ตอนที่ 238

ค่ำคืนแห่งการล่า

ราตรีย่างกราย

จี้เทียนซิงปีนขึ้นไปบนเนินเขาของภูเขาอู๋หยาและอยู่ในป่าทึบ

ทั่วบริเวณรอบๆเต็มไปด้วยเสียงของสัตว์ป่าอย่างต่อเนื่องและมักจะได้ยินเสียงของกิ่งไม้ใบหญ้าที่ดังกร๊อบแกร๊บตลอดเวลา

เขารู้ดีว่าสัตว์ร้ายที่ยึดครองดินแดนอยู่บนภูเขาเริ่มให้ออกหากิน

ตอนกลางคืนบนภูเขาอู๋หยานั้นเป็นดั่งสรวงสวรรค์สำหรับสัตว์ทุกชนิดซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์

จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าทึบ

เขาไม่เพียงแค่ต้องคอยระวังการโจมตีจากเหล่าสัตว์ร้าย แต่ยังต้องคอยระวังสัตว์มีพิษตามต้นไม้กิ่งไม้อีกด้วย

เขานึกย้อนไปถึงประสบการณ์ในช่วงที่ออกค้นหาดอกไม้ดาราแดงบนเทือกเขาเย่

ช่วงนั้นเขายังไม่ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาและมีพลังเท่าสามัญชนในระดับปรับแต่งกายาเท่านั้น

เขาต้องประสบกับการโจมตีของสัตว์อสูรจำนวนมากจนแทบจะดับดิ้นอยู่หลายครั้งหลายคราทีเดียว

หลายเดือนผ่านไป

เขาก็ต้องมาผจญภัยในภูเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้เขาไม่เป็นกังวลอีกแล้ว

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน

เขาสามารถเพิกเฉยต่อสัตว์อสูรระดับต่ำและกลาง มีเพียงสัตว์อสูรระดับสูงเท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้

ทันใดนั้นเองก็มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งนอนขดอยู่ในป่าไม่ไกล

จี้เทียนซิงจ้องมองมันผ่านความมืดและได้เห็นดวงตาสีเขียวอันก้าวร้าวคู่หนึ่ง

ลูกตาสีเขียวคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา

เผยให้เห็นความเยือกเย็นและดุร้ายกระหายเลือด

“เหอๆ ระหว่างทางข้าเจอสัตว์อสูรเป็นสิบๆตัว

ซึ่งพวกมันต่างก็หลบหนีไม่ก็ซ่อนตัว

มิคาดว่าเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้กลับกล้าจ้องมองข้าซะงั้น !”

จี้เทียนซิงแค่นเสียงพลางกุมกระบี่มังกรดำ

หลังจากนั้นไม่นานสัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหน้าก็ไม่สามารถระงับความกระหายเลือดได้

มันคำรามเสียงต่ำและพุ่งดิ่งมาเหมือนระเบิด

เมื่อมันมาใกล้

จี้เทียนซิงก็เห็นรูปลักษณ์ของมันได้ชัดเจนขึ้น

มันคือหมาป่าวายุซึ่งนับว่าเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง  มันรวดเร็วและดุร้ายมาก

อุปนิสัยชอบลงมือเพียงลำพัง

ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่หก

“ฟุ่บ !”

หมาป่าวายุพุ่งผ่านความมืดมิดมาถึงด้านหน้าจี้เทียนซิง

จากนั้นก็ทะยานเข้าโจมตี มันมีขนาดใหญ่ถึงสี่เมตรและนำมาซึ่งกลิ่นอายดุร้ายน่าเกรงขาม

เป้าหมายของมันคือลำคอของเขานั่นเอง

จี้เทียนซิงไม่ได้หลบเลี่ยง

ดวงตาจ้องมองหมาป่าวายุอย่างเฉยชาจนกระทั่งมันเข้ามาใกล้เขาก็ชักกระบี่มังกรดำออกจากฝัก

“เช้ง !”

เสียงกระบี่อันกริบที่พ้นจากฝักดังเสียดแก้วหูและเปล่งแสงอันเยือกเย็นออกมา

มันหอบพัดเอาพลังอันรุนแรงเข้าใส่หมาป่าวายุทันที

หมาป่าวายุเพิ่งตระหนักได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามและกลิ่นอายของกระบี่มังกรดำ

ทันใดนั้นดวงตาของมันก็ตื่นตระหนกตกใจ

แต่ทว่ามันกำลังอยู่กลางอากาศและเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง

"ฉัวะ !"

เมื่อเสียงคมกระบี่แทรกเข้าเนื้อหนังดังขึ้น

คลื่นกระบี่สามเมตรก็ผ่าร่างของหมาป่าวายุออกเป็นสองซีกในพริบตา

มันยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงกรีดร้องก็ร่วงหล่นเข้าไปในพงหญ้าในระยะไกลและโลหิตสีแดงชาดก็พรมผืนหญ้าในบริเวณนั้นไปทั่ว

จี้เทียนซิงสอดกระบี่คืนฝักด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ด้วยพลังของเขาตอนนี้ สัตว์อสูรทั่วไปก็เปรียบดั่งไก่ป่วยๆตัวหนึ่ง

จากนั้นเขาเดินไกลออกไปร้อยก้าวก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และรอคอยอย่างเงียบงัน  เขาต้องการใช้ศพและกลิ่นคาวเลือดที่ลอยไปตามสายลมของหมาป่าวายุเป็นเหยื่อล่อสัตว์อสูรตัวอื่นๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

ป่าบนภูเขาอันเงียบสงบเริ่มมีเสียงฝีเท้าของสัตว์ร้าย ในไม่ช้าสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ได้กลิ่นคาวเลือดก็เริ่มเข้ามาใกล้ร่างของหมาป่าวายุ

มันคือเสือเพลิงแดงสามหัวตัวหนึ่ง

เมื่อมาถึงมันก็มองไปมองมารอบๆเพื่อตรวจสอบให้แน่ว่าไม่มีอันตรายอยู่ใกล้ๆ

จากนั้นมันก็อ้าปากกว้างและกลืนกินศพของหมาป่าวายุเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ

ศพสองซีกของหมาป่าวายุก็ถูกกลืนจนหมดสิ้น

และเสือเพลิงแดงสามหัวก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าสัตว์อสูรหลายตัวจะมาในช่วงเวลาใกล้ๆกัน

แต่ทว่าพวกมันล้วนล่าเหยื่อเพียงลำพัง ทันทีที่พวกมันเห็นการปรากฏตัวของเสือเพลิงแดงสามหัว

พวกมันก็แฝงตัวอยู่ในความมืดและไม่กล้าที่จะปรากฏตัว ไม่ก็ล่าถอยไปอย่างเงียบๆ

จี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้สูงตระหง่านและเห็นกระบวนการของพวกมันทั้งหมด เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและรู้สึกผิดหวัง

“สัตว์อสูรพวกนี้กินศพเร็วเกินไป

ส่วนตัวอื่นๆที่ด้อยกว่าก็ระแวดระวังเป็นอย่างมาก

ดูท่าว่าการใช้ศพเป็นเหยื่อล่อคงไม่เข้าท่าเสียแล้ว...  ข้าต้องหาวิธีอื่น”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วและครุ่นคิดแผนการ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเข็มทิศสื่อวิญญาณดาราที่เก็บไว้ในแหวนมิติ

มันเป็นสมบัติจากบรรพบุรุษตระกูลจี้ที่บิดาของเขามอบให้มันตอนไปตามหาดอกไม้ดาราแดงบนเทือกเขาเย่  เมื่อตอนที่จี้ชางคงมอบสิ่งนี้มาให้

เขาบอกว่าเข็มทิศสื่อวิญญาณดาราสามารถใช้สำรวจชีพจรวิญญาณ, สมบัติหายากตลอดจนจับสัมผัสวิญญาณของสัตว์อสูรได้

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงพกมันติดต่อไว้ตลอดเวลาและไม่เคยหยิบมาใช้เลยนับตั้งแต่ได้รับดอกไม้ดาราแดงเมื่อหลายเดือนก่อน

ตอนนี้เขาคิดจะทดลองใช้มันเพื่อสืบเสาะวิญญาณของสัตว์วิญญาณ

จี้เทียนซิงกระโดดลงจากยอดไม้และเดินเข้าไปในป่าทืบ

เขาวิ่งอย่างต่อเนื่องเข้าไปในป่าทึบของภูเขาอู๋หยา

เขาจับเข็มทิศสื่อวิญญาณดาราไว้ในมือซ้ายและทาบฝ่ามือขวากดทับลงไปบนนั้น

เพื่อใช้พลังปราณกระตุ้นการทำงานของข่ายอาคม

ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่เขาใช้มันเพื่อตามหาดอกไม้ดาราแดง

เขามีพลังเพียงระดับปรับแต่งกายาเท่านั้นจึงไม่เข้าใจในความลึกลับของสมบัติชิ้นนี้

แน่นอนว่าย่อมไม่อาจใช้งานมันได้เต็มประสิทธิภาพ

ตอนนี้ต่างออกไป

จากความแข็งแกร่งและความสามารถทางด้านข่ายอาคม

เขาสามารถใช้งานคุณสมบัติทั้งหมดของมันได้ถึงเจ็ดส่วนแล้ว

จี้เทียนซิงเดินผ่านความมืดราวกับภูตผี

ส่วนเสี่ยวเฮยหลงก็กลับคืนร่างเป็นมังกรดำตัวเล็กและคอยติดตาม

มันพยายามเตือนให้เขาระวังรอบๆให้ดี

ระหว่างทางมีสัตว์อสูรจำนวนมากได้พบร่องรอยของจี้เทียนซิงและกระหายที่จะโจมตี

อย่างไรก็ตามพวกมันเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำถึงกลางเท่านั้น

ทันทีที่พวกมันเข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเสี่ยวเฮยหลงและหวาดกลัวจนไม่กล้าแสดงตัวออกมา

หลังจากนั้นประมาณสองชั่วยาม

จี้เทียนซิงเดินทอดน่องเข้าไปในป่าเป็นระยะทางกว่า 30

ไมล์

ในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกของภูเขาอู๋หยา

ในบริเวณนี้เขาได้พบกับสัตว์อสูรนับสิบๆตัว

แต่ก็ยังไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่กล้าโจมตีเขาก่อน

ทันใดนั้น

เข็มทิศสื่อวิญญาณดาราก็มีปฏิกิริยาตอบสนองและสว่างขึ้นเป็นสีเงินจางๆ

“ในที่สุดก็พบกลิ่นอายของสัตว์วิญญาณแล้ว !”

ดวงตาของจี้เทียนซิงเผยให้เห็นความยินดี

เขาจ้องมองไปที่เส้นสายและรูปแบบที่ปรากฏบนเข็มทิศอย่างรวดเร็ว

หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วนและจดจำตำแหน่งได้แล้ว

เขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งพบเป้าหมายที่เชิงเขาอีกฝั่งหนึ่ง

ทันทีที่เขาเข้าใกล้

ต่อให้ไม่ต้องใช้เข็มทิศเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นรัศมีพลังของสัตว์วิญญาณที่อยู่ลึกเข้าไปในหลุมแห่งหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่ามีสัตว์วิญญาณอยู่ภายในหลุม