เมื่อเห็นเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกลืนแกนอสูรเข้าไป
จี้เทียนซิงพลันขมวดคิ้วในระหว่างที่มองดูสีหน้าเปี่ยมสุขของพวกมัน
"พวกเจ้าทั้งสอง.......
เล่นกลืนแกนอสูรเข้าไปแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีอะไรผิดปรกติหรือ ?!"
เขารู้ว่านี่เป็นโลกที่ห้าบนหอคอยเจ็ดดาวซึ่งเป็นโลกที่แปลกประหลาด
ทุกอย่างกลับตาลปัตร
สิ่งที่เคยมีขนาดเล็กกลับกลายเป็นขนาดใหญ่มหึมา
ส่วนของใหญ่กลับกลายเป็นมีขนาดเล็ก
โลกที่แปลกและประหลาดเช่นนี้ สมควรเป็นโลกแห่งภาพมายาอีกแห่งหนึ่ง
เนื่องจากมันเป็นภาพลวงตา
กิ้งก่ายักษ์สองตัวนี้ก็อาจจะมีมีบางอย่างผิดปรกติเช่นกัน
เขาจึงเป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกลืนแกนอสูรเข้าไปแล้วเกิดอาการผิดปรกติขึ้นมา
เฉียนเยวี่ยรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า "สหายจี้
เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถึงแม้โลกใบนี้จะแปลก
แต่กิ้งก่ายักษ์ทั้งสองและแกนอสูรของพวกมันก็เป็นของจริง"
"สำหรับข้ากับเสี่ยวเฮยหลงแล้ว การดูดกลืนและปรับแต่งแกนอสูรขนาดใหญ่นั้นสามารถฟื้นฟูความสามารถของพวกข้าได้เร็วกว่าการกินโอสถวิญญาณหรือผลไม้วิญญาณด้วยซ้ำ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
เพียงอยู่เงียบๆเฝ้ามองปฏิกิริยาของพวกมัน
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พบว่าทักษะความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยได้ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างมากมาย
อีกทั้งขนาดของพวกมันก็ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย
เมื่อเห็นและมั่นใจว่าพวกมันไม่มีอะไรผิดปกติก็โล่งใจ
จากนั้นก็ชักชวนพวกมันเดินทางต่อไป
......................
หลังจากเดินลงภูเขาขนาดใหญ่ จี้เทียนซิงก็พบต้นไม้สีแดงเข้มจำนวนหนึ่งภายในถ้ำหินที่เชิงเขา
อากาศในถ้ำนั้นร้อนและเต็มไปด้วยเปลวไฟ ต้นไม้สีแดงเข้มก็เต็มไปด้วยผลไม้สีแดง
บรรยากาศเบื้องหน้านั้นราวกับโลกสีแดง
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่ผลไม้บนต้นไม้อยู่ครู่หนึ่งและระบุได้ว่ามันคือผลสีชาด, ผลไม้วิญญาณที่ล้ำค่าชนิดหนึ่ง
เขาหยิบฉวยพวกมันมาสองผล
และที่เหลือโยนเข้าไปเก็บไว้ในแหวนมิติ
เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกำลังปรับแต่งพลังของแกนอสูรอย่างเงียบงัน
ดังนั้นพวกมันจึงมิได้สนใจผลสีชาดมากนัก
จี้เทียนซิงจึงใช้ผลสีชาดสองผลนี้เพื่อช่วยในการปรับแต่งและพัฒนาความแข็งแกร่ง
ด้วยพลังอันพรั่งพรูของผลสีชาด เขาใช้พวกมันในการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่
ผลที่ออกมาทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ประหลาดใจที่พบว่าร่างกายของตนเองกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งขนาดร่างกายของเขาก็ค่อยๆฟื้นฟู
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เขาได้ตระหนักถึงความเป็นไปของโลกที่แปลกประหลาดใบนี้อีกเล็กน้อย
เขาร้องเรียกเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยให้เดินทางต่อ ทั้งสามปีนขึ้นไปบนภูเขาเบื้องหน้า
บนภูเขาหินที่รกร้างนี้ เขาได้พบหมาป่าเทาเงินที่มีความยาวมากกว่าสามสิบเมตร
พอๆกับจวนสามชั้น !
แน่นอนว่าหมาป่าตัวนี้ก็เป็นสัตว์อสูรยักษ์ที่ควบแน่นแกนอสูร
ความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับขอบเขตปราณโอสถ
หนำซ้ำยังแข็งแกร่งกว่ากิ้งก่ายักษ์สองตัวก่อนหน้านี้
จี้เทียนซิงสังเกตมันอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่ารอยเท้ายักษ์ที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ก็คือหมาป่าตัวนี้อย่างแน่นอน
บนภูเขาหินที่เปิดโล่ง พวกเขาถูกหมาป่าปีศาจเหล่านี้พบเห็นได้อย่างง่ายดายเนื่องจากไม่มีที่ซ่อนตัว
และไม่อาจหลบหนีได้
ด้วยเหตุนี้ จี้เทียนซิง
เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็จำเป็นต้องเข้าต่อสู้กับหมาป่าปีศาจอย่างอับจนปัญญาเท่านั้น
จี้เทียนซิงแสดงทักษะของเพียงกระบี่ดาราเหินออกมา
ปลดปล่อยคลื่นกระบี่อันพร่างพราวออกมาต่อกรกับหมาป่าปีศาจ
ส่วนเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็ช่วยโจมตีเสริมโดยการปล่อยคลื่นลำแสงต่างๆเพื่อโจมตีหมาป่าปีศาจ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
สั่นสะเทือนยอดเขาอย่างรุนแรง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง ก่อเกิดพายุเฮอริเคนขึ้น
การต่อสู้กินเวลาราวๆครึ่งชั่วยามก่อนที่มันจะจบลง
หมาป่าปีศาจเหลือเพียงดวงตาข้างเดียวและถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผลกระบี่มากมายจนมองเห็นกระดูกขาวได้อย่างชัดเจน
โลหิตของมันไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนจี้เทียนซิง
เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยล้วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
พวกเขาต่างก็มีท่าทีดูอ่อนล้า
เมื่อเห็นปีศาจหมาป่าหันหลังกลับและหนีไป
มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่อยู่กึ่งกลางภูเขา
จี้เทียนซิงกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองก็รีบตามล่า
พวกเขาไล่ล่าวิ่งตามอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหมาป่าปีศาจกำลังจะเข้าไปในถ้ำ
จี้เทียนซิงพลันปะทุหัตถ์เปลวอัคคี ยิ่งเปลวเพลิงขนาดใหญ่ออกไป
"บูม !"
หัตถ์เปลวอัคคีที่ปกคลุมดวงอาทิตย์และท้องฟ้า
ตะปบร่างหมาป่าปีศาจจมลงพื้นและกระแทกถ้ำพังไปครึ่งหนึ่ง
หมาป่าปีศาจดำเป็นตอตะโก
ร่างกายของมันบิดเบี้ยวชักกระตุกใกล้สิ้นใจ
จี้เทียนซิงซัดปราณกระบี่ออกไปสองสายเพื่อปลิดชีพมันอย่างหมดจด
หลังจากหมาป่าปีศาจตายไป
เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็ปรี่เข้าไปขุดซากร่างของมัน งัดแกนอสูรออกมา
แกนอสูรก้อนนี้ไม่เพียงแค่มีขนาดและรูปร่างที่ใหญ่โตเท่านั้น
แต่มันยังมีทักษะของสัตว์ปีศาจอายุหลายสิบปีอัดแน่นเอาไว้
เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยโห่ร้องยินดี
พวกมันแบ่งกันสวาปามแกนอสูรก้อนนั้นด้วยความตื่นเต้นและปรับแต่งพลังของมันอย่างรวดเร็ว
เมื่อพลังของแกนอสูรถูกกลืนกินหมดสิ้น
ความแข็งแกร่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งขนาดของร่างกายก็ค่อยๆโตขึ้นเป็นเงาตามตัว
“ไปกันต่อเถอะ”
............
อีกหลายชั่วโมงต่อมา
จี้เทียนซิงก็พาเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า
ปลิดชีพสัตว์อสูรตามรายทางไปมากมาย
สัตว์อสูรเหล่านี้แปลกประหลาดมาก
พวกมันมีทั้ง ยุงสูบโลหิตมนุษย์ มดยักษ์ยาวสองเมตร
แมงป่องพิษยาวสามเมตรและงูหลามยาวกว่าสิบเมตร ฯลฯ
แมลงและสัตว์ทุกชนิดซึ่งแต่เดิมมีขนาดเล็กกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์
หนำซ้ำพวกมันทุกตัวยังมีแกนพลังอสูรควบแน่นอยู่ในร่าง
ซึ่งทำให้ดวงตาของจี้เทียนซิงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
แกนอสูรที่อัดแน่นไปด้วยพลังที่จี้เทียนซิงได้มานั้นถูกสัตว์เลี้ยงทั้งสองของเขาเขมือบก้อนแล้วก้อนเล่า
ทำให้พวกมันสามารถฟื้นความสามารถและพลังได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนผลไม้วิญญาณที่เขาได้รับมาตามรายทางก็ถูกเก็บตุนไว้ในแหวนมิติ
ประมาณสี่ชั่วยามต่อมา พวกเขาสังหารสัตว์อสูรในขอบเขตปราณโอสถไปมากกว่าเก้าตัวและยังได้รับผลวิญญาณมากกว่าสามสิบลูก
เมื่อมาถึงจุดนี้
จี้เทียนซิงก็สามารถบรรเทาจุดฝังเข็มจุดที่ห้าของเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่หกได้สำเร็จ
ซึ่งทำให้เขาอยู่ห่างจากขอบเขตปราณจิตขั้นที่เจ็ดอีกไม่ไกล !
