ตอนที่ 184

ข่มซึ่งหน้า

คำพูดของจี้เทียนซิงทำให้ทั่วทั้งจัตุรัสกลายเป็นเงียบกริบ

ศิษย์ฝ่ายนอกเกือบสองร้อยคนต่างก็แสดงสีหน้าที่ซับซ้อนในขณะจ้องมองจี้เทียนซิง

ทุกคนไม่ได้โง่

พวกมันต่างก็ได้ยินเต็มสองหูว่าจี้เทียนซิงหลอกด่าศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าแบบอ้อมๆว่า

‘มีฝีมือนิดหน่อยแต่กล้าโอ้อวดต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ’

มีหลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของจี้เทียนซิงและคิดในใจแต่แรกแล้วว่าการกระทำของหยินเฟยหยางและพรรคพวกนั้นจงใจโอ้อวดและสะกดข่มต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์

ทว่า

ยังมีศิษย์บางคนที่สับสนงุนงงและตามไม่ทัน

พวกมันคิดในใจว่าเหตุใดศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นถึงได้เกรี้ยวกราดขนาดนี้ ?

แน่นอนว่าศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้านั้นเข้าใจความหมายในวาจาของจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี

หลังจากหน้าเหวอไปวูบหนึ่งพวกมันก็กลับเป็นปกติตามเดิมและเผยยิ้มกว้างขึ้น

หยินเฟยหยางจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างสงบและพูดว่า “ข้าขอบังอาจถาม ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรหรือ

?”

“หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

แซ่จี้ นามว่าเทียนซิง”

จี้เทียนซิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หยินเฟยหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า

“อ้อ ? ที่แท้ก็คือศิษย์น้องจี้  เจ้ากล่าวหนักไปกระมัง

พวกเรานับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันทั้งนั้น ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ก็คือการเรียนรู้

พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเรียนรู้จากพวกท่านทั้งหลายเท่านั้นมิได้มีเจตนาอื่นใด”

“เดิมทีพวกเราต้องการไปเยี่ยมชมหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกท่าน

แต่ได้ยินมาว่าพวกท่านกำลังยุ่งอยู่กับการปิดด่านบ่มเพาะ

พวกเราไม่อยากรบกวนจึงทำได้เพียงรั้งอยู่แถวนี้”

หยินเฟยหยางพูดได้น่าฟังและไม่มีท่าทางขุ่นเคืองต่อคำพูดเสียดสีของจี้เทียนซิง

แต่คนผู้นี้หากมองให้ดีก็นับว่าเป็นบุรุษเขี้ยวลากดินผู้หนึ่ง

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงและคนอื่นๆฟังออกว่าคำพูดเหล่านี้ของหยินเฟยหยางเหน็บแนมพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

มันฟังดูราวกับว่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นปิดด่านเพราะกลัวการต่อสู้ !

ในเวลานี้หยานตงไหลก็มองไปที่จี้เทียนซิงและอธิบายว่า

“ข้ากับศิษย์พี่หยินต่างก็หมกมุ่นอยู่กับวิถีกระบี่

โดยปกติพวกเรามักจะฝึกซ้อมเพลงกระบี่กันเป็นประจำอยู่แล้ว

คาดไม่ถึงว่าด้วยการร่ายรำเพลงกระบี่ไม่กี่กระบวนท่ากลับทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านี้สนอกสนใจกันมาก”

“ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิด แต่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นเองที่กระตือรือร้นกันเกินไปและร้องขอให้พวกเราสำแดงเพลงกระบี่มากขึ้น”

“ในฐานะแขกที่ดี

เมื่อเจ้าบ้านเรียกร้องข้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแสดงเพลงกระบี่เจ็ดสังหาร โอ ....  ข้าไม่คิดว่าจะทำให้ศิษย์น้องจี้เข้าใจผิด”

หลังจากนั้นหยานตงไหลและหยินเฟยหยางก็กำหมัดคารวะให้กับจี้เทียนซิงและศิษย์คนอื่นๆ

พร้อมทั้งกล่าวว่าจะหาทางชดใช้ที่ทำให้เข้าใจผิดในครั้งนี้

แล้วจี้เทียนซิงเชื่อคำพูดของพวกมันหรือไม่

?  แน่นอนว่าไม่

หากพวกมันทั้งสองหมกมุ่นและชื่นชอบในการฝึกเพลงกระบี่

ทำไมถึงไม่ฝึกอยู่ในหอฉิงซ่งที่ทางนิกายจัดเตรียมไว้ให้ ? เหตุใดต้องถ่อออกมาฝึกกระบี่กลางจตุรัสของฝ่ายนอกที่มีผู้คนขวักไขว่ ??

การแสดงออกเช่นนี้ของพวกมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ

?

อย่างไรก็ตาม

ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมของหยินเฟยหยางและหยานตงไหล

ทำให้จี้เทียนซิงดูกลายเป็นคนไม่ดีไปเสียแล้ว

เหล่าศิษย์มากมายที่ชมดูอยู่รอบๆไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงและรู้สึกเห็นใจหยินเฟยหยางกับพวก

จี้เทียนซิงมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยและพูดไม่ออกกับการวางตัวอย่างตอแหลของทั้งสองคนนี้

เขากล่าวว่า “หากพวกท่านทั้งสองชอบฝึกกระบี่จนคุ้นชินเป็นวิสัย

เหตุใดถึงไม่ไปฝึกที่หอฉิงซ่งที่พวกท่านพักอยู่เล่า ?”

“พวกเราเป็นศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์

พวกเรามีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะนำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกท่านให้ชี้แนะหรอก”

“นอกจากนี้ พวกท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่ได้คำชี้แนะจากนิกายเรา

อีกเจ็ดวันข้างหน้าก็จะถึงวันประลองหลงซาน เมื่อนั้นท่านจะได้ประจักษ์ต่อสายตาเอง

ไฉนต้องทำเรื่องให้มันซับซ้อนมากความด้วย ?”

เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าว่างานประลองหลงซาน

ศิษย์ส่วนใหญ่ก็เผยสีหน้างุนงงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

พวกมันหันไปกระซิบกระซาบกัน

ศิษย์ที่รู้เรื่องงานประลองก็เริ่มเล่าให้คนที่ไม่รู้ฟังทันที

สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็เข้าใจเหตุผลและความสำคัญของภูเขามังกร ทุกคนหันไปมองศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาที่แตกต่างกัน

แม้แต่ศิษย์ที่เพิ่งชื่นชอบพวกมันทั้งสามอย่างออกหน้าออกตาก็ยังรู้สึกผิดและโทษตัวเองที่ไม่เข้าใจเจตนาแท้จริงของพวกมัน

เมื่อมาถึงจุดนี้ศิษย์ทั้งหมดก็ตระหนักได้แล้วว่า

ฉากหน้าของพวกหยินเฟยหยางมิได้เรียบง่ายอย่างที่เข้าใจ

พวกมันทั้งสามคือศิษย์ที่เป็นตัวแทนในงานประลองหลงซาน

เจตนาแท้จริงของพวกมันก็คือหยั่งเชิงและสืบข่าวในนิกายพันธมิตรสวรรค์

นอกจากนี้ทรัพยากรบนภูเขามังกรตลอดสามปีมานี้ล้วนถูกใช้ในการบ่มเพาะของศิษย์ฝ่ายนอกนิกายกระบี่ฟ้าแทบทั้งสิ้น  ด้วยเหตุนี้ทัศนคติของเหล่าศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์เกือบสองร้อยคนในจตุรัสก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลายคนจ้องมองศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาเป็นศัตรูและเผยสีหน้าคาดหวังต่อชัยชนะในการประลองครั้งนี้

หยินเฟยหยางกับหยานตงไหลเอียงคอมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม

พวกมันทั้งสองรู้สึกว่าจี้เทียนซิงผู้นี้เคี้ยวยากและดูน่าสนใจไม่น้อย

หากมองผิวเผินทั้งสองยังคงวางท่านิ่งเฉยราวกับไม่แยแส

แต่ความจริงที่ว่าจี้เทียนซิงฉีกหน้าพวกมันก็ทำให้บรรยากาศ ณ

จุดนี้เริ่มอึมครึมขึ้นมาแล้ว

ในที่สุดฮั่นเชินผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็เดินไปอยู่เบื้องหน้าหยานตงไหลและหยินเฟยหยาง

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ให้เกียรติและนับถือฮั่งเชินมาก

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องคิดจะเอ่ยปาก

พวกมันก็พร้อมใจกันเดินถอยหลังหลีกทางให้ทันที

ฮั่งเชินจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างเฉยชาและถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า

“ศิษย์น้องจี้ หากข้าเดาไม่ผิด

ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนในการประลองหลงซานใช่ไหม ?"

จี้เทียนซิงตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ถูกต้อง”

ฮั่งเชินพยักหน้า

ปากของมันยกเชิดขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“ในเมื่อศิษย์น้องจี้ไม่ต้อนรับ

เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รบกวนแล้ว”

“จะอย่างไรเสีย ในฐานะที่อาวุโสกว่า

ข้าขอเตือนศิษย์น้องจี้ไว้ล่วงหน้าก็แล้วกันว่า กระบี่หนักชานหยาง [残阳重剑 พิฆาตสุริยัน]ในมือข้าเล่มนี้มีน้ำหนักมากกว่า 900

กิโลกรัมและเป็นศาสตราวุธที่ไร้เทียมทาน”

“ทางที่ดีศิษย์น้องจี้ควรจะหาชุดเกราะขั้นเทพมาสวมใส่ไว้หน่อย

อย่างน้อยจะได้เหลือสังหารไว้ให้ดูต่างหน้าบ้าง”

“เพราะถึงเวลานั้น

การบาดเจ็บคงหลีกเลี่ยงมิได้และไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าอยากเห็น”

ครืน.....

!!

กล่าวจบฮั่งเชินก็เอื้อมมือไปจับด้ามกระบี่หนักและปะทุพลังกดทับอันแรงกล้าออกมา

ภายใต้กระบี่พิฆาตสุริยัน

ใบมีดที่หนาและกว้างส่องแสงสีแดงเลือดจางๆออกมา

เห็นได้ชัดว่านี่คือการจงใจคุกคามจากฮั่งเชินแน่นอน

!

ถึงแม้สีหน้าจะสงบราบเรียบ

แต่แรงกดทับที่มันปะทุออกมานี้แท้จริงแล้วใช้พลังไม่ถึงครึ่ง !

ถึงแม้วาจาจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพราบเรียบ

แต่ด้วยทัศนคติที่หยิ่งยโส แววตาที่เย่อหยิ่งจองหอง มุมปากยกยิ้มอย่างโอหัง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างรู้สึกได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามอันล้ำลึก

ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหน้าถอดสีและหันไปมองฮั่งเชิน

แต่จี้เทียนซิงยังคงสงบเยือกเย็นด้วยสีหน้าไม่แยแสพลางกล่าวว่า

“ขอบคุณศิษย์พี่ฮั่งเชินที่กระตุ้นเตือน

ข้าจะจดจำไว้เป็นอย่างดี”

“เหอะ....”

ฮั่งเชินแค่นเสียงในลำคอ

ดวงตาฉายแววเย้ยหยันและหันหลังกลับไปพยักหน้าให้หยินเฟยหยางและหยานตงไหล

หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินผ่านฝูงชนออกจากจัตุรัสแล้วกลับไปที่หอฉิงซ่ง

ศิษย์ทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างจ้องมองที่ไปพวกมันทั้งสาม

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“มากเกินไปแล้ว ! ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าผู้นี้โอหังอวดดียิ่งนัก

!”

“ใช่ โดยเฉพาะเจ้าฮั่งเชิน

มันกลับกล้าปะทุพลังปราณคุกคามพวกเราถึงถิ่น !”

"ไร้เหตุผลสิ้นดี ! พวกมันเพียงเป็นแขกมาเยือนนิกายแต่กลับมาดูถูกกันซึ่งหน้าเช่นนี้  น่าโมโหนัก !”

“เฮ้อ... ถึงจะน่าโมโหแค่ไหนแต่เจ้าฮั่งเชินผู้นั้นก็มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า

ข้าเกรงว่าหลังจากการประลองหลงซาน จี้เทียนซิงคงเละจนดูไม่จืดแน่”

“เพ้ย ! เจ้าอย่าพูดบั่นทอนกำลังใจพวกเราได้หรือไม่

?  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

พวกเราก็มิอาจทำให้ชื่อเสียงของนิกายต้องหม่นหมอง”

ถึงแม้ศิษย์ทั้งหลายจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

แต่พวกมันก็สำนึกตัวดีว่าไม่มีความสามารถพอที่จะไปต่อปากต่อคำกับฮั่งเชินที่แข็งแกร่งกว่า

พวกมันทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายข่มเหงโอ้อวดเท่านั้น

จี้เทียนซิงหันไปมองผู้คนรอบๆและกล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า

“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเสียงนกเสียงกาหรอก

แยกย้ายไปเถอะ เวลาจะพิสูจน์เองว่าใครแน่กว่ากัน”

หลังจากนั้นเขาก็เดินผ่านฝูงชนออกไปจากจัตุรัส

ในเวลานี้เองศิษย์หลายคนร้องตะโกนออกมาว่า

“ศิษย์พี่จี้ ถึงเวลาประลอง

ท่านต้องตบพวกมันให้ทิ่มเลยนะขอรับ !”

“ศิษย์พี่จี้

ท่านต้องคว้าชัยชนะกลับสู่นิกายพวกเราให้ได้นะ !”