ยั่วยุถึงถิ่น
เมื่อได้ยินคำพูดที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของจี้เทียนซิง
สีหน้าของศิษย์คนอื่นๆก็แสดงออกอย่างซับซ้อน
หากก่อนหน้านี้เขาพูดในทำนองนี้
แน่นอนว่าพรรคพวกย่อมเยาะเย้ยถากถางด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
ต่อให้เขาแสดงพรสวรรค์ที่โดดเด่นทางด้านการปรุงยา, ข่ายปราณและการบ่มเพาะออกมาจนเหล่าศิษย์เริ่มชื่นชมและมองในแง่ดีขึ้น แต่คำพูดที่เขาเพิ่งกล่าวออกมานี้ล้วนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหองซึ่งทำให้หลายคนขมวดคิ้วส่ายหัวกันเป็นแถว
“เหอะ
ข้าอุตส่าห์คิดว่าพรสวรรค์และความสามารถของจี้เทียนซิงเยี่ยมยอดจนเริ่มมองมันในแง่ดีขึ้นแล้วเชียว
แต่สุดท้ายมันก็อวดดีเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิม”
"ถูก ! มันเพิ่งตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตขั้นแรก
ต่อให้คู่ต่อสู้อยู่ในระดับปราณจิตขั้นสามก็ใช่ว่าจะชนะ
นับประสาอะไรกับฮั่งเชินที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นห้า
จี้เทียนซิงจะชนะมันได้อย่างไร ?”
“หากเป็นอัจฉริยะ ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปราณจิตขั้นแรก
บางทีอาจจะล้มยอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นที่สองหรือแม้กระทั่งต่อสู้กับปราณจิตขั้นสามได้อย่างสูสี แต่หากไปเทียบไปกับขั้นห้า
ข้าขอบอกเลยว่าไม่มีทาง !”
“ล้มคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าสี่ขั้นย่อย ? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน
หากมันทำได้จริงก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว !”
“เหอะๆ จี้เทียนซิง
เจ้าคิดจะสร้างปาฏิหาริย์งั้นหรือ ? คิดว่าง่าย ? นอกเสียจากว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในระนาบเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยา
!”
จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อเสียงเซ็งแซ่และดวงตาแปลกประหลาดที่มองมาของทุกคน
เขายังคงจ้องตาของฮั่นเฉียวเซิงอย่างสงบราบเรียบ
ฮั่นเฉียวเซิงไตร่ตรองดูอยู่ครู่หนึ่งและยกมือขึ้นบอกให้ทุกคนเงียบ
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดและประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว
ข้าขอประกาศว่าการประลองหลงซานในปีนี้จะมีจี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางเป็นตัวแทนนิกาย
!”
“เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้ว
ตอนนี้ศัตรูมาเหยียบถึงหน้าประตูนิกาย
ข้าขอให้พวกเจ้าเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจและร่วมมือร่วมใจกันเผชิญหน้ากับความท้าทายของครั้งนี้
!”
เหล่าศิษย์ที่เหลือเมื่อได้ยินคำพูดนี้
ใบหน้าของพวกเขาก็ดูหงิกงออย่างไม่เป็นธรรมชาติ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและลอบด่าทอในใจ
เป็นความจริงที่ว่าศิษย์อัจฉริยะฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้าได้มาถึงแล้ว
อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในหอฉิงซ่งของฝ่ายนอกเพื่อรอดูเรื่องตลกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่มีผู้ลงประลองเพียงสองคน
พวกมันไม่กล้าลุกขึ้นสู้เพื่อนิกาย
แต่กลับตั้งคำถามและเย้ยหยันจี้เทียนซิงที่ออกหน้าท้าสู้เป็นคนแรก
การกระทำเช่นนี้ของพวกมันดูน่ารังเกียจที่สุด !
ฮั่นเฉียวเซิงมองไปที่จี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางพลางกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชมว่า
“จี้เทียนซิง
ลู่หมิงหยางการที่พวกเจ้ายอมออกหน้าสู้ก็นับว่ารู้สำนึกผิดชอบต่อนิกายอย่างชัดเจน
ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
พวกเจ้าก็สามารถเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิได้เลย
ข้าฮั่นเฉียวเซิงภูมิใจในตัวพวกเจ้าทั้งสองมาก !”
