ตอนที่ 126

กลับดำเป็นขาว

เมื่อได้เห็นลู่หมิงหยางปรากฏตัวพร้อมกับผู้ดูแลอาวุโสในชุดคลุมดำ

จี้เทียนซิงก็ร่ำร้องในใจว่า หลงกลมันเข้าแล้ว !

เขาเข้าใจทันทีว่าทั้งหมดเป็นการจัดฉากใส่ความครั้งมโหฬารของจี้หลิง

!

ทั้งตนเองและจี้เค่อถูกหลอกแล้ว

ส่วนเจียนอวี้และลู่หมิงหยางเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด !

ในเวลานี้เองผู้ดูแลนิกายในชุดคลุมดำก็มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับเหวี่ยงสายตาด้วยความโกรธพลางตะโกนว่า

“หยุดมือ !”

“ผู้ดูแลมาถึงแล้ว...  ระยำเอ้ย ! ”

จี้เทียนซิงลอบสบถในใจ  หากผู้ดูแลมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว

เขาก็จบชีวิตสุนัขของจี้หลิงได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม

ในเมื่อมีอาวุโสปรากฏตัว อีกทั้งตนเองก็มีฐานะเป็นศิษย์ของนิกายจึงไม่สามารถลงมือได้อีกต่อไป

จี้หลิงแสยะยิ้มมุมปากและลอบหัวเราะในใจ

แต่ฉากหน้าทำเป็นเสแสร้งและพร่ำเพ้อต่อผู้ดูแลอาวุโสอย่างบ้าคลั่ง  “ผู้อาวุโส ท่านมาก็ดีแล้ว  จี้เทียนซิง  เจ้าสารเลวนี่คิดจะฆ่าข้า

ท่านต้องให้ความเป็นธรรมต่อข้า !”

ผู้ดูแลชุดคลุมดำมองจี้หลิงและถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ แล้วทำไมถึงจะถูกฆ่า?”

โดยไม่ต้องรอให้จี้เทียนซิงได้เปิดปาก

จี้หลิงก็ชิงตัดหน้าร่ายยาว “เรียนผู้อาวุโส

เรื่องเป็นเช่นนี้  ข้ากับจี้เทียนซิงต่างก็มาจากรัฐนภากระจ่างเหมือนกันและมีบุญคุณความแค้นต่อกัน

หลังจากได้เข้านิกายและฝึกฝนอยู่ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น มันคิดหาทางกำจัดข้าอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่สบโอกาส  ข้ามีหลานสาวผู้หนึ่งนามว่าจี้เค่อ

นางฝึกฝนอยู่ในหอยุทธ์ไป๋ลู่ จี้เทียนซิงวางแผนหลอกลวงนางมาที่นี่และใช้นางเป็นเหยื่อล่อเพื่อบีบคั้นข้า

!”

“หลังจากข้าทราบเรื่องจึงตามศิษย์พี่เจียนอวี้มาช่วยเหลือ

แต่สุดท้ายกลับคาดไม่ถึง....

สารเลวจี้เทียนซิงผู้นี้ทำร้ายนางบาดเจ็บและผลักนางตกหน้าผา !”

“หลังจากเกิดเหตุมันก็คิดจะฆ่าข้ากับศิษย์พี่เจียนอวี้ปิดปาก

โชคดีที่ผู้อาวุโสมาทันเวลา มิฉะนั้นคงตกตายกันหมดแล้ว !”

จี้เทียนซิงควันออกหูและเต็มไปด้วยความโกรธทันที

เขาชี้หน้าตะโกนใส่จี้หลิงและคำรามว่า “จี้หลิง

! เจ้ามันชั่วช้าสารเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน

หมูหมายังดีกว่าเจ้านับร้อยเท่า !  ทั้งหมดเป็นแผนการของเจ้าที่หลอกข้ากับจี้เค่อมาที่นี่  เจ้าเป็นคนผลักนางตกหน้าผาเอง

คนโหดเหี้ยมที่กล้าลงมือต่อญาติตัวเองอย่างเจ้ายังมีหน้ามาใส่ความข้าอีก !"

“คนชั่วช้าสามานย์ไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ควรอยู่ให้รกโลก

!”

จี้หลิงหัวเราะเยาะและกล่าวว่า

"จี้เทียนซิง เจ้ามันเพ้อเจ้อ !  จี้เค่อเป็นญาติของข้า

ข้าดูแลรักถนอมนางมาตลอดจะผลักนางตกหน้าผาได้อย่างไร ?”

“หากเจ้าคิดจะหนีความผิดก็จงใช้สมองหาข้อแก้ตัวให้ดีกว่านี้หน่อยเถอะ

!”