นอกจากนี้รูปร่างและขนาดของร่างกายก็ยังกลับคืนสู่ปรกติอีกด้วย
เช่นเดียวกับเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ย
พวกมันกลืนแกนอสูรไปมากมายจนทำให้ความแข็งแกร่งรุดหน้าไปอย่างมาก ในที่สุดพวกมันก็กลับคืนสู่ขนาดร่างเดิมก่อนที่จะเข้ามาในหอคอย
จนถึงเวลานี้
ในที่สุดจี้เทียนซิงกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองก็ไม่จำเป็นต้องลุยดะไปมั่วซั่วทั่วภูเขาอีกแล้ว
เขาให้เสี่ยวเฮยหลงแปลงกายกลับเป็นกระบี่มังกรดำและขึ้นขี่เฉียนเยวี่ยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ระหว่างที่บินไปบนท้องฟ้าด้วยความสูงหลายกิโลเมตร
มันสงบสุขและปลอดภัยมาตลอดทาง
ถึงแม้พวกเขาจะพบกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่จำนวนมากตลอดทาง
แต่สัตว์อสูรเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้อีกต่อไป
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
จี้เทียนซิงขี่เฉียนเยวี่ยบินข้ามภูเขาลูกใหญ่มาลูกหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาได้เห็นเงาร่างเล็กๆสีขาวบนยอดเขาที่กำลังต่อกรกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่สองตัว
“เฉียนเยวี่ย ลงไปดูหน่อย” จี้เทียนซิงบอกเฉียนเยวี่ยให้ลงจอดอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เงาร่างเล็กๆสีขาวก็สังหารสัตว์อสูรยักษ์ได้ในที่สุด.....
แต่ท่าทางของมันกลับดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
คนกระแทกก้นลงพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนัก
จี้เทียนซิงเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นได้ชัดตาว่าร่างสีขาวนี้ก็คือซื่อเหวินหยูนั่นเอง
ในเวลานี้ซื่อเหวินหยูมีความสูงเพียงครึ่งเมตรเหมือนเด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบ
เสื้อคลุมสีขาวที่มันสวมนั้นเต็มไปด้วยรูโหว่และคราบเลือด
ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น
ผมยาวที่เคยรวบไว้เป็นหางม้าของมันสยายออกราวกับคนเสียสติ
จี้เทียนซิงเดินเข้าใกล้อีกฝ่ายพลางจ้องมองอย่างเฉยเมยกล่าวว่า "ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะผ่านโลกที่สี่มาถึงที่นี่ได้"
ซื่อเหวินหยูขมวดคิ้วจ้องมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าและเห็นว่าจี้เทียนซิงไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บรุนแรง
มันอดไม่ได้ที่จะคำรามออกมาด้วยความโกรธ “จี้เทียนซิง ไอ้คนสารเลว !”
"หากเจ้าร่วมมือกับข้า พวกเราคงสังหารแมงมุมบ้านั่นและผ่านโลกที่สี่ได้อย่างง่ายดาย ข้าคงไม่บาดเจ็บหนักขนาดนี้....."
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว
จากนั้นแสยะยิ้มมุมปากหัวเราะ “ฮ่าๆ เจ้านี่เป็นคนตลกดีนะซื่อเหวินหยู
ข้ากับเจ้ามิใช่ทั้งมิตรและศัตรู เหตุใดข้าต้องร่วมมือ ?”
"นอกจากนี้
การผ่านโลกที่สี่ยังมีวิธีการที่รวบรัดง่ายดายอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเจ้าเลือกใช้วิธีที่โหดเหี้ยมและแก้ปัญหาโดยการฆ่าคน
การที่เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”
ซื่อเหวินหยูได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีสารรูปอนาถา เมื่อได้ยินคำพูดตอกย้ำของจี้เทียนซิงอีกครั้ง
สีหน้าของมันก็ซีดเซียวจนแทบอาเจียนเป็นเลือด
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved