ตอนที่ 325 แทบอาเจียนเป็นเลือด

เมื่อเห็นเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกลืนแกนอสูรเข้าไป

จี้เทียนซิงพลันขมวดคิ้วในระหว่างที่มองดูสีหน้าเปี่ยมสุขของพวกมัน

"พวกเจ้าทั้งสอง.......

เล่นกลืนแกนอสูรเข้าไปแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีอะไรผิดปรกติหรือ ?!"

เขารู้ว่านี่เป็นโลกที่ห้าบนหอคอยเจ็ดดาวซึ่งเป็นโลกที่แปลกประหลาด

ทุกอย่างกลับตาลปัตร

สิ่งที่เคยมีขนาดเล็กกลับกลายเป็นขนาดใหญ่มหึมา

ส่วนของใหญ่กลับกลายเป็นมีขนาดเล็ก

โลกที่แปลกและประหลาดเช่นนี้ สมควรเป็นโลกแห่งภาพมายาอีกแห่งหนึ่ง

เนื่องจากมันเป็นภาพลวงตา

กิ้งก่ายักษ์สองตัวนี้ก็อาจจะมีมีบางอย่างผิดปรกติเช่นกัน

เขาจึงเป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกลืนแกนอสูรเข้าไปแล้วเกิดอาการผิดปรกติขึ้นมา

เฉียนเยวี่ยรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า "สหายจี้

เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถึงแม้โลกใบนี้จะแปลก

แต่กิ้งก่ายักษ์ทั้งสองและแกนอสูรของพวกมันก็เป็นของจริง"

"สำหรับข้ากับเสี่ยวเฮยหลงแล้ว การดูดกลืนและปรับแต่งแกนอสูรขนาดใหญ่นั้นสามารถฟื้นฟูความสามารถของพวกข้าได้เร็วกว่าการกินโอสถวิญญาณหรือผลไม้วิญญาณด้วยซ้ำ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

เพียงอยู่เงียบๆเฝ้ามองปฏิกิริยาของพวกมัน

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พบว่าทักษะความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยได้ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างมากมาย

อีกทั้งขนาดของพวกมันก็ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย

เมื่อเห็นและมั่นใจว่าพวกมันไม่มีอะไรผิดปกติก็โล่งใจ

จากนั้นก็ชักชวนพวกมันเดินทางต่อไป

......................

หลังจากเดินลงภูเขาขนาดใหญ่ จี้เทียนซิงก็พบต้นไม้สีแดงเข้มจำนวนหนึ่งภายในถ้ำหินที่เชิงเขา

อากาศในถ้ำนั้นร้อนและเต็มไปด้วยเปลวไฟ ต้นไม้สีแดงเข้มก็เต็มไปด้วยผลไม้สีแดง

บรรยากาศเบื้องหน้านั้นราวกับโลกสีแดง

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่ผลไม้บนต้นไม้อยู่ครู่หนึ่งและระบุได้ว่ามันคือผลสีชาด, ผลไม้วิญญาณที่ล้ำค่าชนิดหนึ่ง

เขาหยิบฉวยพวกมันมาสองผล

และที่เหลือโยนเข้าไปเก็บไว้ในแหวนมิติ

เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยกำลังปรับแต่งพลังของแกนอสูรอย่างเงียบงัน

ดังนั้นพวกมันจึงมิได้สนใจผลสีชาดมากนัก

จี้เทียนซิงจึงใช้ผลสีชาดสองผลนี้เพื่อช่วยในการปรับแต่งและพัฒนาความแข็งแกร่ง

ด้วยพลังอันพรั่งพรูของผลสีชาด เขาใช้พวกมันในการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่

ผลที่ออกมาทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว

หลังจากนั้นเขาก็ประหลาดใจที่พบว่าร่างกายของตนเองกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งขนาดร่างกายของเขาก็ค่อยๆฟื้นฟู

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เขาได้ตระหนักถึงความเป็นไปของโลกที่แปลกประหลาดใบนี้อีกเล็กน้อย

เขาร้องเรียกเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยให้เดินทางต่อ  ทั้งสามปีนขึ้นไปบนภูเขาเบื้องหน้า

บนภูเขาหินที่รกร้างนี้ เขาได้พบหมาป่าเทาเงินที่มีความยาวมากกว่าสามสิบเมตร

พอๆกับจวนสามชั้น !

แน่นอนว่าหมาป่าตัวนี้ก็เป็นสัตว์อสูรยักษ์ที่ควบแน่นแกนอสูร

ความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับขอบเขตปราณโอสถ

หนำซ้ำยังแข็งแกร่งกว่ากิ้งก่ายักษ์สองตัวก่อนหน้านี้

จี้เทียนซิงสังเกตมันอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่ารอยเท้ายักษ์ที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ก็คือหมาป่าตัวนี้อย่างแน่นอน

บนภูเขาหินที่เปิดโล่ง พวกเขาถูกหมาป่าปีศาจเหล่านี้พบเห็นได้อย่างง่ายดายเนื่องจากไม่มีที่ซ่อนตัว

และไม่อาจหลบหนีได้

ด้วยเหตุนี้ จี้เทียนซิง

เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็จำเป็นต้องเข้าต่อสู้กับหมาป่าปีศาจอย่างอับจนปัญญาเท่านั้น

จี้เทียนซิงแสดงทักษะของเพียงกระบี่ดาราเหินออกมา

ปลดปล่อยคลื่นกระบี่อันพร่างพราวออกมาต่อกรกับหมาป่าปีศาจ

ส่วนเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็ช่วยโจมตีเสริมโดยการปล่อยคลื่นลำแสงต่างๆเพื่อโจมตีหมาป่าปีศาจ

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด

สั่นสะเทือนยอดเขาอย่างรุนแรง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง ก่อเกิดพายุเฮอริเคนขึ้น

การต่อสู้กินเวลาราวๆครึ่งชั่วยามก่อนที่มันจะจบลง

หมาป่าปีศาจเหลือเพียงดวงตาข้างเดียวและถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผลกระบี่มากมายจนมองเห็นกระดูกขาวได้อย่างชัดเจน

โลหิตของมันไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนจี้เทียนซิง

เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยล้วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

พวกเขาต่างก็มีท่าทีดูอ่อนล้า

เมื่อเห็นปีศาจหมาป่าหันหลังกลับและหนีไป

มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่อยู่กึ่งกลางภูเขา

จี้เทียนซิงกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองก็รีบตามล่า

พวกเขาไล่ล่าวิ่งตามอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหมาป่าปีศาจกำลังจะเข้าไปในถ้ำ

จี้เทียนซิงพลันปะทุหัตถ์เปลวอัคคี ยิ่งเปลวเพลิงขนาดใหญ่ออกไป

"บูม !"

หัตถ์เปลวอัคคีที่ปกคลุมดวงอาทิตย์และท้องฟ้า

ตะปบร่างหมาป่าปีศาจจมลงพื้นและกระแทกถ้ำพังไปครึ่งหนึ่ง

หมาป่าปีศาจดำเป็นตอตะโก

ร่างกายของมันบิดเบี้ยวชักกระตุกใกล้สิ้นใจ

จี้เทียนซิงซัดปราณกระบี่ออกไปสองสายเพื่อปลิดชีพมันอย่างหมดจด

หลังจากหมาป่าปีศาจตายไป

เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยก็ปรี่เข้าไปขุดซากร่างของมัน งัดแกนอสูรออกมา

แกนอสูรก้อนนี้ไม่เพียงแค่มีขนาดและรูปร่างที่ใหญ่โตเท่านั้น

แต่มันยังมีทักษะของสัตว์ปีศาจอายุหลายสิบปีอัดแน่นเอาไว้

เสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยโห่ร้องยินดี

พวกมันแบ่งกันสวาปามแกนอสูรก้อนนั้นด้วยความตื่นเต้นและปรับแต่งพลังของมันอย่างรวดเร็ว

เมื่อพลังของแกนอสูรถูกกลืนกินหมดสิ้น

ความแข็งแกร่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งขนาดของร่างกายก็ค่อยๆโตขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ไปกันต่อเถอะ”

............

อีกหลายชั่วโมงต่อมา

จี้เทียนซิงก็พาเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า

ปลิดชีพสัตว์อสูรตามรายทางไปมากมาย

สัตว์อสูรเหล่านี้แปลกประหลาดมาก

พวกมันมีทั้ง ยุงสูบโลหิตมนุษย์ มดยักษ์ยาวสองเมตร

แมงป่องพิษยาวสามเมตรและงูหลามยาวกว่าสิบเมตร ฯลฯ

แมลงและสัตว์ทุกชนิดซึ่งแต่เดิมมีขนาดเล็กกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์

หนำซ้ำพวกมันทุกตัวยังมีแกนพลังอสูรควบแน่นอยู่ในร่าง

ซึ่งทำให้ดวงตาของจี้เทียนซิงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

แกนอสูรที่อัดแน่นไปด้วยพลังที่จี้เทียนซิงได้มานั้นถูกสัตว์เลี้ยงทั้งสองของเขาเขมือบก้อนแล้วก้อนเล่า

ทำให้พวกมันสามารถฟื้นความสามารถและพลังได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนผลไม้วิญญาณที่เขาได้รับมาตามรายทางก็ถูกเก็บตุนไว้ในแหวนมิติ

ประมาณสี่ชั่วยามต่อมา พวกเขาสังหารสัตว์อสูรในขอบเขตปราณโอสถไปมากกว่าเก้าตัวและยังได้รับผลวิญญาณมากกว่าสามสิบลูก

เมื่อมาถึงจุดนี้

จี้เทียนซิงก็สามารถบรรเทาจุดฝังเข็มจุดที่ห้าของเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่หกได้สำเร็จ

ซึ่งทำให้เขาอยู่ห่างจากขอบเขตปราณจิตขั้นที่เจ็ดอีกไม่ไกล !

นอกจากนี้รูปร่างและขนาดของร่างกายก็ยังกลับคืนสู่ปรกติอีกด้วย

เช่นเดียวกับเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ย

พวกมันกลืนแกนอสูรไปมากมายจนทำให้ความแข็งแกร่งรุดหน้าไปอย่างมาก ในที่สุดพวกมันก็กลับคืนสู่ขนาดร่างเดิมก่อนที่จะเข้ามาในหอคอย

จนถึงเวลานี้

ในที่สุดจี้เทียนซิงกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองก็ไม่จำเป็นต้องลุยดะไปมั่วซั่วทั่วภูเขาอีกแล้ว

เขาให้เสี่ยวเฮยหลงแปลงกายกลับเป็นกระบี่มังกรดำและขึ้นขี่เฉียนเยวี่ยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ระหว่างที่บินไปบนท้องฟ้าด้วยความสูงหลายกิโลเมตร

มันสงบสุขและปลอดภัยมาตลอดทาง

ถึงแม้พวกเขาจะพบกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่จำนวนมากตลอดทาง

แต่สัตว์อสูรเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้อีกต่อไป

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม

จี้เทียนซิงขี่เฉียนเยวี่ยบินข้ามภูเขาลูกใหญ่มาลูกหนึ่ง

ทันใดนั้นเขาได้เห็นเงาร่างเล็กๆสีขาวบนยอดเขาที่กำลังต่อกรกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่สองตัว

“เฉียนเยวี่ย ลงไปดูหน่อย”  จี้เทียนซิงบอกเฉียนเยวี่ยให้ลงจอดอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เงาร่างเล็กๆสีขาวก็สังหารสัตว์อสูรยักษ์ได้ในที่สุด.....

แต่ท่าทางของมันกลับดูเหนื่อยล้าอย่างมาก

คนกระแทกก้นลงพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนัก

จี้เทียนซิงเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นได้ชัดตาว่าร่างสีขาวนี้ก็คือซื่อเหวินหยูนั่นเอง

ในเวลานี้ซื่อเหวินหยูมีความสูงเพียงครึ่งเมตรเหมือนเด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบ

เสื้อคลุมสีขาวที่มันสวมนั้นเต็มไปด้วยรูโหว่และคราบเลือด

ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น

ผมยาวที่เคยรวบไว้เป็นหางม้าของมันสยายออกราวกับคนเสียสติ

จี้เทียนซิงเดินเข้าใกล้อีกฝ่ายพลางจ้องมองอย่างเฉยเมยกล่าวว่า "ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะผ่านโลกที่สี่มาถึงที่นี่ได้"

ซื่อเหวินหยูขมวดคิ้วจ้องมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าและเห็นว่าจี้เทียนซิงไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บรุนแรง

มันอดไม่ได้ที่จะคำรามออกมาด้วยความโกรธ “จี้เทียนซิง ไอ้คนสารเลว !”

"หากเจ้าร่วมมือกับข้า พวกเราคงสังหารแมงมุมบ้านั่นและผ่านโลกที่สี่ได้อย่างง่ายดาย  ข้าคงไม่บาดเจ็บหนักขนาดนี้....."

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

จากนั้นแสยะยิ้มมุมปากหัวเราะ “ฮ่าๆ เจ้านี่เป็นคนตลกดีนะซื่อเหวินหยู

ข้ากับเจ้ามิใช่ทั้งมิตรและศัตรู เหตุใดข้าต้องร่วมมือ ?”

"นอกจากนี้

การผ่านโลกที่สี่ยังมีวิธีการที่รวบรัดง่ายดายอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเจ้าเลือกใช้วิธีที่โหดเหี้ยมและแก้ปัญหาโดยการฆ่าคน

การที่เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”

ซื่อเหวินหยูได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีสารรูปอนาถา  เมื่อได้ยินคำพูดตอกย้ำของจี้เทียนซิงอีกครั้ง

สีหน้าของมันก็ซีดเซียวจนแทบอาเจียนเป็นเลือด