เมื่อผู้ดูแลอาวุโสได้ยินคำพูดของจี้หลิงก็เริ่มขมวดคิ้ว

และหันไปมองจี้เทียนซิงด้วยสายตามืดครึ้ม

ในเวลานี้เองเจียนอวี้ก็หอบสังขารเข้ามา

ทั่วร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรกจนดูน่าสมเพชไม่ต่างกับจี้หลิง

เมื่อเขาเห็นผู้ดูแลนิกายมาถึงก็พบว่าทุกอย่างเข้าทางแล้ว  เขาโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ศิษย์เจียนอวี้คารวะผู้อาวุโส”

“ข้าขอเป็นพยานให้จี้หลิง เรื่องนี้เป็นอย่างที่จี้หลิงเล่ามาทั้งหมด

หลังจากเขาทราบเรื่องก็รีบมาหาข้าอย่างร้อนรนและชักชวนข้ามาที่ยอดเขากระบี่หยกแห่งนี้เพื่อช่วยหลานสาวของเขาจากเงื้อมมือมารร้ายจี้เทียนซิง”

“โชคไม่ดี เมื่อพวกเรามาถึงก็เห็นมันผลักแม่นางจี้เค่อตกหน้าผาไปแล้ว

พวกเราทั้งสองต่างก็โกรธแค้นและคิดจะจับตัวมันมอบให้นิกายลงโทษ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้...

มันคิดจะฆ่าพวกเราสองคนเพื่อปกปิดความผิด !”

“ผู้อาวุโส ตอนที่ท่านมาถึงคงได้เห็นเต็มสองตาแล้วว่าจี้เทียนซิงกำลังจะลงมือฆ่าจี้หลิง

ทุกอย่างเป็นความจริง !”

ในเวลานี้เอง

ลู่หมิงหยางก็ตีไข่ผสมโรงเข้าไปด้วยอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโส

ข้าก็สามารถเป็นพยานให้จี้หลิงได้

พวกเขาทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมานานแล้ว

จี้เทียนซิงวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับจี้หลิงมาโดยตลอดและมักจะคอยหาโอกาสจัดการเขา

!”

“นอกจากนี้

เพียงวันที่สองที่จี้เทียนซิงเข้าร่วมหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

มันยังกล้าขโมยผลไม้วิญญาณในสวนโอสถของนิกายจนถูกครูฝึกฮั่นลงโทษ”

“จอมวายร้ายที่ชั่วช้าสามานย์อย่างจี้เทียนซิงนับเป็นความอับอายเสื่อมเสียต่อนิกายของพวกเรานัก

!

ตอนนี้มันยังกล้าคิดจะสังหารศิษย์ร่วมสำนักอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

ด้วยความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ พวกเราขอให้ผู้อาวุโสลงโทษสถานหนักด้วยขอรับ !”

จี้หลิง

เจียนอวี้ ลู่หมิงหยาง

ทั้งสามคนนี้ต่างประสานงานกันอย่างดีและเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

พวกเขายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าจี้เทียนซิงฆ่าจี้เค่อและยังคิดจะฆ่าพวกเขาอีกด้วย

จี้เทียนซิงโกรธจนตัวสั่นและคิดจะสะบัดหน้าหนี

เขามีคำพูดเป็นร้อยคำคิดเอ่ยปาก แต่สุดท้ายคำพูดเหล่านั้นก็จุกอยู่ในลำคอเนื่องจากเขาไม่มีหลักฐานและไม่มีใครมาเป็นพยานให้  แน่นอนว่าผู้ดูแลคนนี้ย่อมไม่เชื่อเขา

หลังจากนั้นครู่หนึ่งผู้ดูแลชุดคลุมดำก็ครุ่นคิดอย่างหนักและสูดหายใจลึกร่ำร้องออกมาว่า

“จี้เทียนซิง จี้หลิง เจียนอวี้

นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ทางนิกายจะต้องสอบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียด ! ก่อนผลการสอบสวนจะประจักษ์ชัด พวกเจ้าทั้งสามต้องถูกกักตัวในห้องสงบของหอบัญญัติ

รอคอยการตัดสิน !”

“นอกจากนี้ข้าจะออกคำสั่งให้ส่งคนลงไปที่หน้าผาเพื่อค้นหาร่างของจี้เค่อก่อนเป็นอันดับแรก”

จากนั้นผู้ดูแลก็พาทุกคนออกจากยอดเขากระบี่หยกและกลับไปที่หอบัญญัติในนิกายพันธมิตรสวรรค์

จี้เทียนซิง

จี้หลิงและเจียนอวี้ถูกกักตัวไว้ในห้องสงบของหอบัญญัติเพื่อรอการสอบสวนและตัดสินโทษ

ไม่เพียงแค่นั้น

ทางนิกายได้ส่งคนลงไปใต้ผากระบี่หยกเพื่อค้นหาจี้เค่อ

......

ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องสงบหมายเลข

3 ของหอบัญญัติ

จี้เทียนซิงกำลังนั่งอยู่ที่มุมกำแพงช้อนสายตามองไปที่หน้าต่างเล็กๆ

ห้องสงบนี้เต็มไปด้วยความมืดมิด

มันมีความกว้างเพียงสามเมตร ภายในห้องไม่มีอะไรเลยแม้แต่เก้าอี้สักตัว พื้นและผนังเป็นหินสีน้ำตาลเข้มและมีเพียงหน้าต่างเหล็กขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าภายนอกกับฝ่ามือตัวเองเท่านั้น

ตอนนี้เป็นยามราตรีและท้องฟ้านอกหน้าต่างก็มืดสนิท

จี้เทียนซิงนั่งอยู่ที่มุมห้องที่เย็นชื้นตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว  อารมณ์ของเขาเริ่มสงบลง

จากที่เคยโกรธแค้นจนคลั่งกลายเป็นความเฉยชาและหมดหนทาง

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ความจริงของเรื่องนี้และได้ย้ำกับผู้ดูแลไปหลายรอบแล้ว

แต่นิกายมีกฎที่เข้มงวดมากและผู้ดูแลคนนั้นย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขาฝ่ายเดียวแน่นอน

ก่อนที่การสอบสวนจะมีความชัดเจน

สิ่งที่เขาทำได้ก็คืออยู่ในห้องเงียบๆและรอการตัดสินจากนิกาย

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

หลังจากจบเรื่องนี้จะหาตัวจี้หลิงเพื่อล้างแค้น !

ทว่า

สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดตอนนี้ก็คือจี้เค่อ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากนั่งอธิษฐานให้นางเงียบๆ

“เค่อเค่อ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร อย่าตายนะ !”

“ข้าสาบานว่าจะฆ่าจี้หลิงแก้แค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน

!"

ภายในห้องอันเงียบเชียบและเย็นจับจิตแห่งนี้ทำให้เวลาดูเหมือนจะผ่านไปช้ามาก   จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว

มีเสียงเปิดประตูห้องสงบดังขึ้น

ผู้ดูแลชุดคลุมดำผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องและมองจี้เทียนซิงอย่างเฉยชาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

"จี้เทียนซิง  ออกมา !"

จี้เทียนซิงผุดลุกขึ้นยืนทันทีและถามอย่างใจจดใจจ่อ

“ผู้อาวุโส พวกท่านหาจี้เค่อพบหรือยัง ? นางเป็นอย่างไรบ้าง

?"

ผู้ดูแลชุดคลุมดำจ้องหน้าอีกฝ่ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“จี้เค่อยังไม่ตาย แต่อาการสาหัสและยังไม่ได้สติ”

จี้เทียนซิงรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุดและกระซิบแผ่วเบา

“นางยังไม่ตาย.... ! ขอบคุณสวรรค์

ข้ารู้ว่านางเป็นคนดวงแข็ง ต้องไม่ตายเช่นนี้แน่ !”

“ไปกับข้า !”  จู่ๆผู้ดูแลชุดคลุมดำก็ตะโกนเสียงดัง

“ไปไหน ?”

จี้เทียนซิงถามจากจิตใต้สำนึก

“ผลการสอบสวนเป็นที่ชัดเจนหรือยัง ? ข้าถูกปล่อยตัวแล้วใช่ไหม

?”

ผู้ดูแลชุดดำมองจี้เทียนซิงอย่างไร้อารมณ์และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดนัก   แต่....

โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนก็คือเจ้ากำลังจะฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก !”

“อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังคงต้องรอจนกว่าจี้เค่อจะฟื้นและฟังคำอธิบายของนางก่อน  บรรดาผู้คุมกฎถึงจะสรุปบทลงโทษได้”

“ดังนั้นก่อนที่จี้เค่อจะฟื้น หอบัญญัติจึงตัดสินใจจะขังเจ้าไว้ที่ถ้ำวายุทมิฬบนไหล่เขา  เจ้าอย่าได้ขัดขืนหรือคิดหนี !”

"อะไร ? บ้าชัดๆ

!”

จี้เทียนซิงกล่าวอย่างร้อนใจ  “เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะจี้หลิงจัดฉากหมายสังหารข้ากับจี้เค่อ

เมื่อมันลงมือพลาดจึงกลับดำเป็นขาวใส่ความข้าต่างหาก  ข้ากับจี้เค่อเป็นสหายที่ดีต่อกันตั้งแต่เด็ก

ข้าจะไปทำร้ายนางได้อย่างไร

พวกท่านขังข้าไม่ได้ !”

“หุบปาก !” ผู้ดูแลชุดดำคำรามพลางสะบัดปลายแขนเสื้อ  เขากล่าวต่อไปด้วยเสียงเย็น “เจ้าไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ดังนั้นก่อนจี้เค่อจะฟื้นขึ้นมาเล่าเรื่องราวทั้งหมด

เจ้าต้องทำตามมติของหอบัญญัติ !”

“เจ้าจะต้องไปถ้ำวายุทมิฬกับข้าเดี๋ยวนี้ !”