ศิษย์ที่เหลือทั้งแปดคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการประลองหลงซานครั้งนี้จะเป็นเกียรติยศหรืออัปยศอดสู ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องนี้ได้ข้อยุติ
งั้นก็แยกย้ายกันไปได้"
ฮั่นเฉียวเซิงประกาศผลและโบกมือให้ฝูงชนล่าถอยกลับไป
เหล่าศิษย์ทั้งหลายทยอยเดินออกจากห้องโถงหลัก
พวกมันเดินเข้าไปในลานกว้างที่สองพลางกระซิบกระซาบกัน
จี้เทียนซิงก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่เตรียมจะมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตนเองเช่นกัน
ในขณะนั้นเองลู่หมิงหยางก็เดินตามเขามาและขวางทางอีกฝ่ายไว้ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ในลานกว้าง
“จี้เทียนซิง รอประเดี๋ยว”
จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้าและหันไปมองลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“ว่าธุระ ?”
สีหน้าของลู่หมิงหยางแสดงออกอย่างซับซ้อน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งมันก็สูดหายใจลึกและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
“คุย ? ระหว่างเรามีอะไรต้องคุยกันอีก?”
ลู่หมิงหยางมีสีหน้าเก้กัง
แต่มันได้ทำใจไว้แล้วและกล่าวต่อไปว่า “ถูกอย่างเจ้าว่า
ระหว่างเราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุย
เรื่องระหว่างเราในอนาคตค่อยหาทางสะสาง
แต่ตอนนี้ศิษย์อัจฉริยะของนิกายกระบี่ฟ้ามาอยู่ปลายจมูกแล้ว
ข้าเห็นว่าพวกเราควรร่วมมือกันและวางแผนให้รอบคอบ”
จี้เทียนซิงยังคงสงบนิ่งและถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า
“แล้วไง ?”
ลู่หมิงหยางกล่าวต่อไปว่า
“การประลองครั้งนี้มีเพียงเราสองคนที่เข้าร่วม
นิกายกระบี่ฟ้ามีสามคนและพลังยุทธ์โดยรวมก็สูงกว่ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนที่ชื่อฮั่งเชิน
เพียงมือเดียวก็สามารถทุบตีเราจนพิกลพิการได้แล้วกระมัง”
“ไม่ว่าจะกรณีใดพวกเราก็ไม่สามารถเอาชนะได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะพ่ายแพ้
กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของพวกมันและเป็นตราบาปของนิกาย
เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี”
“เจ้าต้องการอะไรก็พูดมา ไม่ต้องอ้อมค้อม” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกล่าวเสียงเย็น เขามั่นใจว่าลู่หมิงหยางย่อมมีความคิดพิเรนท์อะไรเป็นแน่
ลู่หมิงหยางหันรีหันขวางรอบๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ก็กระซิบด้วยเสียงต่ำว่า “จี้เทียนซิง
หากเจ้าไม่ต้องการเป็นตัวตลกและคนบาปที่แบกรับความอัปยศของนิกายก็จงฟังข้า
เจ้ามีผลงานที่ดีมาโดยตลอดและสนิทชิดเชื้อกับเหล่าอาวุโสครูฝึก เจ้าไปหาพวกเขาและร้องขอศัสตราวุธอันทรงพลังหรือไม่ก็เม็ดยาโอสถวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังของพวกเราได้อย่างรวดเร็วอะไรเทือกนั้น.....”
“ตอนนี้เราสองคนเป็นความหวังของนิกายฝ่ายนอก หากเราเอาชนะการประลองที่ดูเป็นไปไม่ได้ครั้งนี้เกียรติยศชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่จะเป็นของเราสืบไปอีกนาน”
“หากเราใช้โอกาสนี้ต่อรองและร้องขออาวุโส
ข้าว่าพวกท่านจะเข้าใจและไม่ปฏิเสธคำขอของเจ้าอย่างแน่นอน !”
กล่าวจบลู่หมิงหยางก็จ้องมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาคาดหวัง มันเชื่อมั่นว่านี่เป็นเรื่องที่ชอบธรรมและเป็นโอกาสที่ดีในการขอทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าจากนิกาย
จี้เทียนซิงย่อมไม่พลาดโอกาสทองครั้งนี้แน่
อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงเพียงเผยรอยยิ้มหยอกเย้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า “เหอๆ นี่หรือความคิดที่กลั่นมาจากสมองขององค์ชายคนโตแห่งแคว้นชางเฟิง
? เกิดในตระกูลราชวงศ์ย่อมรู้จักฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากนิกายงั้นสิ
?”
“หึ ฉวยโอกาสนี้ร้องขอสมบัติวิเศษจากผู้อาวุโสชู ความคิดนี้มันต่างอะไรกับการแสวงหาผลประโยชน์ในความโชคร้ายของผู้อื่นกัน?”
เมื่อเห็นสีหน้าของลู่หมิงหยางที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
จี้เทียนซิงก็ตะโกนสำทับไปว่า “ลู่หมิงหยาง เจ้าฟังให้ดี
เจ้าจะฉวยโอกาสทำกำไรในความโชคร้ายของผู้อื่นก็ไม่มีใครห้ามเจ้า แต่คนอย่างข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น
ข้าไม่ต้องการ
ข้าจะยืนหยัดด้วยพลังฝีมือของตนเองและรับรางวัลจากความพยายามของตัวเองเท่านั้น !”
“หากเจ้าโลภโมโทสันและกลัวตาย เจ้าถอนตัวไปได้เลย
ข้าลุยคนเดียวได้
ข้าจะช่วงชิงสิทธิ์เหนือภูเขามังกรกลับมาและช่วยรักษาหน้าตาให้นิกายให้จงได้ !”
หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้
จี้เทียนซิงก็สะบัดปลายแขนเสื้อครั้งหนึ่งและหันหลังเดินจากไป
ลู่หมิงหยางมองไปที่แผ่นหลังอันหนักแน่นของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเย็นชา
มันกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคืองและตะโกนไล่หลัง
“มารดามันเถอะ ! จี้เทียนซิง
เจ้ามันโอหังอวดดีจนเกินเยียวยาเสียแล้ว ! คอยดูเถิดเจ้าจะต้องเสียใจ
!”
จี้เทียนซิงโบกมืออย่างไม่หันกลับมามองและเปิดประตูห้องเดินเข้าไป
แต่ในเวลานี้เองอี้โม่ก็รีบวิ่งไปที่หน้าประตูทางเข้าหอยุทธ์ด้วยสีหน้าน่าเกลียดพลางตะโกนออกมาว่า
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ออกมาเร็ว
มีบางอย่างผิดปกติ !”
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องของอี้โม่
ศิษย์ทั้งหลายที่เพิ่งเข้าห้องก็เปิดประตูและวิ่งออกไปดูทันที
จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้า
รวมไปถึงลู่หมิงหยางก็หันไปมองอี้โม่ด้วยความสงสัยเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในไม่ช้าศิษย์หกเจ็ดคนก็มาถึงลานกว้างและถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น
อี้โม่อธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“ข้าเพิ่งผ่านจัตุรัสด้านนอกและเห็นศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากไปมุงดูอะไรกันบางอย่าง
ข้าคิดว่ามันเอะอะผิดปกติเลยไปดูด้วย
สิ่งที่ข้าเห็นก็คือศิษย์อัจฉริยะทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้า
พวกมันไปที่ลานฝึกกระบี่และยั่วยุศิษย์ของนิกายเรา !”
ต้องบอกว่าอารมณ์ของอี้โม่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ใบหน้าของมันแดงก่ำพลางตะโกนออกมาว่า “นิกายกระบี่ฟ้าข่มเหงกันเกินไปแล้ว
!"
“พวกมันเพิ่งมาถึงนิกายวันนี้กลับกล้าไปแสดงตัวที่ลานฝึกกระบี่แถมยังชี้แนะกระบวนท่าให้เหล่าศิษย์ของนิกายเราอีกด้วย”
“นี่เป็นการใช้พลังที่เหนือชั้นกว่าข่มเหงกันชัดๆ
มันหยามหน้าฝ่ายนอกและหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเรา !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved