ตอนที่ 203

ผู้แข็งแกร่งคือมังกร

ผู้อ่อนแอก็คือหนอนแมลง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวงามในชุดขาวผู้นี้ก็คือหยุนเหยานั่นเอง

ถึงแม้นางจะไม่ได้พกร่มมาท่ามกลางเม็ดฝนตกที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องนี้ก็ตาม

แต่ทั่วร่างของนางกลับไม่มีรอยเปียกแม้แต่จุดเดียว  ดวงหน้างดงามยังคงเย็นชาเช่นเดิม

นางดูราวกับนางฟ้ากลางสายฝน

นอกจากนี้

ตัวตนราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นเก้าอย่างนางจะเปียกปอนด้วยสายฝนเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร

?

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร ?”

จี้เทียนซิงยิ้มแย้มทักทายและผายมือเชื้อเชิญหยุนเหยาเข้าไปในห้อง

“มาหาเจ้า” หยุนเหยาพยักหน้าให้เล็กน้อยและเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป

หลังจากนั่งลงเรียบร้อย

ดวงตาคู่งามของนางก็จ้องมองจี้เทียนซิงและถามว่า “เจ้าเป็นไงบ้าง

?"

จี้เทียนซิงโบกมือแล้วอธิบายว่า

“แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย พักอีกสักหลายวันก็คงดีขึ้น”

หยุนเหยาพยักหน้าและนำสิ่งของสองชิ้นออกจากแหวนมิติมาวางไว้หน้าจี้เทียนซิง

ซึ่งของทั้งสองชิ้นนี้ก็คือแหวนสีดำวงหนึ่งและขวดหยกสีขาว

หยุนเหยาอธิบายขึ้นว่า

“ท่านประมุขทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนภูเขามังกรแล้ว

ท่านพอใจมากกับผลงานของเจ้า”

“ของสองชิ้นนี้ท่านประมุขสั่งให้ข้านำมามอบให้เจ้า

รับไว้ซะสิ”

จี้เทียนซิงมองไปที่แหวนสีดำและขวดหยกสีขาวพร้อมกับถามด้วยความงุนงง

“ขวดนั้นย่อมเป็นโอสถ ข้าพอจะเดาออก  แต่ว่าแหวนนั่นคืออะไรหรือศิษย์พี่ ?”

หยุนเหยาอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่า

“นี่คือสมบัติระดับล้ำลึกที่คุณภาพสูงสุดเรียกว่าแหวนมิติ

ภายในนั้นจะมีพื้นที่มิติที่เป็นเอกเทศ

เจ้าสามารถนำสิ่งของที่ใช้บ่อยๆเก็บไว้ในนั้นได้”

จี้เทียนซิงพยักหน้าเข้าใจในทันที

แหวนวงนี้มีคุณสมบัติแบบเดียวกับถุงมิติของเขา อย่างไรก็ตาม

เขามีถุงมิติของตระกูลจี้อยู่แล้วและไม่ต้องการแหวนมิติวงนี้

หยุนเหยาขมวดคิ้วและเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง

แหวนมิติเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนัก

ผู้ที่ได้ครอบครองมันล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสและศิษย์ชั้นเลิศเท่านั้น

นอกจากนี้มันเป็นสิ่งของที่ท่านประมุขสั่งให้ข้านำมาให้เจ้า

เจ้าควรจะรับมันไว้”

จี้เทียนซิงพยักหน้า

“หากเป็นความประสงค์ของท่านประมุข

เช่นนั้นข้าก็จะรับมันไว้ ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่มากที่อุตส่าห์นำมาให้”

หยุนเหยากล่าวย้ำอีกครั้งว่า

“ในขวดนั่นมียาหยกน้ำค้างอยู่สองเม็ด

มันสามารถช่วยให้เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าอย่าได้ลืมใช้มัน”

“การประลองใหญ่เพิ่งจะจบลง นิกายเราก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการรับมอบสิทธิ์จากนิกายกระบี่ฟ้า  ระหว่างนี้เจ้ารักษาตัวเองให้ดี”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและคว้าแหวนมิติกับขวดหยกขาวมาพร้อมทั้งชวนนางสนทนาอีกเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นาน

หยุนเหยาก็ลุกขึ้นและกล่าวลา

เมื่อจี้เทียนซิงเดินออกไปส่งนาง

เขาก็พบว่าลู่หมิงหยางไม่ได้ยืนเอ๋อตากฝนอยู่กลางลานกว้างอีกแล้ว

และ....ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

มีหลายครั้งที่จี้เทียนซิงคิดจะกินยาและเตรียมรักษาอาการบาดเจ็บ

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ

เนื่องจากในแต่ละครั้งที่กำลังจะโยนยาเข้าปากก็จะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มาเยี่ยมที่มาพร้อมกับของขวัญ

พวกมันทั้งหมดก็คือเหล่าศิษย์ที่ชื่นชมจี้เทียนซิง

พวกมันมาเพื่อดูอาการบาดเจ็บของเขาพร้อมนำของขวัญกับยารักษามาให้

ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าในตอนนี้จี้เทียนซิงก็คือศิษย์ฝ่ายนอกที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นดั่งวีรบุรุษของนิกายพันธมิตรสวรรค์  นับจากนี้เขาก็คือผู้ที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัด

แต่สิ่งที่จี้เทียนซิงคาดไม่ถึงก็คือในบรรดาผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมเยียนนี้

กลับมีอี้โม่และซื่อจิงเฉิงมาเคาะประตูพร้อมด้วยของขวัญเช่นกัน

ทันทีที่เขาเปิดประตูก็พบทั้งสองยืนอยู่และกำลังจ้องหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม

“อ่า

ศิษย์พี่จี้ ได้พบท่านแล้ว”

“ศิษย์พี่จี้ ขออภัยที่ผู้น้องมาขัดจังหวะ

ขอท่านอย่าได้รังเกียจไป”

เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของคนทั้งสองที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

จี้เทียนซิงก็ไม่อาจวางสีหน้าเย็นชาได้อีก

ดังนั้นเขาจึงต้องพาพวกมันทั้งสองเข้าไปในห้อง

หลังจากเข้าไปในบ้านแล้วพวกมันก็ยังไม่ยอมนั่งลง

แต่โค้งคารวะและพูดอย่างจริงใจว่า “ศิษย์พี่จี้

พวกเราสองคนมาหาท่านวันนี้ประการแรกก็เพื่อมาเยี่ยมอาการบาดเจ็บของท่าน

นอกจากนี้พวกเรายังคิดที่จะใช้โอกาสนี้ในการขอขมาต่อท่านที่ได้ทำผิดพลาดไปในอดีต

!”

“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราเข้ามาในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

พวกเราไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ทำให้ต้องเข้าใจผิดกันอยู่เสมอ

ดังนั้นมันจึงตามมาด้วยการทะเลาะถกเถียงกันโดยไม่พึงประสงค์”

“แรกเริ่มเดิมทีเป็นพวกเราเองที่มีสายตาแคบสั้นและยังคอยวิพากษ์วิจารณ์ถากถางศิษย์พี่จี้หลายครั้งหลายหน  บัดนี้ ทุกครั้งที่พวกเรานึกถึงเรื่องที่ผ่านมาต่างก็รู้สึกละอายและไม่สบายใจ.....”

พฤติกรรมของพวกมันทั้งสองนั้นไม่ได้ดูเสแสร้งแกล้งทำ

มันเต็มไปด้วยคำขอโทษอย่างจริงใจจนทำให้จี้เทียนซิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งและเผยรอยยิ้มจางๆวูบหนึ่งพลางกล่าวว่า

“เอาเถอะ

ทุกคนต่างก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเดียวกัน

พวกเราต่างก็เป็นอัจฉริยะในดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ

การที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีก็นับว่าเป็นเรื่องปกติสามัญ”

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงพยักหน้าเสริมและกล่าวว่า

“ใช่เลย

ในอดีตพวกเราต่างก็เป็นอัจฉริยะที่ถูกยกย่องเชิดชูตั้งแต่เด็กจนคุ้นชิน

ความหยิ่งยโสจองหองจึงเป็นอะไรที่ติดตัวพวกเรามาจนเป็นวิสัย”

“แต่บัดนี้เมื่อได้มาเข้านิกายใหญ่และได้เห็นโลกแห่งมรรคายุทธ์ที่แท้จริง

มันขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจและวิสัยทัศน์ของพวกเข้าให้กว้างขึ้น

จนตระหนักได้ว่าภูเขานั้นสูงเพียงใด

มันทำให้พวกเราย้อนกลับมาคิดได้ว่าความหยิ่งยโสจองหองของผู้ฝึกยุทธ์ตัวเล็กๆอย่างเรานั้นมันไร้ค่าสิ้นดี”

“ก่อนหน้านี้มีข่าวลือไร้สาระเกี่ยวกับท่าน

ขอศิษย์พี่จี้ไม่ต้องกังวลไป

ด้วยระดับชื่อเสียงของท่านตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องลดตัวไปอธิบายอะไรให้ใครเข้าใจ”

หลังจากคำพูดยืดยาวของพวกมัน

จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในที่สุด การประลองหลงซานที่ผ่านมานั้นเขาโดดเด่นจนทำให้พวกมันทั้งสองคนชื่นชมจริงๆ

แต่เหตุผลนอกจากนี้ก็คือพวกมันทั้งสองรู้ว่า

นับจากนี้ไปเขาก็คือผู้ที่นิกายจับตามอง

ศักดิ์ฐานะของเขามีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ในกรณีเช่นนี้

พวกมันย่อมต้องเป็นกังวลว่าเขาจะตอบโต้หรือรังแกพวกมันเป็นการแก้แค้นในภายหลัง

ดังนั้นทั้งสองจึงรีบมาหาแต่เนิ่นๆเพื่อขอขมาโดยหวังว่าเขาจะโยนเรื่องความบาดหมางในอดีตทิ้งไปเสีย

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้เหล่านี้

จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม ในใจเริ่มขบคิดบางอย่าง

“หลังจากทั้งหมด พวกเราทุกคนต่างก็เกิดมาในยุคที่ผู้อ่อนแอบูชาผู้เข้มแข็ง

ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งก็คือมังกร ส่วนผู้อ่อนแอก็เป็นเหมือนมด”

“ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน สุดท้ายแล้วก็จะดูถูกคนที่ตนเองเห็นว่าอ่อนแอกว่าและเคารพนอบน้อมต่อยอดฝีมือ...  เหอๆ ช่างเป็นสัจธรรมเสียจริง”

จี้เทียนซิงไม่ใช่คนใจแคบ

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยึดติดต่อเรื่องเล็กน้อยพวกนี้

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงไม่ได้มีความเกลียดชังอันใดที่ล้ำลึกจนถึงขั้นอยู่ร่วมโลกกับเขาไม่ได้

มันเป็นเพียงการเหม็นขี้หน้าชิงดีชิงเด่นและพิพาทกันทางวาจาก็เท่านั้น

ในเมื่อพวกมันยอมบากหน้าลดศักดิ์ศรีมาขอขมาด้วยความจริงใจ

เขาก็ไม่ได้คิดมากอันใดและตัดสินใจจะลืมเรื่องในอดีตทิ้งไปซะ

“เอาเถอะ

พวกเจ้าทั้งสองไม่ได้กังวลให้มากความแล้ว ในอนาคตทุกคนจะยังคงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเช่นเดิม

พวกเรายังต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขและช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปอีกนาน

เรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมานั้นข้าไม่ได้ติดใจอะไรแล้วจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

ทั้งซื่อจิงเฉิงและอี้โม่ก็เผยรอยยิ้มด้วยความโล่งอกในที่สุด

พวกมันพูดคุยกับจี้เทียนซิงอยู่พักหนึ่งก่อนจะมอบผลไม้วิญญาณและโอสถฟื้นฟูหลายเม็ดก่อนจะอำลาจากไปด้วยความเบิกบาน

หลังจากส่งทั้งสองกลับไป

จี้เทียนซิงก็นั่งอยู่ในห้องพักใหญ่ๆจนกระทั่งถึงตอนเที่ยงก็ไม่มีใครมาเยี่ยมอีก  ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในห้องลับ

เขาหยิบแหวนมิติสีดำที่หยุนเหยานำมาให้และศึกษาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อหาวิธีใช้งานมัน

พื้นที่ในแหวนวงนี้เป็นมิติแยกเช่นเดียวกับถุงมิติที่เขาได้มาจากบิดา

มันมีขนาดใหญ่เท่ากับห้องๆหนึ่ง

แต่ในทางตรงกันข้าม

แหวนมิตินั้นมีข้อดีมากกว่าก็คือพกพาสะดวก ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงใช้สัมผัสญาณในการแสดงความเป็นเจ้าของแหวนมิติ

จากนั้นก็นำโอสถและของขวัญที่ผู้คนมอบให้

ใส่ไปในแหวนเพื่อรวดเร็วในการหยิบฉวยและเข้าถึงมัน

ส่วนจิ้งจอกน้ำแข็งตัวน้อยกับมังกรดำตัวน้อยนั้น

เขายังคงให้พวกมันอยู่ในถุงมิติและยกให้เป็นรังส่วนตัวของพวกมันไปเลย