ตอนที่ 182

ยั่วยุถึงถิ่น

เมื่อได้ยินคำพูดที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของจี้เทียนซิง

สีหน้าของศิษย์คนอื่นๆก็แสดงออกอย่างซับซ้อน

หากก่อนหน้านี้เขาพูดในทำนองนี้

แน่นอนว่าพรรคพวกย่อมเยาะเย้ยถากถางด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์

ต่อให้เขาแสดงพรสวรรค์ที่โดดเด่นทางด้านการปรุงยา, ข่ายปราณและการบ่มเพาะออกมาจนเหล่าศิษย์เริ่มชื่นชมและมองในแง่ดีขึ้น  แต่คำพูดที่เขาเพิ่งกล่าวออกมานี้ล้วนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหองซึ่งทำให้หลายคนขมวดคิ้วส่ายหัวกันเป็นแถว

“เหอะ

ข้าอุตส่าห์คิดว่าพรสวรรค์และความสามารถของจี้เทียนซิงเยี่ยมยอดจนเริ่มมองมันในแง่ดีขึ้นแล้วเชียว

แต่สุดท้ายมันก็อวดดีเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิม”

"ถูก ! มันเพิ่งตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตขั้นแรก

ต่อให้คู่ต่อสู้อยู่ในระดับปราณจิตขั้นสามก็ใช่ว่าจะชนะ

นับประสาอะไรกับฮั่งเชินที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นห้า

จี้เทียนซิงจะชนะมันได้อย่างไร ?”

“หากเป็นอัจฉริยะ ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปราณจิตขั้นแรก

บางทีอาจจะล้มยอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นที่สองหรือแม้กระทั่งต่อสู้กับปราณจิตขั้นสามได้อย่างสูสี  แต่หากไปเทียบไปกับขั้นห้า

ข้าขอบอกเลยว่าไม่มีทาง !”

“ล้มคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าสี่ขั้นย่อย ?  ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน

หากมันทำได้จริงก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว !”

“เหอะๆ จี้เทียนซิง

เจ้าคิดจะสร้างปาฏิหาริย์งั้นหรือ ?  คิดว่าง่าย ?  นอกเสียจากว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในระนาบเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยา

!”

จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อเสียงเซ็งแซ่และดวงตาแปลกประหลาดที่มองมาของทุกคน

เขายังคงจ้องตาของฮั่นเฉียวเซิงอย่างสงบราบเรียบ

ฮั่นเฉียวเซิงไตร่ตรองดูอยู่ครู่หนึ่งและยกมือขึ้นบอกให้ทุกคนเงียบ

จากนั้นเขาก็ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดและประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว

ข้าขอประกาศว่าการประลองหลงซานในปีนี้จะมีจี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางเป็นตัวแทนนิกาย

!”

“เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้ว

ตอนนี้ศัตรูมาเหยียบถึงหน้าประตูนิกาย

ข้าขอให้พวกเจ้าเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจและร่วมมือร่วมใจกันเผชิญหน้ากับความท้าทายของครั้งนี้

!”

เหล่าศิษย์ที่เหลือเมื่อได้ยินคำพูดนี้

ใบหน้าของพวกเขาก็ดูหงิกงออย่างไม่เป็นธรรมชาติ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและลอบด่าทอในใจ

เป็นความจริงที่ว่าศิษย์อัจฉริยะฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้าได้มาถึงแล้ว

อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในหอฉิงซ่งของฝ่ายนอกเพื่อรอดูเรื่องตลกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่มีผู้ลงประลองเพียงสองคน

พวกมันไม่กล้าลุกขึ้นสู้เพื่อนิกาย

แต่กลับตั้งคำถามและเย้ยหยันจี้เทียนซิงที่ออกหน้าท้าสู้เป็นคนแรก

การกระทำเช่นนี้ของพวกมันดูน่ารังเกียจที่สุด !

ฮั่นเฉียวเซิงมองไปที่จี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางพลางกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชมว่า

“จี้เทียนซิง

ลู่หมิงหยางการที่พวกเจ้ายอมออกหน้าสู้ก็นับว่ารู้สำนึกผิดชอบต่อนิกายอย่างชัดเจน

ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร

พวกเจ้าก็สามารถเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิได้เลย

ข้าฮั่นเฉียวเซิงภูมิใจในตัวพวกเจ้าทั้งสองมาก !”

ศิษย์ที่เหลือทั้งแปดคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการประลองหลงซานครั้งนี้จะเป็นเกียรติยศหรืออัปยศอดสู  ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว

“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องนี้ได้ข้อยุติ

งั้นก็แยกย้ายกันไปได้"

ฮั่นเฉียวเซิงประกาศผลและโบกมือให้ฝูงชนล่าถอยกลับไป

เหล่าศิษย์ทั้งหลายทยอยเดินออกจากห้องโถงหลัก

พวกมันเดินเข้าไปในลานกว้างที่สองพลางกระซิบกระซาบกัน

จี้เทียนซิงก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่เตรียมจะมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตนเองเช่นกัน

ในขณะนั้นเองลู่หมิงหยางก็เดินตามเขามาและขวางทางอีกฝ่ายไว้ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ในลานกว้าง

“จี้เทียนซิง รอประเดี๋ยว”

จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้าและหันไปมองลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“ว่าธุระ ?”

สีหน้าของลู่หมิงหยางแสดงออกอย่างซับซ้อน

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งมันก็สูดหายใจลึกและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น

“คุย ? ระหว่างเรามีอะไรต้องคุยกันอีก?”

ลู่หมิงหยางมีสีหน้าเก้กัง

แต่มันได้ทำใจไว้แล้วและกล่าวต่อไปว่า “ถูกอย่างเจ้าว่า

ระหว่างเราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุย

เรื่องระหว่างเราในอนาคตค่อยหาทางสะสาง

แต่ตอนนี้ศิษย์อัจฉริยะของนิกายกระบี่ฟ้ามาอยู่ปลายจมูกแล้ว

ข้าเห็นว่าพวกเราควรร่วมมือกันและวางแผนให้รอบคอบ”

จี้เทียนซิงยังคงสงบนิ่งและถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“แล้วไง ?”

ลู่หมิงหยางกล่าวต่อไปว่า

“การประลองครั้งนี้มีเพียงเราสองคนที่เข้าร่วม

นิกายกระบี่ฟ้ามีสามคนและพลังยุทธ์โดยรวมก็สูงกว่ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนที่ชื่อฮั่งเชิน

เพียงมือเดียวก็สามารถทุบตีเราจนพิกลพิการได้แล้วกระมัง”

“ไม่ว่าจะกรณีใดพวกเราก็ไม่สามารถเอาชนะได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะพ่ายแพ้

กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของพวกมันและเป็นตราบาปของนิกาย

เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี”

“เจ้าต้องการอะไรก็พูดมา ไม่ต้องอ้อมค้อม” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกล่าวเสียงเย็น เขามั่นใจว่าลู่หมิงหยางย่อมมีความคิดพิเรนท์อะไรเป็นแน่

ลู่หมิงหยางหันรีหันขวางรอบๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ก็กระซิบด้วยเสียงต่ำว่า “จี้เทียนซิง

หากเจ้าไม่ต้องการเป็นตัวตลกและคนบาปที่แบกรับความอัปยศของนิกายก็จงฟังข้า

เจ้ามีผลงานที่ดีมาโดยตลอดและสนิทชิดเชื้อกับเหล่าอาวุโสครูฝึก  เจ้าไปหาพวกเขาและร้องขอศัสตราวุธอันทรงพลังหรือไม่ก็เม็ดยาโอสถวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังของพวกเราได้อย่างรวดเร็วอะไรเทือกนั้น.....”

“ตอนนี้เราสองคนเป็นความหวังของนิกายฝ่ายนอก หากเราเอาชนะการประลองที่ดูเป็นไปไม่ได้ครั้งนี้เกียรติยศชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่จะเป็นของเราสืบไปอีกนาน”

“หากเราใช้โอกาสนี้ต่อรองและร้องขออาวุโส

ข้าว่าพวกท่านจะเข้าใจและไม่ปฏิเสธคำขอของเจ้าอย่างแน่นอน !”

กล่าวจบลู่หมิงหยางก็จ้องมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาคาดหวัง มันเชื่อมั่นว่านี่เป็นเรื่องที่ชอบธรรมและเป็นโอกาสที่ดีในการขอทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าจากนิกาย

จี้เทียนซิงย่อมไม่พลาดโอกาสทองครั้งนี้แน่

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงเพียงเผยรอยยิ้มหยอกเย้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า “เหอๆ นี่หรือความคิดที่กลั่นมาจากสมองขององค์ชายคนโตแห่งแคว้นชางเฟิง

? เกิดในตระกูลราชวงศ์ย่อมรู้จักฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากนิกายงั้นสิ

?”

“หึ ฉวยโอกาสนี้ร้องขอสมบัติวิเศษจากผู้อาวุโสชู ความคิดนี้มันต่างอะไรกับการแสวงหาผลประโยชน์ในความโชคร้ายของผู้อื่นกัน?”

เมื่อเห็นสีหน้าของลู่หมิงหยางที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ

จี้เทียนซิงก็ตะโกนสำทับไปว่า “ลู่หมิงหยาง เจ้าฟังให้ดี

เจ้าจะฉวยโอกาสทำกำไรในความโชคร้ายของผู้อื่นก็ไม่มีใครห้ามเจ้า แต่คนอย่างข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น

ข้าไม่ต้องการ

ข้าจะยืนหยัดด้วยพลังฝีมือของตนเองและรับรางวัลจากความพยายามของตัวเองเท่านั้น !”

“หากเจ้าโลภโมโทสันและกลัวตาย เจ้าถอนตัวไปได้เลย

ข้าลุยคนเดียวได้

ข้าจะช่วงชิงสิทธิ์เหนือภูเขามังกรกลับมาและช่วยรักษาหน้าตาให้นิกายให้จงได้ !”

หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้

จี้เทียนซิงก็สะบัดปลายแขนเสื้อครั้งหนึ่งและหันหลังเดินจากไป

ลู่หมิงหยางมองไปที่แผ่นหลังอันหนักแน่นของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเย็นชา

มันกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคืองและตะโกนไล่หลัง

“มารดามันเถอะ !  จี้เทียนซิง

เจ้ามันโอหังอวดดีจนเกินเยียวยาเสียแล้ว ! คอยดูเถิดเจ้าจะต้องเสียใจ

!”

จี้เทียนซิงโบกมืออย่างไม่หันกลับมามองและเปิดประตูห้องเดินเข้าไป

แต่ในเวลานี้เองอี้โม่ก็รีบวิ่งไปที่หน้าประตูทางเข้าหอยุทธ์ด้วยสีหน้าน่าเกลียดพลางตะโกนออกมาว่า

“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ออกมาเร็ว

มีบางอย่างผิดปกติ !”

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องของอี้โม่

ศิษย์ทั้งหลายที่เพิ่งเข้าห้องก็เปิดประตูและวิ่งออกไปดูทันที

จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้า

รวมไปถึงลู่หมิงหยางก็หันไปมองอี้โม่ด้วยความสงสัยเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในไม่ช้าศิษย์หกเจ็ดคนก็มาถึงลานกว้างและถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น

อี้โม่อธิบายอย่างรวดเร็วว่า

“ข้าเพิ่งผ่านจัตุรัสด้านนอกและเห็นศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากไปมุงดูอะไรกันบางอย่าง

ข้าคิดว่ามันเอะอะผิดปกติเลยไปดูด้วย

สิ่งที่ข้าเห็นก็คือศิษย์อัจฉริยะทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้า

พวกมันไปที่ลานฝึกกระบี่และยั่วยุศิษย์ของนิกายเรา !”

ต้องบอกว่าอารมณ์ของอี้โม่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ใบหน้าของมันแดงก่ำพลางตะโกนออกมาว่า “นิกายกระบี่ฟ้าข่มเหงกันเกินไปแล้ว

!"

“พวกมันเพิ่งมาถึงนิกายวันนี้กลับกล้าไปแสดงตัวที่ลานฝึกกระบี่แถมยังชี้แนะกระบวนท่าให้เหล่าศิษย์ของนิกายเราอีกด้วย”

“นี่เป็นการใช้พลังที่เหนือชั้นกว่าข่มเหงกันชัดๆ

มันหยามหน้าฝ่ายนอกและหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเรา !”