ตอนที่ 369

ตอนที่

369 อัจฉริยะยิ่งกว่าปีศาจ

เมื่อจี้เทียนซิงตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นหยุนเหยาที่อยู่เคียงข้าง

ได้เห็นใบหน้าอิดโรยของนาง

เขากล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ศิษย์พี่

ท่านคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยที่ต้องคอยปกป้องข้าในระหว่างการบ่มเพาะ

ขอบคุณท่านมาก"

หยุนเหยาจ้องตาอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า

“ขอบคุณ

?   ระหว่างข้ากับเจ้าคำพูดขอบคุณจำเป็นด้วยหรือ

?"

จี้เทียนซิงพยักหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาและถามต่อไปว่า

"ศิษย์พี่ ข้าบ่มเพาะไปนานแค่ไหน ?"

"สามวัน"

หยุนเหยาตอบกลับและลุกขึ้นยืน เหยียดมือเรียวงามออกไปปัดฝุ่นบนชุดกระโปรงสีขาว

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วพลางกระซิบกับตัวเองว่า “ข้าบ่มเพาะยาวถึงสามวันเชียวหรือ ? แย่ล่ะ

ข่ายปราณหม้อวิเศษเก้าจักรวาลจะหยุดการทำงานเพียงแค่สามวันเท่านั้น

เหลือเวลาอีกไม่มาก”

"ศิษย์พี่

เราเหลือเวลาไม่ถึงครึ่งวันก่อนที่ข่ายปราณจะเริ่มกลับมาทำงาน

เราต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด !”

"อืม"

หยุนเหยาพยักหน้าและตอบรับ

หยุดไปชั่วคราวนางก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า “เทียนซิง สุสานหลักนี้กว้างใหญ่มาก

เจ้าไม่คิดสำรวจจุดอื่นอีกแล้วหรือ ?”

"นอกจากนี้

ในเมื่อมันคือสุสานของเทพกระบี่ก็ย่อมมีสมบัติตกทอดจากเทพกระบี่

เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเทพกระบี่กลับฝังสิ่งอื่นใดไว้อีกบ้าง ?"

จี้เทียนซิงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

หลังจากตัดสินใจได้แล้วเขาก็กล่าวว่า “เช่นนั้นเราจะจำกัดเวลาสำรวจไว้ที่สามชั่วยาม

เมื่อครบสามชั่วยาม ไม่ว่าจะพบสิ่งใดหรือไม่ พวกเราต้องกลับออกไปทันที ท่านว่าดีหรือไม่ ?”

"ก็ได้  เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย" หยุนเหยาพยักหน้า

จากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องโถงที่ว่างเปล่า

เข้าสู่ทางเดินมืดเพื่อสำรวจสถานที่อื่นๆลึกเข้าไปกว่านี้

ในสุสานหลักนี้เต็มไปด้วยทางเดินนับร้อยสลับไขว้กันไปมาเป็นชั้นๆราวกับอวนจับปลา

แต่จี้เทียนซิงได้ได้บรรลุข่ายอาคมมาก่อนหน้านี้แล้ว

มันช่วยให้เขาสามารถค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ในช่วงเวลาสามชั่วยามนี้

เขานำหยุนเหยาเดินผ่านทางซับซ้อนมากมาย ได้พบห้องโถงเล็ก ห้องหินและห้องลับอีกหลายแห่ง

แต่ทว่าภายในห้องเหล่านั้นกลับมีเพียงรูปปั้นแปลกๆเท่านั้น

ไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ใดๆ

ในห้องศิลาหลายแห่งมีการแกะสลักภาพและอักษรจารึกไว้บนกำแพง

บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเทพกระบี่และเย่หวงสมัยเป็นเด็ก

นอกจากนี้ทั้งสองก็ไม่พบสมบัติใดๆอีกเลย

ไม่มีแม้กระทั่งโลงศพหรือสังขารใดๆของเทพกระบี่

เมื่อใกล้ถึงเวลาสามชั่วยาม

จี้เทียนซิงก็หยุดการค้นหาและพาหยุนเหยาเดินกลับออกไป

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังกลับออกไป

หยุนเหยาได้วิเคราะห์ผลการสำรวจทั้งหมดและออกความเห็นว่า

"ดูเหมือนว่าสุสานเทพกระบี่ที่เย่หวงสร้างไว้จะมิใช่สุสานเทพกระบี่ที่แท้จริง

เป็นเพียงสุสานอาภรณ์และสิ่งของเพื่อรำลึกเท่านั้น"

จี้เทียนซิงก็คาดเดาเช่นเดียวกันและพยักหน้าอธิบายว่า

“เย่หวงมีวาสนาที่รับได้การชี้แนะจากเทพกระบี่

ดังนั้นเขาจึงเคารพเทิดทูนเทพกระบี่เป็นอย่างมาก"

"แม้เทพกระบี่จะชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่มันก็พลิกทั้งชีวิตของเขา ทำให้เขากลายเป็นบุคลบนยอดพีระมิดที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรเทียนเฉิน"

"เย่หวงมองว่าเทพกระบี่คืออาจารย์ผู้มีพระคุณ

หลังจากเขาทราบข่าวการร่วงหล่นของเทพกระบี่

เขาจึงทุ่มเททุกสิ่งสร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นใต้ภูเขามังกรเพื่อเป็นที่ระลึกเทพกระบี่”

หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของจี้เทียนซิง

หยุนเหยาจึงเข้าใจที่มาที่ไปของสุสานแห่งนี้

เข้าใจจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเรื่องราวต่างๆ

"เป็นเช่นนี้นี่เอง" นางพยักหน้าและกล่าวตอบ

มันใช้เวลาไม่นานก่อนที่ทั้งสองจะกลับสู่ทางเดินแรกเริ่ม

หยุนเหยาหยิบยันต์ทลายปฐพีออกมาอีกสองชิ้น

ทั้งสองใช้พลังของมันออกจากทางเดินมืดมิดเพื่อกลับสู่พื้นดิน

………….

ด้านนอกสุสาน

ที่ปากทางเข้ามหาข่ายปราณระดับสวรรค์

ชูไฮว่ซานและผู้ดูแลหลายคนจ้องไปที่ทางเข้าสุสานอันมืดมิด

ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ผู้ดูแลหลายคนตัวสั่นเทาพลางกระซิบกระซาบกัน

"นี่ก็วันที่สี่แล้วนะ

เหตุใดเทียนซิงกับหยุนเหยาถึงยังไม่กลับออกมาอีก ?”

"นับตั้งแต่ที่พวกมันเข้าไปลึกในสุสานก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆในนั้น  เกิดเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”

"สุสานโบราณแห่งนี้มีประวัติเป็นพันปีและได้รับการปกป้องจากการก่อตัวของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์  มันย่อมเปี่ยมไปด้วยอันตราย

เราผู้เฒ่ากังวลยิ่งนักว่าเด็กสองคนนั้นจะไม่สามารถรับมือได้... "

"ตาแก่บ้า อย่าได้พูดอัปมงคลเช่นนั้น !  ข้าเชื่อมั่นในตัวของเทียนซิงและหยุนเหยา"

ชูไฮว่ซานมิได้ร่วมวงสนทนา

มันกำลังชั่งน้ำหนักในใจอย่างเงียบงัน

แม้มันจะทราบดีว่าหยุนและจี้เทียนซิงเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มากความสามารถรอบด้าน

แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านไปสี่วันเต็ม

ทั้งสองก็ยังไม่กลับออกมาและไม่เคยส่งข่าวใดๆมาเลย  มันจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร ?

หลังจากชั่งน้ำหนักในใจเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็ตัดสินใจ

รออีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม

หากทั้งสองยังไม่ส่งข่าวหรือกลับออกมา มันจะส่งข่าวถึงฉู่เทียนเซิง

ให้ประมุขเป็นผู้ตัดสินใจ

ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นพวกมันก็ได้แสงเงาร่างสองสายปรากฏขึ้นสุดทางเดินอันมืด

"วูบ !"

หลังจากลำแสงทั้งสองได้บรรจบกัน ร่างเงาในอาภรณ์สีขาวสองร่างพลันปรากฏขึ้น

ถึงแม้จะอยู่ในระยะไกลจนทำให้ผู้คนเห็นรูปร่างหน้าตาของทั้งสองได้ไม่ชัดเจนนัก

แต่ชูไฮว่ซานก็มั่นใจว่าพวกมันก็คือจี้เทียนซิงและหยุนเหยา

“วิเศษ

!  ในที่สุดพวกมันก็กลับออกมาเสียที  ! "

ชูไฮว่ซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก หินใหญ่ที่ถ่วงรั้งอยู่ภายในใจพลันสลายไป

ผู้ดูแลหลายคนที่เคยแสดงสีหน้ากลัดกลุ้มกังวล

เผยรอยยิ้มโล่งใจขึ้น

“ดีมาก พวกเขากลับมาแล้วอย่างปลอดภัย !”

"ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาพบสิ่งใดในสุสานบ้าง

?”

"เอาเถอะน่า

ไม่ว่าพวกมันจะเก็บเกี่ยวได้อะไรมา สุดท้ายก็นับว่าปลอดภัยไร้กังวล

!”

"ใช่

หากพวกมันไม่กลับมา พวกเราคงไม่มีหน้าไปอธิบายให้ท่านประมุขฟังเป็นแน่"

เหล่าผู้ดูแลต่างพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เดินไปตามทางเดินหินชนวนสีดำ ข้ามผ่านการก่อตัวของข่ายปราณ

กลับไปหาชูไฮว่ซานและผู้ดูแลคนอื่นๆ

"เทียนซิง

หยุนเหยา พวกเจ้ากลับมาได้เสียที !”

ชูไฮว่ซานถลาไปเบื้องหน้าและกล่าวอย่างโล่งอก

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะและกล่าวทักทายอีกฝ่ายว่า

“คารวะอาวุโสชูและผู้ดูแลทุกท่าน

ขออภัยด้วยที่ทำให้พวกท่านต้องรอนาน !”

ชูไฮว่ซานและคนอื่นๆจ้องมองทั้งสองและเห็นว่าพวกมันไร้บาดแผลและไม่เป็นอันตรายก็รู้สึกโล่งใจ

อย่างไรก็ตาม สายตาของทุกคนรั้งรวมกันที่จี้เทียนซิง

จับจ้องอย่างใกล้ชิดด้วยสีหน้าแปลกๆ

ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งในขอบเขตปราณโอสถ

พวกมันย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่ารูปร่างหน้าตาและกลิ่นไอของจี้เทียนซิงนั้นแตกต่างจากเมื่อสี่วันก่อนราวกับเป็นคนละคน

เมื่อชูไฮว่ซานแผ่สัมผัสญาณออกไปเพื่อสำรวจจี้เทียนซิงให้หายข้องใจ  สีหน้าของมันกลายเป็นตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ

คนร้องโพล่งออกมาอย่างรู้สึกอึ้งว่า

"ระดับปราณโอสถ

?!   เทียนซิง

เจ้า..... ตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถแล้วหรือ ?”

ผู้ดูแลทุกคนต่างก็ตกใจเช่นกัน พวกมันจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกับมองสัตว์ประหลาด

"สวรรค์

!  เพียงสามสี่วันที่เจ้าหายไป

เจ้าตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถแล้วจริงหรือ ?!"

"อีกนัยหนึ่ง  เจ้า...ตัดผ่านถึงสามขั้นย่อยเชียวหรือ ?!"

"พวกข้าต้องบ่มเพาะพลังมากกว่าห้าสิบปีถึงจะสำเร็จสามขั้นย่อยในระดับปราณโอสถ  แต่เจ้า เจ้าเข้านิกายมาได้ไม่นานและมีอายุแค่ 17 ปี

เจ้า.....  ไอ๊ !”

"เทียนซิง

เจ้าได้พบโชคลาภอันยิ่งใหญ่ใดภายในสุสานงั้นหรือ ?  มันถึงทำให้เจ้าตัดผ่านจากปราณขั้นที่เก้าไปถึงปราณโอสถขั้นสาม

?"

"เหลือเชื่อ! นี่คือปาฏิหาริย์ชัดๆ !"

"หากไม่เห็นกับตา

ตาเฒ่าอย่างข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด !”

"หยุนเหยามาถึงขอบเขตปราณโอสถได้ตอนอายุสิบเก้าปีจนเป็นที่รู้จักกันในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินและดินแดนดาราบรรพกาล

แต่เทียนซิงมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี มิใช่อัจฉริยะยิ่งกว่าหรือ ?!"

"ฮ่าๆๆ

สวรรค์อวยพรให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ของข้าแล้ว !  ด้วยสองอัจฉริยะไร้เทียมทานคู่นี้

นิกายเราจะเจริญรุ่งเรืองสืบๆไป !”

ชูไฮว่ซานและเหล่าผู้ดูแลทั้งหลายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

พวกมันพูดคุยกันไม่หยุดอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

ทุกคนนำหยุนเหยาไปเปรียบเทียบกับจี้เทียนซิง

แต่หยุนเหยากลับไม่รู้สึกอับอายหรือริษยาแต่อย่างใด

เพียงรู้สึกชื่นชมยินดีไปกับอีกฝ่ายด้วย

ส่วนจี้เทียนซิงที่รับได้การอวยและยกย่องจากอาวุโสทุกคนก็มิได้รู้สึกภูมิใจและหยิ่งผยองแต่อย่างใด  สีหน้าของเขายังคงดูเฉยชาและเยือกเย็น

เขาจ้องเขม็งไปที่การก่อตัวของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์

และหลังจากการเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งคนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที