเวลานี้หยานตงไหลก็มองไปที่จี้เทียนซิงและอธิบายว่า
“ข้ากับศิษย์พี่หยินต่างก็หมกมุ่นอยู่กับวิถีกระบี่
โดยปกติพวกเรามักจะฝึกซ้อมเพลงกระบี่กันเป็นประจำอยู่แล้ว
คาดไม่ถึงว่าด้วยการร่ายรำเพลงกระบี่ไม่กี่กระบวนท่ากลับทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านี้สนอกสนใจกันมาก”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิด แต่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นเองที่กระตือรือร้นกันเกินไปและร้องขอให้พวกเราสำแดงเพลงกระบี่มากขึ้น”
“ในฐานะแขกที่ดี
เมื่อเจ้าบ้านเรียกร้องข้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแสดงเพลงกระบี่เจ็ดสังหาร โอ .... ข้าไม่คิดว่าจะทำให้ศิษย์น้องจี้เข้าใจผิด”
หลังจากนั้นหยานตงไหลและหยินเฟยหยางก็กำหมัดคารวะให้กับจี้เทียนซิงและศิษย์คนอื่นๆ
พร้อมทั้งกล่าวว่าจะหาทางชดใช้ที่ทำให้เข้าใจผิดในครั้งนี้
แล้วจี้เทียนซิงเชื่อคำพูดของพวกมันหรือไม่
? แน่นอนว่าไม่
หากพวกมันทั้งสองหมกมุ่นและชื่นชอบในการฝึกเพลงกระบี่
ทำไมถึงไม่ฝึกอยู่ในหอฉิงซ่งที่ทางนิกายจัดเตรียมไว้ให้ ? เหตุใดต้องถ่อออกมาฝึกกระบี่กลางจตุรัสของฝ่ายนอกที่มีผู้คนขวักไขว่ ??
การแสดงออกเช่นนี้ของพวกมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ
?
อย่างไรก็ตาม
ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมของหยินเฟยหยางและหยานตงไหล
ทำให้จี้เทียนซิงดูกลายเป็นคนไม่ดีไปเสียแล้ว
เหล่าศิษย์มากมายที่ชมดูอยู่รอบๆไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงและรู้สึกเห็นใจหยินเฟยหยางกับพวก
จี้เทียนซิงมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยและพูดไม่ออกกับการวางตัวอย่างตอแหลของทั้งสองคนนี้
เขากล่าวว่า “หากพวกท่านทั้งสองชอบฝึกกระบี่จนคุ้นชินเป็นวิสัย
เหตุใดถึงไม่ไปฝึกที่หอฉิงซ่งที่พวกท่านพักอยู่เล่า ?”
“พวกเราเป็นศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์
พวกเรามีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะนำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกท่านให้ชี้แนะหรอก”
“นอกจากนี้ พวกท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่ได้คำชี้แนะจากนิกายเรา
อีกเจ็ดวันข้างหน้าก็จะถึงวันประลองหลงซาน เมื่อนั้นท่านจะได้ประจักษ์ต่อสายตาเอง
ไฉนต้องทำเรื่องให้มันซับซ้อนมากความด้วย ?”
เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าว่างานประลองหลงซาน
ศิษย์ส่วนใหญ่ก็เผยสีหน้างุนงงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกมันหันไปกระซิบกระซาบกัน
ศิษย์ที่รู้เรื่องงานประลองก็เริ่มเล่าให้คนที่ไม่รู้ฟังทันที
สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็เข้าใจเหตุผลและความสำคัญของภูเขามังกร ทุกคนหันไปมองศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาที่แตกต่างกัน
แม้แต่ศิษย์ที่เพิ่งชื่นชอบพวกมันทั้งสามอย่างออกหน้าออกตาก็ยังรู้สึกผิดและโทษตัวเองที่ไม่เข้าใจเจตนาแท้จริงของพวกมัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ศิษย์ทั้งหมดก็ตระหนักได้แล้วว่า
ฉากหน้าของพวกหยินเฟยหยางมิได้เรียบง่ายอย่างที่เข้าใจ
พวกมันทั้งสามคือศิษย์ที่เป็นตัวแทนในงานประลองหลงซาน
เจตนาแท้จริงของพวกมันก็คือหยั่งเชิงและสืบข่าวในนิกายพันธมิตรสวรรค์
นอกจากนี้ทรัพยากรบนภูเขามังกรตลอดสามปีมานี้ล้วนถูกใช้ในการบ่มเพาะของศิษย์ฝ่ายนอกนิกายกระบี่ฟ้าแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ทัศนคติของเหล่าศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์เกือบสองร้อยคนในจตุรัสก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
หลายคนจ้องมองศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาเป็นศัตรูและเผยสีหน้าคาดหวังต่อชัยชนะในการประลองครั้งนี้
หยินเฟยหยางกับหยานตงไหลเอียงคอมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม
พวกมันทั้งสองรู้สึกว่าจี้เทียนซิงผู้นี้เคี้ยวยากและดูน่าสนใจไม่น้อย
หากมองผิวเผินทั้งสองยังคงวางท่านิ่งเฉยราวกับไม่แยแส
แต่ความจริงที่ว่าจี้เทียนซิงฉีกหน้าพวกมันก็ทำให้บรรยากาศ ณ
จุดนี้เริ่มอึมครึมขึ้นมาแล้ว
ในที่สุดฮั่นเชินผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็เดินไปอยู่เบื้องหน้าหยานตงไหลและหยินเฟยหยาง
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ให้เกียรติและนับถือฮั่งเชินมาก
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องคิดจะเอ่ยปาก
พวกมันก็พร้อมใจกันเดินถอยหลังหลีกทางให้ทันที
ฮั่งเชินจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างเฉยชาและถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า
“ศิษย์น้องจี้ หากข้าเดาไม่ผิด
ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนในการประลองหลงซานใช่ไหม ?"
จี้เทียนซิงตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ถูกต้อง”
ฮั่งเชินพยักหน้า
ปากของมันยกเชิดขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า
“ในเมื่อศิษย์น้องจี้ไม่ต้อนรับ
เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รบกวนแล้ว”
“จะอย่างไรเสีย ในฐานะที่อาวุโสกว่า
ข้าขอเตือนศิษย์น้องจี้ไว้ล่วงหน้าก็แล้วกันว่า กระบี่หนักชานหยาง [残阳重剑 พิฆาตสุริยัน]ในมือข้าเล่มนี้มีน้ำหนักมากกว่า 900
กิโลกรัมและเป็นศาสตราวุธที่ไร้เทียมทาน”
“ทางที่ดีศิษย์น้องจี้ควรจะหาชุดเกราะขั้นเทพมาสวมใส่ไว้หน่อย
อย่างน้อยจะได้เหลือสังหารไว้ให้ดูต่างหน้าบ้าง”
“เพราะถึงเวลานั้น
การบาดเจ็บคงหลีกเลี่ยงมิได้และไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าอยากเห็น”
ครืน.....
!!
กล่าวจบฮั่งเชินก็เอื้อมมือไปจับด้ามกระบี่หนักและปะทุพลังกดทับอันแรงกล้าออกมา
ภายใต้กระบี่พิฆาตสุริยัน
ใบมีดที่หนาและกว้างส่องแสงสีแดงเลือดจางๆออกมา
เห็นได้ชัดว่านี่คือการจงใจคุกคามจากฮั่งเชินแน่นอน
!
ถึงแม้สีหน้าจะสงบราบเรียบ
แต่แรงกดทับที่มันปะทุออกมานี้แท้จริงแล้วใช้พลังไม่ถึงครึ่ง !
ถึงแม้วาจาจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพราบเรียบ
แต่ด้วยทัศนคติที่หยิ่งยโส แววตาที่เย่อหยิ่งจองหอง มุมปากยกยิ้มอย่างโอหัง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างรู้สึกได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามอันล้ำลึก
ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหน้าถอดสีและหันไปมองฮั่งเชิน
แต่จี้เทียนซิงยังคงสงบเยือกเย็นด้วยสีหน้าไม่แยแสพลางกล่าวว่า
“ขอบคุณศิษย์พี่ฮั่งเชินที่กระตุ้นเตือน
ข้าจะจดจำไว้เป็นอย่างดี”
“เหอะ....”
ฮั่งเชินแค่นเสียงในลำคอ
ดวงตาฉายแววเย้ยหยันและหันหลังกลับไปพยักหน้าให้หยินเฟยหยางและหยานตงไหล
หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินผ่านฝูงชนออกจากจัตุรัสแล้วกลับไปที่หอฉิงซ่ง
ศิษย์ทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างจ้องมองที่ไปพวกมันทั้งสาม
ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“มากเกินไปแล้ว ! ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าผู้นี้โอหังอวดดียิ่งนัก
!”
“ใช่ โดยเฉพาะเจ้าฮั่งเชิน
มันกลับกล้าปะทุพลังปราณคุกคามพวกเราถึงถิ่น !”
"ไร้เหตุผลสิ้นดี ! พวกมันเพียงเป็นแขกมาเยือนนิกายแต่กลับมาดูถูกกันซึ่งหน้าเช่นนี้ น่าโมโหนัก !”
“เฮ้อ... ถึงจะน่าโมโหแค่ไหนแต่เจ้าฮั่งเชินผู้นั้นก็มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า
ข้าเกรงว่าหลังจากการประลองหลงซาน จี้เทียนซิงคงเละจนดูไม่จืดแน่”
“เพ้ย ! เจ้าอย่าพูดบั่นทอนกำลังใจพวกเราได้หรือไม่
? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พวกเราก็มิอาจทำให้ชื่อเสียงของนิกายต้องหม่นหมอง”
ถึงแม้ศิษย์ทั้งหลายจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
แต่พวกมันก็สำนึกตัวดีว่าไม่มีความสามารถพอที่จะไปต่อปากต่อคำกับฮั่งเชินที่แข็งแกร่งกว่า
พวกมันทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายข่มเหงโอ้อวดเท่านั้น
จี้เทียนซิงหันไปมองผู้คนรอบๆและกล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า
“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเสียงนกเสียงกาหรอก
แยกย้ายไปเถอะ เวลาจะพิสูจน์เองว่าใครแน่กว่ากัน”
หลังจากนั้นเขาก็เดินผ่านฝูงชนออกไปจากจัตุรัส
ในเวลานี้เองศิษย์หลายคนร้องตะโกนออกมาว่า
“ศิษย์พี่จี้ ถึงเวลาประลอง
ท่านต้องตบพวกมันให้ทิ่มเลยนะขอรับ !”
“ศิษย์พี่จี้
ท่านต้องคว้าชัยชนะกลับสู่นิกายพวกเราให้ได้นะ !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved