ความผิดปกติบนภูเขามังกร
จี้เทียนซิงมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านนอกลานกว้าง
ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
หากไม่เห็นกับตาคงไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถทำลายต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านเท่าถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ได้
อีกทั้งยังเผามันจนเป็นเถ้าถ่านในพริบตา !
พลังทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้คืออะไร
? นี่เป็นเพลงกระบี่แน่หรือ ?!
หลังจากสำแดงพริบตาดารามังกรแดงจบ
เซี่ยงหวู่จี้ก็สะบัดปลายแขนเสื้อด้วยท่วงท่าสง่างาม
จากนั้นก็หันมามองจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าหนู เห็นชัดไหม
มองทันหรือเปล่า ?”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดว่า
"ผู้เยาว์เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว
แต่ขอให้ผู้อาวุโสอธิบายให้กระจ่างถึงวิธีส่งผ่านพลังทำลายอันรุนแรงและรวดเร็วนี้
... "
มองผิวเผินย่อมแน่นอนว่าพลังทำลายของพริบตาดารามังกรแดงนั้นน่าสะพรึงกลัว
แต่ใครจะรู้ว่าวิธีการโคจรพลังและวิถีทางในการใช้เพลงกระบี่นี้มีความซับซ้อนมาก
เซี่ยงหวู่จี้อธิบายรายละเอียดให้จี้เทียนซิงฟัง
จนชายหนุ่มตระหนักได้ถึงหัวใจหลักและแก่นแท้ของเพลงกระบี่ชุดนี้
เขาขมวดคิ้วและนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับเซี่ยงหวู่จี้ว่า
“ผู้อาวุโส ยามที่ท่านสำแดงเพลงกระบี่ให้ข้าดู ท่านมักจะโคจรพลังลมปราณสีฟ้า
เช่นนั้นแล้วทำไมท่านถึงใช้พลังลมปราณธาตุไฟได้เล่า ?”
“เจ้าเซ่อ !”
เซี่ยงหวู่จี้ตะคอกเสียงดังแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาอธิบายต่อไปว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ที่เหยียบย่างไปถึงขอบเขตปราณฟ้าจะสามารถรวบรวมพลังของธาตุทั้งห้าและเรียกใช้ธาตุทั้งห้านี้ผสานกับพลังลมปราณได้ตามต้องการ”
“ยอดฝีมือในขอบเขตนี้ไม่เพียงแค่ลอยได้
แต่ยังสามารถบินทะยานไปทั่วโลกได้ เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าใช้พริบตาดารามังกรแดง ข้าใช้พลังลมปราณแค่ส่วนเดียวเท่านั้นเอง”
“ถ้าหากข้าใช้เพลงกระบี่นี้อย่างเอาจริงเอาจัง
ลำแสงกระบี่มังกรแดงอาจทอดยาวได้ถึง 100
เมตรและสามารถทำลายภูเขาได้ทั้งลูก
!”
จี้เทียนซิงยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับขอบเขตปราณฟ้ามากนัก
เนื่องจากขอบเขตพลังลมปราณในระดับนี้สูงส่งและเหนือล้ำเกินความเข้าใจ
มันเป็นดั่งตำนานสำหรับเขา
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซี่ยงหวู่จี้
ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ตกตะลึงเท่านั้น แต่เขายังบังเกิดความคาดหวังและความปรารถนาที่ลึกซึ้งขึ้น
แล้วก็แน่นอน
ในที่สุดจี้เทียนซิงก็สามารถหยั่งรู้ถึงระดับพลังฝีมือของตาแก่ผู้นี้ได้เสียที
ตาแก่ขี้หงุดหงิดคนนี้คือสุดยอดฝีมือในขอบเขตปราณฟ้าในตำนาน !
จี้เทียนซิงสลัดความคิดที่ล่องลอยในหัวและถามเซี่ยงหวู่จี้อีกครั้งด้วยความสงสัยว่า
“ผู้อาวุโส ท่านอยู่ในขอบเขตพลังยุทธ์ที่สามารถควบคุมพลังของธาตุทั้งห้าได้
ดังนั้นท่านถึงสามารถควบคุมพลังลมปราณธาตุไฟเพื่อใช้พริบตาดารามังกรแดง”
“แต่ว่าผู้เยาว์มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรกเท่านั้น
อีกทั้งยังเป็นพลังปราณธาตุทอง เช่นนั้นแล้วข้าจะฝึกกระบวนท่านี้ได้อย่างไรเล่า ?”
“เอ่อ......... อืม...”
ปัญหานี้ทำให้เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วและลังเล หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาก็อธิบายว่า “นี่เป็นปัญหาจริงๆด้วย
ข้าเลินเล่อไปเองจนลืมเสียสนิท”
“เพลงกระบี่ดาราเหินชุดนี้ข้าเป็นผู้รังสรรค์มันขึ้นมาเองจากประสบการณ์ชั่วชีวิต
ซึ่งสองกระบี่แรกนั้นสามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้ด้วยพลังของยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิต ส่วน......กระบี่ที่สาม พริบตาดารามังกรแดงนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องใช้งานโดยผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณฟ้าขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถสำแดงอานุภาพได้ถึงขีดสุด
เนื่องจากมันเป็นเพลงกระบี่ธาตุไฟ
หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ปราณฟ้าก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีธาตุไฟเป็นธาตุประจำตัว"
“แต่เอาเถอะ
ในเมื่อเจ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันแล้ว
ข้าว่าเจ้าน่าจะสามารถลัดขั้นตอนฝึกฝนกระบี่นี้ได้ แม้เจ้าจะไม่มีพลังปราณธาตุไฟ
แต่เจ้าอาจจะใช้ปราณทองคำสำแดงพลังของมันแทนได้
ซึ่งวิธีการโคจรพลังและกระบวนท่ายังคงเหมือนเดิม
เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะแตกต่างกันออกไป
........คิดว่านะ...”
“เอาล่ะ เจ้าควรจะลองฝึกฝนดูก่อน
เมื่อในอนาคตเจ้าย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณฟ้า เมื่อนั้นเจ้าจะใช้พลังทั้งหมดของมันได้”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายยืดยาวของเซี่ยงหวู่จี้
จี้เทียนซิงก็รู้สึกซาบซึ้งและรีบคารวะขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ต่อมา
ภายใต้คำแนะนำของเซี่ยงหวู่จี้ เขาก็เริ่มฝึกพริบตาดารามังกรแดงทันที
ครั้งแรกที่ร่ายกระบวนท่านี้
เขาก็สามารถซัดพลังปราณปลดปล่อยเป็นลำแสงกระบี่มังกรสีทองยาวสองเมตรได้สำเร็จ
คลื่นลำแสงกระบี่สีทองลุกโชนเป็นเปลวเพลิงสีทองที่ปรากฏออกมาในรูปลักษณ์มังกรที่ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ดีเท่ามังกรแดงของเซี่ยงหวู่จี้
แต่ก็ทำให้รู้สึกประทับใจได้ไม่น้อย
"ปัง !"
เสียงอู้อี้ดังขึ้น ลำแสงกระบี่ในรูปลักษณ์มังกรสีทองบินออกไปไกล 20 เมตรและระเบิดกำแพงตำหนักในทันที
ณ จุดนั้น กำแพงถูกทำลายเป็นหลุมและเกิดรอยปริแตกมากมาย
เซี่ยงหวู่ดูข้องใจเล็กน้อย
แต่เมื่อฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง เขาก็เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขและพึงพอใจพลางกล่าวชมว่า
“ฮ่าๆ ไอ้หนูนี่ไม่เลว
เพียงฝึกครั้งแรกก็สำแดงออกมาเป็นลำแสงกระบี่มังกรได้สำเร็จ
ถึงแม้มันจะดูเลือนลางไปหน่อยก็เถอะ”
“อย่างไรก็ตาม
ของข้านั้นเรียกว่าลำแสงกระบี่มังกรแดงได้เต็มปาก
ส่วนของเจ้าควรเรียกว่าลำแสงกระบี่งูทองคำซะมากกว่า..... เอาเถอะๆ
พยายามให้มากเข้าและฝึกฝนให้หนักก็แล้วกัน !”
จี้เทียนซิงย่อมเข้าใจอย่างแน่นอนว่าเพียงฝึกฝนครั้งแรกกลับสามารถบรรลุผลได้ถึงเพียงนี้นั้นถือว่ายอดเยี่ยมเพียงใด
เซี่ยงหวู่จี้จงใจเย้ยหยันถากถางมิใช่เพราะคิดจะดูหมิ่นดูแคลน
แต่เป็นเพราะว่าเขากลัวจี้เทียนซิงจะเหลิงจึงจงใจปากเสียเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้เขาพยายามฝึกฝนต่อไปก็เท่านั้น
หลังจากลองฝึกฝนอยู่หลายครั้งและได้รับคำแนะนำสอนสั่งจากเซี่ยงหวู่จี้
ในที่สุดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนท่าพริบตาดารามังกรแดงก็เริ่มที่จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
โดยไม่รู้ตัว
เวลาก็ผ่านพ้นมาถึงยามบ่าย
เซี่ยงหวู่จี้กำลังจะไปงีบหลับตามประสาคนแก่
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงอำลาจากไป
หลังจากกลับเข้ามาในพื้นที่หลักของนิกายพันธมิตรสวรรค์
ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังลานกว้างของฝ่ายนอก
เขาอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกวิชาที่ตำหนักไท่อันให้พ่อบ้านของนิกายฝ่ายนอกฟัง
เพื่อขอให้หน่วยซ่อมบำรุงของนิกายส่งส่งศิษย์รับใช้ไปซ่อมแซมลานกว้างและกำแพงที่ตำหนักไท่อันให้เซี่ยงหวู่จี้
เนื่องจากเขาไม่ถนัดในงานซ่อมแซมจำพวกนี้
ดังนั้นจึงต้องไหว้วานให้ศิษย์รับใช้เป็นผู้กระทำแทน
หลังจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
เขาก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ทันทีที่เข้ามาถึงในสวน
จี้เทียนซิงก็เห็นศิษย์หลายคนยืนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไทรและกระซิบกระซาบกันบางอย่าง
แต่เขาก็มิได้สนใจอะไรและเดินตรงกลับไปที่ห้อง
ทว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้อง
เนี่ยห่าวที่อยู่ห้องข้างๆก็เปิดประตูออกแล้วเอ่ยปากทักทาย
“พี่จี้ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและยิ้มให้อีกฝ่ายพลางกล่าวว่า
“ขอบใจมากที่เป็นห่วง ข้าปิดด่านรักษาตัวอยู่หลายวัน
ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว อีกไม่นานคงหายสนิท”
“อ่า... วิเศษ
เห็นท่านหายดีแล้วข้าก็เบาใจ” เนี่ยห่าวพยักหน้าอย่างโล่งอก
จากนั้นสายตาของเนี่ยห่าวก็เหลือบไปเห็นเหล่าศิษย์หลายคนที่กำลังกระซิบกระซาบกันใต้ต้นไทร
เขาจึงหันกลับมามองจี้เทียนซิงและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“พี่จี้ มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่ทราบ
ภูเขามังกรเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“หืม? ภูเขามังกร
? มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นงั้นหรือ ?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว
ดวงตาฉายแววครุ่นคิดสงสัยและกล่าวต่อไปว่า
“นิกายเราเป็นฝ่ายชนะและได้สิทธิ์ครอบครองเหนือภูเขาไปแล้วนี่
พอครบเจ็ดวันนิกายกระบี่ฟ้าควรจะต้องอพยพกลับไปไม่ใช่หรือ ? แล้วมันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีก ?”
เนี่ยห่าวส่ายหัวและอธิบายอย่างเคร่งขรึมว่า
“นิกายกระบี่ฟ้าทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้จริง
พวกมันอพยพผู้คนออกจากภูเขาภายในเวลาเพียงสองวัน”
“ดังนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เหล่าครูฝึก พ่อบ้านและอาวุโสของนิกายเราหลายคนถูกส่งตัวไปประจำการที่ภูเขามังกรพร้อมกับศิษย์รับใช้จำนวนมากและพวกเขาก็เริ่มจับจองพื้นที่ตั้งฐานกันบนภูเขา”
“แต่ทว่าเมื่อวานนี้เอง ศิษย์รับใช้ในทีมๆหนึ่งที่รับผิดชอบในการขุดค้นเส้นชีพจรปฐพีบนภูเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีผู้ใดพบเห็นว่าเป็นหรือตาย"
เมื่อกล่าวถึงประโยคหลังนี้
เนี่ยห่าวก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมและน้ำเสียงก็ยิ่งหนักอึ้ง
“ศิษย์รับใช้ร่วมสิบคนหายสาบสูญไปภายใต้สายตาของทุกคน
! พวกเราจึงสงสัยว่านิกายกระบี่ฟ้าเป็นผู้ลงมือ อาจเป็นไปได้ว่าพวกมันได้สูญเสียครั้งมโหฬารจึงทำให้ผูกใจเจ็บและไม่พอใจ”
“ตอนนี้ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งนิกายแล้ว
มันทำให้เหล่าศิษย์รับใช้กลัวจนไม่กล้าเข้าไปทำงานบนภูเขาแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านประมุขโกรธจัดมากหลังจากทราบเรื่องนี้
ท่านจึงออกคำสั่งให้ศิษย์พี่หยุนเหยาและอาวุโสฝ่ายนอกออกไปสอบสวนเรื่องนี้”
หลังจากได้ยินข่าวจากเนี่ยห่าว
จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วและขบคิดในใจลับๆว่า
“มิน่าเล่า เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งเห็นศิษย์พี่หยุนเหยาไปหาผู้อาวุโสชู
ที่แท้คงเป็นเรื่องนี้กระมัง
ข้าควรจะไปพบอาวุโสชูด้วยดีหรือไม่นะ ?”
สัมผัสเตือนภัยของจี้เทียนซิงทำงาน
เขารู้สึกว่าเรื่องผิดปกติบนภูเขามังกรนี้จะนำไปสู่พายุที่พัดเข้าหานิกาย
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็หันหลังและก้าวยาวๆไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
เนี่ยห่าวคว้าแขนอีกฝ่ายไว้และถามอย่างรวดเร็วว่า
“พี่จี้ ท่านจะไปไหน ท่านคิดจะทำอะไรนั่น ?”
“ข้าจะไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จี้เทียนซิงเดินออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังตำหนักที่ชูไฮว่ซานพักอาศัยอยู่
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved