ตอนที่ 49

เหี้ยมหาญและไร้ความปรานี

ท่ามกลางความมืดยามราตรี, ความเงียบสงบเข้าปกคลุมเคหะสถานของตระกูลจี้

ผู้คนในบ้านแต่ละหลังต่างก็นอนหลับพักผ่อนและมีเพียงหน่วยลาดตะเวนเท่านั้นที่ยังคงเดินตรวจตราความเรียบร้อย

จี้เทียนซิงสวมใส่อาภรณ์สีดำเดินออกจากห้องของตนผ่านสวนเล็กๆ

จากนั้นก็ออกทางประตูหลังตระกูลจี้

หลังจากบ่มเพาะมาร่วมครึ่งวัน

ตัวอ่อนกระบี่ของเขาก็เติบโตขึ้นอีก 40

% ทำให้ความสามารถของชายหนุ่มเพิ่มพูนสูงขึ้นไปอีก

เขาวิ่งออกไปทางประตูตะวันตกอย่างเงียบงันและรวดเร็วเหมือนนกนางแอ่นที่ปราดเปรียว

ในเมืองจักรวรรดิไม่ได้ห้ามผู้คนเข้าออกยามวิกาล

เขาจึงผ่านประตูเมืองออกไปได้อย่างง่ายดาย

แต่จี้เทียนซิงไม่ได้ใช้ถนนสายหลักในการเดินทาง เขาทะลุผ่านไปยังสวนดอกพลัม*

สวนดอกพลัมในชานเมืองด้านทิศตะวันตกกินพื้นที่กว่าหนึ่งพันตารางฟุตและเป็นพื้นที่ชมดอกพลัมที่ใหญ่ที่สุดนอกเมือง

ในทุกๆฤดูหนาวบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงในเมืองจักรวรรดิมักจะไปที่สวนดอกพลัมเพื่อเพลิดเพลินกับความงดงามของดอกไม้และงานศิลปะ

แต่ตอนนี้ยังเป็นเดือนเมษา

มีเพียงลำต้นเท่านั้นและดอกของมันยังไม่บาน

ดังนั้นในช่วงเวลานี้เวลากลางวันจะไม่ค่อยมีผู้คน

ยิ่งเข้าช่วงกลางคืนจะยิ่งเงียบสงัดเข้าไปอีก

สวนดอกพลัมในเวลานี้เงียบเสียยิ่งกว่าเงียบ

แม้แต่ผีสางก็เหมือนจะไม่อยากย่างกรายเข้ามา

จี้เทียนซิงนัดหมายไว้ที่นี่

สาเหตุหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงหูตาของผู้คน และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือมันสะดวกในการลงมือเต็มที่เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเฟย

เขารู้ว่าหลิงหยุนเฟยคิดจะฆ่าเขาอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นเขาจึงมั่นใจอย่างมากว่าหลิงหยุนเฟยจะต้องมาตามนัดหมายอย่างแน่นอนหลังจากได้รับจดหมาย

หลังจากมาถึงสวนดอกไม้พลัมแล้ว

จี้เทียนซิงก็ปีนเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่งโดยตรง

คฤหาสน์แห่งนี้เรียกว่าคฤหาสน์ดอกไม้พลัม

ในช่วงที่ดอกพลัมเบ่งบาน ประชาชนมักจะมารวมตัวกันและพักผ่อนที่นี่

แต่ตอนนี้ในคฤหาสน์ดอกไม้พลัมกลับเงียบสงัด

เงียบจนไม่มีแม้แต่เงาของภูตผีสักตัว

จี้เทียนซิงได้ส่งจดหมายนัดหมายกับหลิงหยุนเฟยให้มาพบกันที่คฤหาสน์ดอกไม้พลัมแห่งนี้

เขามองไปรอบๆคฤหาสน์และกระโดดขึ้นสูงสองจั้ง

ขึ้นไปบนหลังคาของห้องโถงใหญ่

ตำแหน่งนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดและสามารถมองเห็นได้ในรัศมีสิบไมล์

คืนนี้เต็มไปด้วยความมืดมิดและไร้ซึ่งแสงจันทร์

จี้เทียนซิงทำได้เพียงซุ่มบนหลังจากและสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบๆคฤหาสน์

ถ้าหากหลิงหยุนเฟยคิดไม่ซื่อพายอดฝีมือมาด้วย

เขาจะได้รู้ล่วงหน้าและวางแผนรับมือได้ถูก

แม้ว่าความเป็นไปได้ถึงกรณนี้จะไม่มากนัก

แต่เขาก็ต้องระวัง

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน  ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลานัดหมายแล้ว

จี้เทียนซิงนั่งยองๆคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนหลังคา

เขามองไปที่ประตูคฤหาสน์ดอกพลัมด้วยสายตาที่กระตือรือร้นและรอคอยอย่างอดทน

แซ่ก  แซ่ก ......

เสียงฝีเท้าเล็กๆดังขึ้นนอกประตูในที่สุด

เงาร่างสีดำเดินชดช้อยข้ามประตูคฤหาสน์มาอย่างเงียบงันและเข้ามาในลานกว้าง

ถึงแม้ว่าร่างนั้นจะสวมไว้ด้วยอาภรณ์สีดำสนิทและยังปิดทับไว้ด้วยผ้าคลุมหน้า

แต่อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงย่อมคุ้นเคยกับเรือนร่างนี้เป็นอย่างดีและจดจำได้ทันทีว่านี่คือหลิงหยุนเฟย

!

หลิงหยุนเฟยกุมฝักกระบี่สีดำและมองกวาดแววตาคู่งามมองไปรอบๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีการซุ่มโจมตีในคฤหาสน์

นางก็ตะโกนออกมาว่า “จี้เทียน ! ข้ามาแล้วไง

เจ้าออกมาได้แล้ว”

จี้เทียนซิงสังเกตรอบๆตัวหลิงหยุนเฟยอยู่พักหนึ่งจนมั่นใจว่านางมิได้พายอดฝีมือมาด้วยและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ  เขาจึงกระโดดลงจากหลังคาคฤหาสน์และตกลงที่เบื้องหน้าหลิงหยุนเฟย

เขากระชากผ้าคลุมหน้าของตนเองออกและจ้องมองไปที่หลิงหยุนเฟย

มุมปากโค้งขึ้นอย่างเย้ยหยันพลางกล่าวว่า

“หลิงหยุนเฟย เจ้ามั่นใจในตัวเองมากนักหรือไง

ถึงได้กล้ามาตามนัดเพียงลำพัง”

หลิงหยุนเฟยก็ปลดผ้าคลุมหน้าออก

เผยให้เห็นวงหน้างดงาม นางตอบกลับอย่างถากถางว่า “เฮอะ

ข้าเกรงว่าหากข้าพาคนมาด้วย เจ้าจะกลัวจนหัวหดและไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นเสียมากกว่า”

“ขยะที่ตันเถียนถูกทำลายอย่างเจ้า

มีอันใดให้ต้องกลัวเล่า ?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

ดวงตาทอประกายเป็นแสงเย็นชา

“หลิงหยุนเฟย ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจและหยิ่งผยองมากเหลือเกิน

เจ้าหลอมหลวมลูกปัดครองวิญญาณและได้รับสายเลือดกับทักษะพรสวรรค์ของข้าไปแล้วงั้นหรือ

?”

ร่างกายบอบบางของหลิงหยุนเฟยสั่นสะท้าน

ใบหน้าของนางฉายแววตื่นตระหนกและรู้สึกตื่นตัวขึ้น นางกล่าวว่า

“เจ้าหมอนี่นัดพบข้ามาเพื่อหลอกถามเรื่องลูกปัดครองวิญญาณ

?”

“หรือว่ามัน.... ค้นพบอะไรบางอย่างแล้ว ?”

ด้วยความที่เป็นเวลากลางคืน  มันมืดสนิทจึงทำให้สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนางนั้นยากที่จะมองออก

หลิงหยุนเฟยยังคงสงบและกล่าวเย้ยหยันว่า

“เหอๆ จี้เทียนซิง

เจ้าถามเพราะอยากได้ลูกปัดครองวิญญาณที่มีพลังบ่มเพาะของเจ้าคืนหรือไง ?”

“ก่อนนี้อาจจะใช่ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว !”  จี้เทียนซิงส่ายหัวและกล่าวต่อไปว่า “ข้าก็แค่อยากรู้ว่าเป็นผู้ใดที่ทำให้เจ้าต้องลงทุนเข้ามาใกล้ชิดข้าถึง

3 ปี

ผู้ใดกันที่หลอมรวมลูกปัดครองวิญญาณที่มีพลังและสายเลือดลมปราณกระบี่ของข้าเข้าไป

!”

วูบ

!

สิ้นเสียง

จี้เทียนซิงก็ทะยานเข้าหาหลิงหยุนเฟยด้วยความเร็วพอๆกันลูกศรหลุดจากคันธนู

เช้ง

เช้ง เช้ง !

ระหว่างที่พุ่งเข้าไป

ชายหนุ่มชักกระบี่มังกรโลหิตออกในทันทีและสะบัดออกเป็นแสงกระบี่สีแดงเลือด 3 สายเข้าใส่หลิงหยุนเฟยอย่างดุดัน

หลิงหยุนเฟยคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงจะกลายเป็นเด็ดขาดและเหี้ยมหาญขึ้นถึงเพียงนี้  ทันทีที่พูดจบเขาก็ชักกระบี่ฟาดฟันออกมาอย่างไร้ความปราณี

และไม่กล่าวเตือน

มันไปเอาความมั่นใจและความกล้าหาญมาจากไหนกัน

?

หลิงหยุนเฟยชะงักไปเพียงชั่วครู่และดึงสติกลับมาทันที  นางชักกระบี่ออกมาและฟาดฟันเป็นแสงเย็นเยียบปะทะเข้ากับจี้เทียนซิง

“เคร้ง !

เคร้ง ! เคร้ง !”

กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันสามครั้งในทันทีพร้อมกับระเบิดเสียงที่คมชัดสามเสียงขึ้นมาทำลายความเงียบสงบของคฤหาสน์ดอกพลัม

จี้เทียนซิงและกระบี่มังกรโลหิตเด้งออกมาสามก้าวพร้อมด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน

แต่หลิงหยุนเฟยกลับย่ำแย่กว่า

ใบหน้าของนางซีดเซียวและกระเด็นถอยไปถึง 4 ก้าวก่อนจะหยุดได้อย่างมั่นคง

ทั้งแขนลามไปถึงไหล่ของนางรู้สึกชาด้าน

และมุมปากปรากฏโลหิตไหลซึมออกมา นางตระหนักถึงปัญหาใหญ่แล้วในขณะนี้

“เจ้า....

นี่เจ้าฟื้นฟูสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงแล้ว ?!”

ดวงตาของหลิงหยุนเฟยเบิกกว้างเผยให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่เหลือเชื่อและอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

“แล้วไง ? ก็ไม่เห็นจะยาก”

จี้เทียนซิงเอียงคอยักไหล่และยิ้มเยาะเย้ย

“แต่เจ้าไม่เห็นจะพัฒนาขึ้นแม้แต่น้อย

น่าผิดหวังนัก !”

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เหวี่ยงกระบี่ไปหาหลิงหยุนเฟยอีกครั้งด้วยกระบวนท่าสิบกระบี่ล้ำลึกตระกูลจี้

ในช่วงเวลานั้นปรากฏลำแสงกระบี่มากกว่าสิบสายสว่างวูบขึ้นหลังจากจี้เทียนซิงซัดกระบวนท่าออกไป

มันทำลายความมืดมิดบนท้องฟ้าและปกคลุมไปทั่วร่างของหลิงหยุนเฟย

รูม่านตาของนางหดเล็กลง

สีหน้าเผยถึงความกดดัน นางทำได้เพียงวาดกระบี่ปัดป้องพลางถอยร่นเท่านั้น

ในขณะนี้เอง

ในใจของนางเกิดภาพหลอนขึ้น

นางเหมือนจะเห็นภาพหลอนของจี้เทียนซิงเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ยามที่ชายหนุ่มแข็งแกร่งที่สุด !   อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิแห่งเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่

7 !

เสียงกระทบกันของโลหะดังขึ้นอีกหลายครั้งจนทำให้คืนสติ

นางถูกบีบให้ต้องถอยไปถึง

8 ก้าว แถมยังเกิดบาดแผลที่แขนขวาขึ้นอีกด้วย

มีบาดแผลยาวเท่านิ้วก้อยจนโลหิตเลือดออกมาแต่นางก็ไม่มีเวลาสนใจ

จี้เทียนซิงยิ่งลงมือยิ่งเหี้ยมหาญดุดัน

แววตาทอประกายเย็นเฉียบและจิตสังหารแผ่ซ่าน

ไม่ต้องพูดถึงกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปเลย พวกมันทั้งหมดเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความแค้น

เขาไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย

“เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง  !”

หลิงหยุนเฟยขบกรามแน่นและปัดป้องได้

7 กระบี่ แต่นางไม่สามารถหยุดกระบี่ที่ 8 ได้

เสียง

“เคร้ง” อันคมชัดครั้งสุดท้ายดังขึ้นและกระบี่ในมือของนางก็ถูกกระแทกหลุดมือ

เมื่อแสงของกระบี่ที่

9 ตามติดมา นางก็มิอาจต่อต้านใดๆได้แล้ว

“ฉึก.... !”

แสงกระบี่แทงเข้าที่ท้องน้อยของนางทะลุผ่านตันเถียน

กระบี่มังกรโลหิตและปราณกระบี่ทำลายตันเถียนของนางโดยตรง

พลังต้นกำเนิดที่นางบ่มเพาะกักเก็บมาเป็นเวลาหลายปีเริ่มไหลออกราวกับลูกโป่งที่ถูกเจาะทะลุ

หลิงหยุนเฟยไม่เพียงแค่พ่ายแพ้หมดรูปภายใต้กระบี่ของจี้เทียนซิงเท่านั้น

แต่ชายหนุ่มยังทำลายตันเถียนของนางอีกด้วย !

ตาต่อตาฟันต่อฟัน

!  เจ้าทำลายข้าอย่างไร

ข้าก็ทำลายเจ้าเช่นนั้น !

ฟุ่บ

จี้เทียนซิงรั้งกระบี่มังกรโลหิตเก็บเข้าฝักและจ้องมองหลิงหยุนเฟยอย่างเย็นชา

ตุบ

!

หลิงหยุนเฟยทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและมุมปากของนางเอ่อล้นไปด้วยโลหิตแดงชาด

นางเอนตัวพิงกำแพงวางมือไว้บนท้องที่เต็มไปด้วยโลหิตไหลทะลักพลางจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยความสยดสยอง

“ปะ....  เป็นไปไม่ได้

!  มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน !”

“เจ้าทำลายตันเถียนของข้า ทำให้ข้าไร้ซึ่งวรยุทธ์

เจ้า !  อ๊ากกกกก !”

หลิงหยุนเฟยกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

ใบหน้าที่เคยงดงามน่าหลงใหลของนางบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความสยดสยองและความสิ้นหวัง

ก่อนที่จะมาที่นี่นางมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถสังหารจี้เทียนซิงได้ในคืนนี้ แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงและไม่มีวันนึกถึงก็คือความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกลับฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วยิ่ง

!

ท้ายที่สุดนางก็พ่ายแพ้ด้วยกระบี่ของจี้เทียนซิงและถูกทำลายรากฐานวรยุทธ์ทั้งหมด

!

มันเป็นสิ่งที่นางไม่อยากเชื่อและไม่อาจยอมรับได้

!