ตอนที่ 205

ความผิดปกติบนภูเขามังกร

จี้เทียนซิงมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านนอกลานกว้าง

ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

หากไม่เห็นกับตาคงไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถทำลายต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านเท่าถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ได้

อีกทั้งยังเผามันจนเป็นเถ้าถ่านในพริบตา !

พลังทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้คืออะไร

? นี่เป็นเพลงกระบี่แน่หรือ ?!

หลังจากสำแดงพริบตาดารามังกรแดงจบ

เซี่ยงหวู่จี้ก็สะบัดปลายแขนเสื้อด้วยท่วงท่าสง่างาม

จากนั้นก็หันมามองจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าหนู  เห็นชัดไหม

มองทันหรือเปล่า ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดว่า

"ผู้เยาว์เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว

แต่ขอให้ผู้อาวุโสอธิบายให้กระจ่างถึงวิธีส่งผ่านพลังทำลายอันรุนแรงและรวดเร็วนี้

... "

มองผิวเผินย่อมแน่นอนว่าพลังทำลายของพริบตาดารามังกรแดงนั้นน่าสะพรึงกลัว

แต่ใครจะรู้ว่าวิธีการโคจรพลังและวิถีทางในการใช้เพลงกระบี่นี้มีความซับซ้อนมาก

เซี่ยงหวู่จี้อธิบายรายละเอียดให้จี้เทียนซิงฟัง

จนชายหนุ่มตระหนักได้ถึงหัวใจหลักและแก่นแท้ของเพลงกระบี่ชุดนี้

เขาขมวดคิ้วและนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับเซี่ยงหวู่จี้ว่า

“ผู้อาวุโส ยามที่ท่านสำแดงเพลงกระบี่ให้ข้าดู ท่านมักจะโคจรพลังลมปราณสีฟ้า

เช่นนั้นแล้วทำไมท่านถึงใช้พลังลมปราณธาตุไฟได้เล่า ?”

“เจ้าเซ่อ !”

เซี่ยงหวู่จี้ตะคอกเสียงดังแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร  เขาอธิบายต่อไปว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ที่เหยียบย่างไปถึงขอบเขตปราณฟ้าจะสามารถรวบรวมพลังของธาตุทั้งห้าและเรียกใช้ธาตุทั้งห้านี้ผสานกับพลังลมปราณได้ตามต้องการ”

“ยอดฝีมือในขอบเขตนี้ไม่เพียงแค่ลอยได้

แต่ยังสามารถบินทะยานไปทั่วโลกได้ เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าใช้พริบตาดารามังกรแดง ข้าใช้พลังลมปราณแค่ส่วนเดียวเท่านั้นเอง”

“ถ้าหากข้าใช้เพลงกระบี่นี้อย่างเอาจริงเอาจัง

ลำแสงกระบี่มังกรแดงอาจทอดยาวได้ถึง 100

เมตรและสามารถทำลายภูเขาได้ทั้งลูก

!”

จี้เทียนซิงยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับขอบเขตปราณฟ้ามากนัก

เนื่องจากขอบเขตพลังลมปราณในระดับนี้สูงส่งและเหนือล้ำเกินความเข้าใจ

มันเป็นดั่งตำนานสำหรับเขา

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซี่ยงหวู่จี้

ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ตกตะลึงเท่านั้น แต่เขายังบังเกิดความคาดหวังและความปรารถนาที่ลึกซึ้งขึ้น

แล้วก็แน่นอน

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็สามารถหยั่งรู้ถึงระดับพลังฝีมือของตาแก่ผู้นี้ได้เสียที

ตาแก่ขี้หงุดหงิดคนนี้คือสุดยอดฝีมือในขอบเขตปราณฟ้าในตำนาน !

จี้เทียนซิงสลัดความคิดที่ล่องลอยในหัวและถามเซี่ยงหวู่จี้อีกครั้งด้วยความสงสัยว่า

“ผู้อาวุโส ท่านอยู่ในขอบเขตพลังยุทธ์ที่สามารถควบคุมพลังของธาตุทั้งห้าได้

ดังนั้นท่านถึงสามารถควบคุมพลังลมปราณธาตุไฟเพื่อใช้พริบตาดารามังกรแดง”

“แต่ว่าผู้เยาว์มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรกเท่านั้น

อีกทั้งยังเป็นพลังปราณธาตุทอง เช่นนั้นแล้วข้าจะฝึกกระบวนท่านี้ได้อย่างไรเล่า ?”

“เอ่อ......... อืม...”

ปัญหานี้ทำให้เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วและลังเล หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาก็อธิบายว่า “นี่เป็นปัญหาจริงๆด้วย

ข้าเลินเล่อไปเองจนลืมเสียสนิท”

“เพลงกระบี่ดาราเหินชุดนี้ข้าเป็นผู้รังสรรค์มันขึ้นมาเองจากประสบการณ์ชั่วชีวิต

ซึ่งสองกระบี่แรกนั้นสามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้ด้วยพลังของยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิต  ส่วน......กระบี่ที่สาม พริบตาดารามังกรแดงนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องใช้งานโดยผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณฟ้าขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถสำแดงอานุภาพได้ถึงขีดสุด

เนื่องจากมันเป็นเพลงกระบี่ธาตุไฟ

หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ปราณฟ้าก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีธาตุไฟเป็นธาตุประจำตัว"

“แต่เอาเถอะ

ในเมื่อเจ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันแล้ว

ข้าว่าเจ้าน่าจะสามารถลัดขั้นตอนฝึกฝนกระบี่นี้ได้  แม้เจ้าจะไม่มีพลังปราณธาตุไฟ

แต่เจ้าอาจจะใช้ปราณทองคำสำแดงพลังของมันแทนได้

ซึ่งวิธีการโคจรพลังและกระบวนท่ายังคงเหมือนเดิม

เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะแตกต่างกันออกไป

........คิดว่านะ...”

“เอาล่ะ เจ้าควรจะลองฝึกฝนดูก่อน

เมื่อในอนาคตเจ้าย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณฟ้า เมื่อนั้นเจ้าจะใช้พลังทั้งหมดของมันได้”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายยืดยาวของเซี่ยงหวู่จี้

จี้เทียนซิงก็รู้สึกซาบซึ้งและรีบคารวะขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ต่อมา

ภายใต้คำแนะนำของเซี่ยงหวู่จี้ เขาก็เริ่มฝึกพริบตาดารามังกรแดงทันที

ครั้งแรกที่ร่ายกระบวนท่านี้

เขาก็สามารถซัดพลังปราณปลดปล่อยเป็นลำแสงกระบี่มังกรสีทองยาวสองเมตรได้สำเร็จ

คลื่นลำแสงกระบี่สีทองลุกโชนเป็นเปลวเพลิงสีทองที่ปรากฏออกมาในรูปลักษณ์มังกรที่ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน

ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ดีเท่ามังกรแดงของเซี่ยงหวู่จี้

แต่ก็ทำให้รู้สึกประทับใจได้ไม่น้อย

"ปัง !"

เสียงอู้อี้ดังขึ้น  ลำแสงกระบี่ในรูปลักษณ์มังกรสีทองบินออกไปไกล 20 เมตรและระเบิดกำแพงตำหนักในทันที

ณ จุดนั้น กำแพงถูกทำลายเป็นหลุมและเกิดรอยปริแตกมากมาย

เซี่ยงหวู่ดูข้องใจเล็กน้อย

แต่เมื่อฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง เขาก็เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขและพึงพอใจพลางกล่าวชมว่า

“ฮ่าๆ ไอ้หนูนี่ไม่เลว

เพียงฝึกครั้งแรกก็สำแดงออกมาเป็นลำแสงกระบี่มังกรได้สำเร็จ

ถึงแม้มันจะดูเลือนลางไปหน่อยก็เถอะ”

“อย่างไรก็ตาม

ของข้านั้นเรียกว่าลำแสงกระบี่มังกรแดงได้เต็มปาก

ส่วนของเจ้าควรเรียกว่าลำแสงกระบี่งูทองคำซะมากกว่า.....   เอาเถอะๆ

พยายามให้มากเข้าและฝึกฝนให้หนักก็แล้วกัน !”

จี้เทียนซิงย่อมเข้าใจอย่างแน่นอนว่าเพียงฝึกฝนครั้งแรกกลับสามารถบรรลุผลได้ถึงเพียงนี้นั้นถือว่ายอดเยี่ยมเพียงใด

เซี่ยงหวู่จี้จงใจเย้ยหยันถากถางมิใช่เพราะคิดจะดูหมิ่นดูแคลน

แต่เป็นเพราะว่าเขากลัวจี้เทียนซิงจะเหลิงจึงจงใจปากเสียเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้เขาพยายามฝึกฝนต่อไปก็เท่านั้น

หลังจากลองฝึกฝนอยู่หลายครั้งและได้รับคำแนะนำสอนสั่งจากเซี่ยงหวู่จี้

ในที่สุดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนท่าพริบตาดารามังกรแดงก็เริ่มที่จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ

โดยไม่รู้ตัว

เวลาก็ผ่านพ้นมาถึงยามบ่าย

เซี่ยงหวู่จี้กำลังจะไปงีบหลับตามประสาคนแก่

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงอำลาจากไป

หลังจากกลับเข้ามาในพื้นที่หลักของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังลานกว้างของฝ่ายนอก

เขาอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกวิชาที่ตำหนักไท่อันให้พ่อบ้านของนิกายฝ่ายนอกฟัง

เพื่อขอให้หน่วยซ่อมบำรุงของนิกายส่งส่งศิษย์รับใช้ไปซ่อมแซมลานกว้างและกำแพงที่ตำหนักไท่อันให้เซี่ยงหวู่จี้

เนื่องจากเขาไม่ถนัดในงานซ่อมแซมจำพวกนี้

ดังนั้นจึงต้องไหว้วานให้ศิษย์รับใช้เป็นผู้กระทำแทน

หลังจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมด

เขาก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ทันทีที่เข้ามาถึงในสวน

จี้เทียนซิงก็เห็นศิษย์หลายคนยืนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไทรและกระซิบกระซาบกันบางอย่าง

แต่เขาก็มิได้สนใจอะไรและเดินตรงกลับไปที่ห้อง

ทว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้อง

เนี่ยห่าวที่อยู่ห้องข้างๆก็เปิดประตูออกแล้วเอ่ยปากทักทาย

“พี่จี้ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและยิ้มให้อีกฝ่ายพลางกล่าวว่า

“ขอบใจมากที่เป็นห่วง ข้าปิดด่านรักษาตัวอยู่หลายวัน

ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว อีกไม่นานคงหายสนิท”

“อ่า... วิเศษ

เห็นท่านหายดีแล้วข้าก็เบาใจ” เนี่ยห่าวพยักหน้าอย่างโล่งอก

จากนั้นสายตาของเนี่ยห่าวก็เหลือบไปเห็นเหล่าศิษย์หลายคนที่กำลังกระซิบกระซาบกันใต้ต้นไทร

เขาจึงหันกลับมามองจี้เทียนซิงและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“พี่จี้ มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่ทราบ

ภูเขามังกรเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

“หืม? ภูเขามังกร

? มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นงั้นหรือ ?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

ดวงตาฉายแววครุ่นคิดสงสัยและกล่าวต่อไปว่า

“นิกายเราเป็นฝ่ายชนะและได้สิทธิ์ครอบครองเหนือภูเขาไปแล้วนี่

พอครบเจ็ดวันนิกายกระบี่ฟ้าควรจะต้องอพยพกลับไปไม่ใช่หรือ ? แล้วมันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีก ?”

เนี่ยห่าวส่ายหัวและอธิบายอย่างเคร่งขรึมว่า

“นิกายกระบี่ฟ้าทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้จริง

พวกมันอพยพผู้คนออกจากภูเขาภายในเวลาเพียงสองวัน”

“ดังนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เหล่าครูฝึก พ่อบ้านและอาวุโสของนิกายเราหลายคนถูกส่งตัวไปประจำการที่ภูเขามังกรพร้อมกับศิษย์รับใช้จำนวนมากและพวกเขาก็เริ่มจับจองพื้นที่ตั้งฐานกันบนภูเขา”

“แต่ทว่าเมื่อวานนี้เอง ศิษย์รับใช้ในทีมๆหนึ่งที่รับผิดชอบในการขุดค้นเส้นชีพจรปฐพีบนภูเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่มีผู้ใดพบเห็นว่าเป็นหรือตาย"

เมื่อกล่าวถึงประโยคหลังนี้

เนี่ยห่าวก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมและน้ำเสียงก็ยิ่งหนักอึ้ง

“ศิษย์รับใช้ร่วมสิบคนหายสาบสูญไปภายใต้สายตาของทุกคน

! พวกเราจึงสงสัยว่านิกายกระบี่ฟ้าเป็นผู้ลงมือ  อาจเป็นไปได้ว่าพวกมันได้สูญเสียครั้งมโหฬารจึงทำให้ผูกใจเจ็บและไม่พอใจ”

“ตอนนี้ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งนิกายแล้ว

มันทำให้เหล่าศิษย์รับใช้กลัวจนไม่กล้าเข้าไปทำงานบนภูเขาแล้ว”

“ข้าได้ยินมาว่าท่านประมุขโกรธจัดมากหลังจากทราบเรื่องนี้

ท่านจึงออกคำสั่งให้ศิษย์พี่หยุนเหยาและอาวุโสฝ่ายนอกออกไปสอบสวนเรื่องนี้”

หลังจากได้ยินข่าวจากเนี่ยห่าว

จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วและขบคิดในใจลับๆว่า

“มิน่าเล่า เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งเห็นศิษย์พี่หยุนเหยาไปหาผู้อาวุโสชู

ที่แท้คงเป็นเรื่องนี้กระมัง

ข้าควรจะไปพบอาวุโสชูด้วยดีหรือไม่นะ ?”

สัมผัสเตือนภัยของจี้เทียนซิงทำงาน

เขารู้สึกว่าเรื่องผิดปกติบนภูเขามังกรนี้จะนำไปสู่พายุที่พัดเข้าหานิกาย

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็หันหลังและก้าวยาวๆไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

เนี่ยห่าวคว้าแขนอีกฝ่ายไว้และถามอย่างรวดเร็วว่า

“พี่จี้ ท่านจะไปไหน ท่านคิดจะทำอะไรนั่น ?”

“ข้าจะไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จี้เทียนซิงเดินออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังตำหนักที่ชูไฮว่ซานพักอาศัยอยู่